26 มี.ค. 2568 | 16:00 น.
KEY
POINTS
มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Mickey 17
“ทุกครั้งที่คุณตาย เราจะได้ข้อมูลใหม่
ทำให้มนุษยชาติก้าวหน้า”
ฟังคล้ายวลี ‘สละชีพเพื่อชาติ’ ที่ผู้นำใช้กรอกหูพลทหารให้ ‘เต็มใจ’ ต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกตนแทบไม่ได้รับประโยชน์ หรือไม่ ประโยชน์นั้นก็อาจเป็นเพียงเศษชิ้นส่วนกระจ้อยร่อยจากกองสมบัติมโหฬารที่ชนชั้นปกครองใช้เสวยสุข ทว่าวลีดังกล่าวคงไม่มีมีผลต่อการตัดสินใจของมิกกี้ ด้วยคุณสมบัติของ ‘มนุษย์ใช้แล้วทิ้ง’ (The Expendable) ที่ทำให้เขาตายได้ไม่รู้จบ ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยสภาพร่างกายอันสมบูรณ์
ภาพยนตร์เรื่อง ‘Mickey 17’ ของผู้กำกับ ‘บงจุนโฮ’ (Bong Joon Ho) ชูจุดขายเป็นพล็อตล้ำยุค เล่าเรื่องราวในโลกอนาคตเมื่อ มิกกี้ (แสดงโดย โรเบิร์ต แพตทินสัน) ชายหนุ่มผู้จนตรอกกับชีวิตตัดสินใจหนีเจ้าหนี้ด้วยการสมัครเป็นมนุษย์ใช้แล้วทิ้งในโครงการย้ายมนุษย์ไปดาวดวงใหม่ ภายใต้การบัญชาของ มาร์แชล (แสดงโดย มาร์ค รัฟฟาโล) ผู้นำที่ไม่เคยก้มหัวให้ใครเว้นเพียง อิลฟ่า ภรรยาสุดที่รัก (แสดงโดย โทนี คอลเลต) มิกกี้ต้องทนทุกข์ทรมานกับการตายซ้ำ ๆ ทั้งจากกงานเสี่ยงอันตราย ไปจนถึงการถูกใช้เป็นหนูทดลอง ก่อนที่ร่างของเขาจะถูก ‘สังเคราะห์’ ขึ้นใหม่ วนเวียนเช่นนี้เรื่อย ๆ กระทั่งอุบัติเหตุในภารกิจสำรวจดวงดาวทำให้มิกกี้ 17 (หมายถึงมิกกี้ผู้ตายมาแล้ว 16 ครั้ง) ถูกเข้าใจผิดว่าเสียชีวิต นำมาสู่การโคลนมิกกี้ 18 ขึ้นมาใหม่ เมื่อร่างโคลนทั้งสองพบกัน การพยายามเอาชีวิตรอดจึงเริ่มต้น เพราะมาร์แชลเคยประกาศไว้ว่า หากมีการโคลนซ้ำซ้อน ทุกร่างจะต้องถูกกำจัดให้หายไปอย่างสิ้นเชิง
นอกเหนือจากพล็อตที่น่าสนใจ Mickey 17 ยังมาพร้อมการเสียดสีสังคมแสนเจ็บจุก ที่ไม่ใช่แค่ตรงไปตรงมา หากแต่ยังขวานผ่าซาก ตีแผ่ความฟอนเฟะของเผด็จการจนผู้ชมรู้สึกกระอักกระอ่วน มาพร้อมสัญญะเกี่ยวกับ ‘ซอส’ ที่ภรรยาของท่านผู้นำหลงรัก ไม่ต่างจากเครื่องปรุงชั้นเลิศที่ชนชั้นปกครองตักราดลงบนชิ้นเนื้อเย็นชืด ซึ่งถูกเฉือนขโมยมาจากร่างกายของประชาชน
และแม้ว่า การนำเสนอภาพผู้นำที่มีความน่ารังเกียจ ตลกขบขัน และโง่งมผิดมนุษย์จะเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยครั้งในโลกภาพยนตร์ แต่ก็นับเป็นวัตถุดิบที่บงจุนโฮถ่ายทอดได้กลมกล่อมเสมอมา
ผู้ที่ติดตามผลงานของบงจุนโฮคงจดจำบรรยากาศอึมครึม พล็อตสุดมืดหม่น ไปจนถึงการดำเนินเรื่องที่เนิบช้าแต่หน่วงหนัก ในภาพยนตร์แจ้งเกิดบนเวทีโลกของเขาอย่าง ‘Memories of Murder’ (2003) ได้เป็นอย่างดี ในเรื่องนั้น บงจุนโฮหนักมือกับการจิกกัดความเลวร้ายของระบบราชการ ผ่านตัวละครตำรวจไม่เอาถ่านผู้ใช้สัญชาตญาณมั่วซั่วในการตามจับคนร้าย ซ้ำยังทรมานผู้ต้องสงสัยให้รับสารภาพ ก่อนที่ประเด็นเดิมจะถูกนำเสนอให้ ‘อลังการ’ ยิ่งขึ้นใน ‘The Host’ (2006) ที่ซึ่งความฟอนเฟะของราชการทำให้ประชาชนทั่วทั้งเมืองต้องบาดเจ็บล้มตายจากสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์
ในปี 2009 ความเลวร้ายของตำรวจถูกตีแผ่อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง ‘Mother’ (2009) ก่อนที่บงจุนโฮจะเบนเข็มสู่ฮออลลีวูด ปรับการเล่าเรื่องให้ ‘แมส’ และ ‘มัน’ ยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับประเด็นของหนังแต่ละเรื่องซึ่งเน้นไปที่การเสียดสีชนชั้นเต็มรูปแบบ แตกต่างหลายเรื่องก่อนหน้าที่มักซ่อนประเด็นความเหลื่อมล้ำไว้ในคราบของหนังเสียดสีระบบราชการ
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้ร่วมงานกับดาราฮอลลีวูดอย่าง ‘Snowpiercer’ (2013) เล่าเรื่องในยุคที่โลกล่มสลายจนมนุษย์กลุ่มสุดท้ายต้องใช้ชีวิตในขบวนรถไฟที่แล่นไปเรื่อย ๆ ซึ่งหากใครเคยรับชม จะพบว่าทั้งเรื่องอัดแน่นด้วยประเด็นความเหลื่อมล้ำและการกดขี่ ชนิดที่ว่า แทบทุกประโยค ทุกการกระทำของตัวละคร ล้วนต้องสะท้อนถึงประเด็นเหล่านี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หลังลดสเกลเรื่องถัดมาให้มีประเด็นเล็กลง หากแต่คงไว้ซึ่งการเสียดสีชนชั้นและทุนนิยมเช่นเคยใน ‘Okja’ (2017) บงจุนโฮก็หวนคืนสู่วงการภาพยนตร์เกาหลี พร้อมเล่าเรื่องราวเสียดสีชนชั้นอย่างสุดขั้วใน ‘Parasite’ (2019) สร้างประวัติศาสตร์เป็นภาพยนตร์ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเรื่องแรกที่คว้าสามรางวัลใหญ่ ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม บนเวทีออสการ์ ส่งผลให้บงจุนโฮกลายเป็นผู้กำกับที่คอหนังทั่วโลกจับตามอง รอคอยผลงานใหม่อย่างใจจดใจจ่อ
หากนับตั้งแต่ Snowpiecer จะพบว่าลายเซ็นหลักของบงจุนโฮ คือการเสียดสีความเลวร้ายของพีระมิดสังคมอย่างตรงไปตรงมา ผ่านบทสนทนาที่เรียบง่ายแต่เจ็บแสบ พร้อมด้วยการล้อเลียนผู้คนบนยอดพีระมิดด้วยอากัปกิริยาแสนฝืดเฝื่อน (เว้นเพียง Parasite ที่นำเสนอภาพของทั้งคนรวยและคนจนให้มีความฝืดเฝื่อนตลกร้ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน) กระนั้น แม้จะเป็นลายเซ็นที่ไม่ได้แปลกใหม่ บงจุนโฮก็สามารถสร้างเอกลักษณ์ด้วยการแทรกคอนเซปต์ดังกล่าวไว้แทบจะทุกอณูของเรื่อง ส่งผลให้แม้การล่าจะไม่ได้หวือหวา แต่ผู้ชมก็จะถูกตรึงเอาไว้ด้วยความสร้างสรรค์และแยบยลในการเสียดสี
สำหรับ Mickey 17 จังหวะการเล่าที่ ‘ไม่ได้หวือหวา’ นั้นยังคงปรากฏให้เห็น ทว่าก็ถูกทดแทนด้วยความเป็นไซ-ไฟแสนตื่นตา โดยเฉพาะเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตต่างดาว (หรือพูดให้ถูกคือสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น เพราะมนุษย์ต่างหากที่เป็นฝ่ายบุกรุก) ที่การปรากฏตัวแต่ละครั้งชวนให้นึกถึงภาพยนตร์ไซ-ไฟทุนสร้างสูง หรือจะเป็นช่วงไคลแมกซ์ที่การพยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของมิกกี้ 17 และการต่อสู้เพื่อถอนรากระบอบเผด็จการของมิกกี้ 18 ลุ้นระทึกด้วยฉากแอคชัน ท่ามกลางความตระการตาบนหน้าจอไอแมกซ์ จนสามารถพูดได้เต็มปากว่า เป็นหนังที่ ‘ดูง่าย’ และ ‘ดูเพลิน’ ที่สุดแล้วของบงจุนโฮ
มนุษย์ผู้ถูกทิ้งขว้างทั้งร่างกายและศักดิ์ศรี แต่กลับไม่ยอมทิ้งจิตใจที่จงรักภักดี
ตัวละครหลักของเรื่องนี้เป็นภาพแทนชนชั้นล่างผู้ ‘เมินเฉย’ ต่อความเลวร้ายของระบบ สนใจเพียงความเลวร้ายที่จะเกิดกับตัว พึงพอใจกับการมีชีวิตรอดไปวัน ๆ โดยไม่เคยคิดต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทั้งของตนเอง...และเพื่อนร่วมชนชั้นในยุคต่อ ๆ ไป
มิกกี้คือชายหนุ่มไม่เอาไหนผู้คิดหนีปัญหาด้วยการขึ้นไปใช้ชีวิตบนดาวดวงใหม่ หลังกลายเป็นมนุษย์ใช้แล้วทิ้ง เขายังคงยอมรับการกดขี่ จนสุดท้ายก็โอนอ่อนต่อตรรกะที่รัฐกรอกหูว่า หน้าที่ของมนุษย์ใช้แล้วทิ้งคือการช่วยเหลือและเจ็บแทนมนุษย์ปกติซึ่งสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ ตลอดช่วงต้นเรื่อง มิกกี้แสร้งยอมรับว่า ตัวเขาสมควรถูกปฏิบัติอย่างไร้ค่า ด้วยเหตุผลเพียงว่าเมื่อเขาตาย รัฐบาลก็จะนำอินทรีย์สารจากศพของเขามารีไซเคิล สร้างออกมาเป็นมิกกี้คนใหม่
ทว่าลึก ๆ แล้ว มิกกี้เจ็บปวดกับความตาย และไม่เคยอยากตายเลยสักครั้ง
“ความตายมันรู้สึกยังไงเหรอ”
คือประโยคที่อดีตเพื่อนรักเอ่ยถาม ขณะทิ้งเขาไว้ให้สัตว์ประหลาดต่างดาวขย้ำกิน พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ
“ถ้านายตาย พวกเขาก็แค่สร้างนายขึ้นมาใหม่”
บางทีตัวละครอื่นในเรื่องอาจคิดว่า มิกกี้ไม่รู้สึกรู้สากับการตาย เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่เคยปริปากหรือแสดงท่าทีเดือดร้อน ส่งผลให้ความเคารพต่อมิกกี้ในฐานะผู้สียสละไม่เคยปรากฏให้เห็นผ่านตัวละครตัวใด ทุกคนทำเสมือนว่า การที่คนคนหนึ่งถูกโคลนขึ้นซ้ำ ๆ เป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งบรรดาหญิงสาวที่ตกหลุมรักมิกกี้ ก็ยังดีใจเมื่อเห็นว่ามีมิกกี้สองคน เพราะนั่นเท่ากับว่า พวกเธอจะได้แบ่งใช้ร่างของเขาเสพสุขได้โดยไม่ต้องยื้อแย่ง
“ถึงจะเป็นการตายครั้งที่ 17 ...ผมก็เกลียดการตาย”
คือประโยคที่ตัวละครระบายให้ผู้ชมรับรู้ หากแต่ไม่อาจเปล่งเสียงบอกตัวละครอื่นในเรื่อง ส่วนหนึ่ง คงเพราะนิสัยหัวอ่อน ยอมถูกจูงจมูกของเขาที่ทำให้คิดว่า การอดทนยอมรับความตายไปเรื่อย ๆ ง่ายกว่าการลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิ วัฏจักรเช่นนี้คงเพียงพอแล้วสำหรับชายผู้ปรารถนาเพียงมีลมหายใจไปวัน ๆ
ทว่าการมาถึงของมิกกี้ 18 กลับทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ความกลัวตายของมิกกี้ 17 ปรากฏขึ้นทันทีที่ได้สบตากับร่างโคลน เพราะนั่นเท่ากับว่า หากเขา (มิกกี้ 17) ตายไป มันจะเป็นการจากโลกนี้อย่างถาวร ผู้ที่จะใช้ชีวิตต่อก่อนจะถูกโคลนขึ้นใหม่ซ้ำ ๆ คือมิกกี้ 18 ซึ่งไม่ใช่คนเดียวกับเขาอีกต่อไป
ฉากการต่อสู้ระหว่างมิกกี้ทั้งสองตอกย้ำถึงประเด็นดังกล่าว ทั้งคู่ต่างต้องการมีชีวิตรอด แม้กระทั่งมิกกี้ 17 ที่เคยชินกับการตายมาหลายครั้ง ก็ไม่ต้องการตายจากโลกนี้ไปตลอดกาล
ขณะเดียวกัน ผู้ชมก็ได้ทำเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของมิกกี้ 18 มากขึ้น หลังการปรากฏตัวครั้งแรก ๆ จะทำให้เขาดูเหมือนกับตัวร้ายผู้ต้องการฆ่าร่างโคลนก่อนหน้าตนเพื่อไม่ให้พลอยถูกเบื้องบนกำจัดไปด้วย ทว่าความ ‘ไม่อยากตาย’ นี้เองคือสิ่งที่คอยขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมด และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มิกกี้ 17 ค่อย ๆ หันมาไตร่ตรองว่า ความภักดีต่อเผด็จการของตนเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ
มิกกี้ 18 แตกต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะไม่ยอมรับในการกดขี่ ยังเต็มไปด้วยความบุ่มบ่าม โผงผาง เปรียบเสมือน ‘แฝดนรก’ (ในส่วนนี้ ตัวหนังไม่ได้อธิบายสาเหตุที่ทั้งสองมีนิสัยต่างกันอย่างสุดขั้ว) ข้อดีของมิกกี้ 18 จึงเป็นการมองเห็น ‘ศักดิ์ศรี’ ของตน อันเป็นสิ่งที่มิกกี้ 17 ไม่เคยมี
การตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของมิกกี้ทั้งสองยังถูกจุดระเบิดขึ้นในช่วงก่อนไคลแมกซ์ เมื่อมาร์แชลทำการลบความทรงจำของมิกกี้ร่างต้นแบบทิ้ง ตอกย้ำอย่างเป็นทางการว่า พวกเขาเหลือแค่ชีวิตเดียว ไม่มีวันได้รับสิทธิพิเศษอย่างการถูกโคลนขึ้นใหม่อีกต่อไป
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นมิกกี้ทั้งสอง (โดยเฉพาะมิกกี้ 17) ต่อสู้เยี่ยงมนุษย์ปกติ
ผู้กำกับให้โอกาสทั้งคู่ได้เป็น ‘ฮีโร่’ ในแบบของตนเอง ราวกับเป็นนัยยะแฝงว่า ฮีโร่ผู้เป็น ‘มนุษย์ที่ดี’ ไม่จำเป็นต้องมีแต่ความเด็ดขาด ตรงกันข้าม การอ่อนน้อม ประนีประนอมก็นับเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ ดังเช่นในช่วงไคลแมกซ์ที่มิกกี้ 17 ใช้ความละเอียดอ่อนของตนเจรจากับจ่าฝูงสิ่งมีชีวิตต่างดาว ป้องกันไม่ให้อารยธรรมมนุษย์ล่มสลาย ขณะเดียวกัน มิกกี้ 18 ก็เลือกปฏิบัติหน้าที่แสนบุ่มบ่าม นั่นคือการสังหารมาร์แชล
“นายก็กลัวมันใช่มั้ย...ความตายน่ะ”
คือคำพูดสุดท้ายของผู้นำ เมื่อเห็นท่าทางลังเลของมนุษย์รีไซเคิลผู้กำลังจะกดระเบิดพลีชีพ ที่ผ่านมา มาร์แชลมองว่ามนุษย์ใช้แล้วทิ้งมีคุณค่าไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ หรืออีกนัยหนึ่ง คงเพราะเขาเทิดทูลคุณค่าเผ่าพันธุ์มนุษย์แบบดั้งเดิม มองว่าศักดิ์ศรีของคนอยู่ที่ความสามารถในการเพื่อผลิตลูกหลานมาหล่อเลี้ยงพีระมิดต่อไป การที่มนุษย์ใช้แล้วทิ้งซึ่งผสมพันธุ์ไม่ได้ แสดง ‘ความเป็นมนุษย์’ ให้เห็น ก็เพียงพอแล้วที่ผู้นำจะรู้สึกเหนือความคาดหมาย หรือไม่ เขาอาจล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วว่า มนุษย์รีไซเคิลเองก็มีหัวจิตหัวใจ เพียงแต่ต้องการถ่วงเวลาสำหรับหาทางหนีทีไล่ ชวนให้ขบคิดได้หลายรูปแบบ
สุดท้าย มิกกี้ 18 ก็เลือกกดระเบิด พรากชีวิตเขาและผู้นำเผด็จการไปพร้อมกัน
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่ามิกกี้ 18 จะเลือกทางไหน ระหว่างทางที่เลือกทำไปอย่างการกดระเบิด หรือหาวิธีอื่นในการฆ่ามาร์แชล (ซึ่งไม่รู้จะทำได้ทันเวลาหรือไม่) ทั้งสองทางก็ล้วนฉายให้เห็นถึงความสำเร็จสูงสุดของมนุษย์ใช้แล้วทิ้ง นั่นคือการมีความเป็นมนุษย์ สิ่งที่มิกกี้ 18 ทำไปนับเป็นเรื่องกล้าหาญ อันเกิดจากความโกรธเกรี้ยวเมื่อมนุษย์คนหนึ่งโดนกดขี่ หรือหากเขาพยายามหาวิธีอื่นในการฆ่ามาร์แชล ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเขานั้นรักตัวกลัวตายในแบบที่มนุษย์ผู้รู้จักคุณค่าและศักดิ์ศรีพึงกระทำ
อาหารสำหรับประชาชนในอาณานิคมใหม่คือของเหลวข้นหนืดสีดำคล้ายโจ๊ก ชวนให้นึกถึง ‘ก้อนแมลงสาบ’ ในเรื่อง Snowpiercer จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้สร้างกำลังเปรียบเปรยอาหารที่คนรวย (สำหรับหนังของบงจุนโฮ ‘คนรวย’ และ ‘เผด็จการ’ ดูจะเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ขาด) ส่งมอบให้คนจนด้วยวิธีการเดิมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หนังไม่ได้เฉลยว่าวัตถุดิบของอาหารชนิดนั้นคืออะไร แต่กลับเลือกฉายภาพความหมกมุ่นในการปรุงซอสของอิลฟ่า ภรรยาสุดที่รักของมาร์แชล ชนิดที่ว่าแทบทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว จะต้องพูดเรื่องซอส หรือบอกใบ้ว่ากำลังจะเข้าครัวไปปรุงซอสอยู่เสมอ
พิจารณาจากลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ของบงจุนโฮ ซอสที่ว่าคงใช้เปรียบเปรยถึงความหรูหราฟุ่มเฟือย เสริมแต่งให้อาหารอร่อยถูกปาก ผิดกับคนจนที่ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งเลือกชนิดของอาหาร อิลฟ่าหมกมุ่นกับการทำซอส ราวกับคนรวยผู้มองทุกอย่างเป็นเงินทอง หาใช่คุณค่าด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะเพื่อนมนุษย์ที่ถูกตีตราด้วยคุณค่าเชิงผลประโยชน์ไปเสียหมด
ความละโมบนั้นถูกขยี้ซ้ำอีกครั้งผ่านตรรกะ ‘ทุกสิ่งในโลกสามารถเป็นซอสได้’ ของอิลฟ่า เช่นในฉากที่ทหารจับลูกสิ่งมีชีวิตต่างดาวตัวหนึ่งมาได้ แทนที่เธอจะแสดงท่าทีสนใจในการศึกษา ดังที่นักวิทยาศาสตร์ทำอยู่ กลับเลือกดึงหางสิ่งมีชีวิตตัวนั้นออกมาตัดเพื่อปรุงเป็นซอส เอ่ยว่ามันคือวัตถุดิบเลอค่า ทั้งที่ในความเป็นจริง คุณค่าของสิ่งมีชีวิตต่างดาวบนโต๊ะทำงานของนักวิทยาศาสตร์ควรจะเป็น ‘คุณค่าด้านการศึกษา’ อันจะนำไปสู่ผลประโยชน์ของมนุษยชาติ หาใช่ ‘คุณค่าด้านความอร่อย’
การกระทำดังกล่าวฉายชัดว่า ภรรยาของท่านผู้นำมองทุกสิ่งในโลกเป็นการ ‘สูบเลือดสูบเนื้อ’
มองอีกมุมหนึ่ง ผู้สร้างอาจต้องการเปรียบการทำซอสเป็นการ ‘บดขยี้’ ทุกอย่างเข้าด้วยกันจนไม่เหลือสภาพเดิม ด้วยมีการฉายทั้งภาพของเครื่องปั่นซอสในมืออิลฟ่า เรื่อยไปจนถึงภาพ ‘เตาหลอม’ ที่ซึ่งร่างไร้ชีวิตของมนุษย์ใช้แล้วทิ้งจะถูกทำให้ละลายไปพร้อมกับขยะเศษอาหาร เพื่อดูดเอาอินทรียสารมาสังเคราะห์เป็นร่างใหม่ เตาหลอมดังกล่าวเปรียบเสมือนการบดขยี้ทุกอย่างเข้าด้วยกัน ผลิตออกมาเป็นร่างของมิกกี้ ในขณะที่เครื่องปั่นซอสก็มีหน้าที่บดขยี้วัตถุดิบเพื่อผลิตออกมาเป็นเครื่องปรุงรส
ความเหมือนที่ต่างกันของทั้งสอง คือทั้งมิกกี้และน้ำซอสต่างก็กลายเป็น ‘สิ่งใหม่’ ดูไม่ออกเลยว่าถูกผลิตจากสิ่งใด เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง ‘น้ำซอสของคนจน’ ซึ่งมีหน้าที่กอบโกยผลประโยชน์สู่คนรวย กับ ‘น้ำซอสของคนรวย’ ซึ่งมีขึ้นเพียงเพื่อให้ชนชั้นบนยอดพีระมิดเสวยสุข
น่าเศร้า ทั้งที่ซอสทั้งสองคล้ายถูกผลิตจากวัตถุดิบเดียวกัน นั่นคืออินทรียสารสารพัดอย่าง ทว่าซอสของคนจนกลับถูกปฏิบัติราวกับเป็นเศษขยะ ในขณะที่ซอสของคนรวยดูราวกับสิ่งที่ถูกอุ้มชูจนไม่เหลือรากเหง้าความเป็นของเหลวที่เกิดจากการบดขยี้สารอินทรีย์โสโครกอีกต่อไป ดังในฉากที่อิลฟ่าเชิญคนชนชั้นล่างมาร่วมโต๊ะอาหาร หลังจากได้ชิมซอส พวกเขาแสดงท่าทีราวกับไม่เคยลิ้มรสมัน...จดจำมันไม่ได้ ทั้งที่วัตถุดิบตั้งต้นก็คืออินทรียสารแบบเดียวกันทั้งนั้น
สุดท้าย น้ำซอสที่ถูกเทิดทูลราวกับเป็นของมีค่า ก็ถูกนำมาเพิ่มรสชาติให้มื้ออาหารของคนรวย ขณะที่พวกเขาเสพสุข มองคนชนชั้นล่างตรากตรำทำงานหนัก เป็นสัญลักษณ์ที่บงจุนโฮใช้สื่อแทนความเลือดเย็น อำมหิต
ในตอนจบของเรื่อง แม้ฝั่งประชาชนจะได้รับชัยชนะ แต่มิกกี้ก็ยังไม่วายเห็นภาพหลอนของอิลฟ่าที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมเชิญชวนให้เขาชิมซอส ราวกับความอำมหิตนั้นคือสิ่งที่จะตามหลอกหลอนคนจนไปตลอดชีวิต แม้ในวันที่อดีตคนรวยถูกโค่นล้มอำนาจไปแล้วก็ตาม
ตอนจบนั้นเปรียบเสมือนการบอกใบ้ว่า การแบ่งชนชั้นในสังคมไม่มีวันหายไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ใช้แล้วทิ้ง ที่แม้ฐานอำนาจเดิมจะล้มหายตายจาก ก็อาจมีคนโคลนมันขึ้นมาอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ เป็นสารที่ถูกนำเสนอทิ้งท้ายบ่อยครั้งในภาพยนตร์สะท้อนพีระมิดชนชั้นของบงจุนโฮ
และเช่นเดียวกับผลงานที่ผ่านมาของผู้กำกับ Mickey 17 มีสัญญะมากมายให้ตีความ บ้างอาจหลุดเร้นจากสายตาผู้เขียน รอให้ใครสักคนหาพบ นำมาบอกกเล่าต่อว่า อารมณ์ถากถางตลกร้ายของบงจุนโฮนั้นฉกาจฉกรรจ์และแยบยลเพียงใด
กระนั้น หากพิจารณาในฐานะภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง Mickey 17 ก็คือหนังสะท้อนสังคมภายใต้ความเป็นแอคชัน ไซ-ไฟ ไอเดียล้ำ มอบความบันเทิงโดยทำตัวเป็นโต๊ะอาหาร พร้อมเมนูสองแบบ อันได้แก่ เนื้อรีไซเคิลของคนจน และน้ำซอสสูตรพิเศษของคนรวย ให้ผู้ชมสนุกไปกับความสะอิดสะเอียน และความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนจะเกิดอาการอาหารไม่ย่อยจนต้องจมดิ่งกับความ(จริงอันแสน)เจ็บปวดต่อหลังเดินออกจากโรง ดังที่ผู้เขียนประสบอยู่ตอนนี้
ภาพ : ภาพยนตร์ Mickey 17