เบจิต้า: ความรักของนักรบชาวไซย่า นักล่าผู้เหี้ยมโหดที่กลายเป็นพ่อบ้านแสนดี

เบจิต้า: ความรักของนักรบชาวไซย่า นักล่าผู้เหี้ยมโหดที่กลายเป็นพ่อบ้านแสนดี

เบจิต้า: ความรักของนักรบชาวไซย่า นักล่าผู้เหี้ยมโหดที่กลายเป็นพ่อบ้านแสนดี

แฟน ๆ Dragon Ball ทั่วโลกต่างก็เห็นพ้องกันเป็นจำนวนมากว่า พล็อตเรื่อง รวมทั้งการสร้างคาแรคเตอร์ของตัวละครในเรื่องนี้ ช่วงตั้งแต่เปิดตัวจอมปีศาจพิคโกโล่ จนกระทั่งจบศึกฟรีเซอร์ที่ดาวนาเม็ก เขียนไว้ดีมาก แบบดีมากจริง ๆ เพราะชาวนาเม็กคือผู้ที่ทำให้เกิด Dragon Ball ส่วนฟรีเซอร์คือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เป็นคนฆ่าล้างดาวเบจิต้า ทำให้ชาวไซย่าเกือบสูญพันธุ์ ทำให้ โกคู ต้องหนีมาที่โลก ทำให้เนื้อเรื่อง Dragon Ball เริ่มดำเนินขึ้น ก็เจ้าฟรีเซอร์นี่แหละ เป็นช่วงที่เนื้อเรื่องหักเหจากพล็อตเรื่อง “ไซอิ๋ว (Journey to the West)” ไปสู่พล็อตเรื่องของ “Superman (เวอร์ชั่นคริสโตเฟอร์ รีฟ 2 ภาคแรก)” และยังเป็นตอนที่โทริยะมะเองตั้งใจจะให้เนื้อเรื่องจบที่ตรงนี้อีกด้วย ก่อนจะถูกความนิยมกดดันให้ต้องเขียนต่อจนเนื้อเรื่องหักเหออกไปเป็นพล็อต “คนเหล็ก” 2 ภาคแรกนั่นเอง ตัวละครที่เด่นมากในช่วงศึกฟรีเซอร์ก็คือ เบจิต้า (จริง ๆ ภาษาอังกฤษเขียน Vegeta แต่เสียงตัว v ในภาษาอังกฤษเป็นเสียงที่ก้ำกึ่งระหว่าง ว และ ฟ คือเป็นเสียง Voiced Labiodental Fricative ที่คนญี่ปุ่นนิยมแทนด้วยเสียงตัว b ไปเลย เหมือน เกียบัน-Gavan) เบจิต้านั้นต่างจากพิคโกโล่มาก พิคโกโล่คนพ่อคือจิตชั่วบริสุทธิ์ที่ไม่มีดีเหลือเลยเพราะเป็นร่างแยกจากพระเจ้า ส่วน พิคโกโล่คนลูก นั้นโตมาแบบไม่มีใครอบรมสั่งสอน จนมาเจอโกฮังถึงจะเริ่มมีความอ่อนโยนในจิตใจ แต่เบจิต้านั้นไม่มีโอกาสได้สัมผัสเลยว่าอะไรคือดีและชั่ว เพราะเบจิต้านั้นตั้งแต่เด็กจนโตก็ใช้ชีวิตท่ามกลางความโหดร้ายของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายในกองทัพของฟรีเซอร์ แต่ต่อให้ไม่รู้ดีรู้ชั่วอย่างไร ท้ายที่สุดตัวละครอย่าง เบจิต้า ก็มีพัฒนาการที่น่าสนใจตรงที่... เขาเรียนรู้ที่จะ “รัก” ให้เป็น แรกเริ่มเดิมที เบจิต้าเติบโตขึ้นมาด้วยการใช้กำลังเท่านั้น ไม่เคยได้สัมผัสกับสัมพันธภาพใด ๆ แบบสัตว์สังคม ตอนที่ราดิชตาย ฉากเปิดตัวเบจิต้ากับนัปปะยังเป็นฉากฆ่าประชากรของดาวดวงนั้นแล้ว “กินศพแบบดิบ ๆ” เลย เถื่อนสุด ๆ เหมือนสัตว์ป่ามากกว่าคน เรียกว่าเปิดตัวได้โฉดมาก อันนี้ต่างจากความชั่วของพิคโกโล่ เพราะพิคโกโล่เป็นแนวชั่ว แต่เบจิต้าไม่รู้ดีชั่วเพราะใช้ชีวิตแบบสัตว์ป่ามากกว่า คือฆ่า ล่า กิน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดาวแล้วดาวเล่า ตามคำสั่งของฟรีเซอร์เท่านั้น เป็นผู้ล่าที่แท้จริง ใช้กำลังตัดสินทุกอย่างในชีวิต ขนาดนัปปะที่เติบโตมาด้วยกัน เบจิต้ายังฆ่าได้แบบไม่กะพริบตา เพราะใช้ชีวิตแบบสัตว์ป่าที่ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่แล้ว ตอนที่เบจิต้าบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้บนดาวโลกกับพรรคพวกของโกคู เขากำลังจะหนีขึ้นยาน คูริรินกำลังจะฆ่าเบจิต้า แต่โกคูซึ่งบาดเจ็บหนักเช่นกันจนขยับไม่ได้ ส่งโทรจิตสื่อสารกับคูริรินเพื่อให้ปล่อยเบจิต้าไป บอกว่า “ปล่อยให้ตายก็เสียดายออก” การปล่อยเบจิต้า เสมือนว่าโกคูเอาความปลอดภัยของโลกมาเป็นเดิมพัน วันหนึ่งเขาต้องแข็งแกร่งกว่าเบจิต้าเพื่อปกป้องโลกได้แน่นอน ท้ายที่สุดโกคูชนะเดิมพัน ไม่เพียงเพราะต่อมาเขาแข็งแกร่งกว่าเบจิต้าจริง ๆ แต่นั่นเพราะว่าในเวลาต่อมา เบจิต้านั้นได้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจริง ๆ เบจิต้า: ความรักของนักรบชาวไซย่า นักล่าผู้เหี้ยมโหดที่กลายเป็นพ่อบ้านแสนดี จุดที่ทำให้เบจิต้าเริ่มเปลี่ยนไป คือที่ดาวนาเม็ก หลังจากที่ได้รู้จากโดโดเรียว่า ฟรีเซอร์เองที่เป็นคนฆ่าล้างดาวเบจิต้า ทำให้เบจิต้าแค้นที่ต้องทนรับใช้ศัตรูมาตลอดชีวิต เบจิต้าอาจจะไม่ได้แค้นที่เผ่าพันธุ์ตัวเองถูกฆ่า แต่แค้นที่โดนฟรีเซอร์หลอกใช้มาตลอด แค้นที่ตัวเองไม่เก่งพอจะฆ่าฟรีเซอร์ได้ พอโดนฟรีเซอร์กระทืบหนักเข้า เบจิต้าจึงถึงกับร้องไห้ออกมา เป็นครั้งแรกที่เบจิต้ารู้ซึ้งถึง “การเป็นผู้ถูกล่า” และความรู้สึกของวาระสุดท้ายก่อนตาย ถึงกับสั่งเสียโกคูที่ตัวเองแสนจะเกลียดว่าให้ล้างแค้นฟรีเซอร์ด้วย ก่อนที่ตัวเองจะขาดใจตายไปที่ดาวนาเม็ก เบจิต้ายังเป็นตัวละครเดียวในเรื่องที่ “มีโอกาสเลือกทางเดินชีวิตใหม่” อีกครั้ง (มนุษย์สักกี่คนที่จะได้รับโอกาสนี้กัน?) ชีวิตเก่าในฐานะ “นักล่า” แตกดับลง กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วย Dragon Ball ในฐานะที่เป็นเอเลียนลี้ภัยที่โลกแทน แล้วยังได้ บุลม่า ให้การต้อนรับอย่างดีจนลงเอยกันไปอีก เรียกว่าตายแล้วเกิดใหม่บน a better path ของแท้ เบจิต้าเปลี่ยนไปมากตอนมาที่โลก เลิกนิสัยฆ่า ล่า กิน ล้างดาวโดยถาวร (ไม่อย่างนั้น ตอนโกคูไม่อยู่หลังศึกดาวนาเม็ก เบจิต้ามันฆ่าหมดโลกไปแล้ว) ภาคเซลล์ ก็เขม่นลูกชายตัวเองไปอย่างนั้น แต่พอทรังคซ์ถูกฆ่า เบจิต้าก็เลือดขึ้นหน้าโถมเข้าใส่เซลล์แบบไม่กลัวตาย ลึก ๆ ก็เริ่มรักและผูกพันกับลูกชายขึ้นมาแล้วยังไงล่ะ จนกระทั่งภาคบู เบจิต้าถึงยอมรับว่าเริ่มอ่อนไหว เริ่มรู้สึกรักโลก รักความสงบสุขขึ้นมา ถึงได้ยืมพลังชั่วร้ายจากบาบิดี้เพื่อให้ตัวเองกลับไปโฉดแบบเมื่อก่อน จะได้สู้กับโกคูได้ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นว่าตัวเองสั่งเสียลูกชายให้ดูแลแม่ให้ดี ก่อนระเบิดตัวตายไปอีกรอบพร้อมศัตรู “ดูแลแม่ให้ดีด้วยนะ ทรังคซ์” ฉากนี้คงยังจำกันได้ พิคโกโล่ยังทักเลยว่าเป็นครั้งแรกที่เจ้าเบจิต้ายอมทำอะไรเพื่อคนอื่นจริง ๆ  ฉากที่ทำให้เห็นว่าเบจิต้าเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ คือฉากที่เบจิต้าเฝ้ามองการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างจอมมารบูกับโกคู เขาพูดขึ้นมาว่า “ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมคนที่เป็นอัจฉริยะ 100% อย่างฉันถึงเอาชนะแกไม่ได้เลย... คาคาล็อต แกนี่มันร้ายกาจจริง ๆ เจ้าจอมมารบูนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ฉันจะต่อกรได้เลยแม้แต่น้อย แกคนเดียวเท่านั้นที่จะสู้กับมันได้...ฉันว่าเป็นเพราะแกมีสิ่งที่อยากจะปกป้อง จิตอันแรงกล้าที่อยากจะปกป้องก่อให้เกิดพลังอันล้ำลึก...แกอาจจะมีสิ่งนั้นมาตลอด แต่มันก็เหมือนกับฉันในตอนนี้แหละ ฉันเคยทำตามความคิดของตัวเอง ต่อสู้เพื่อความสนุก เพื่อฆ่าศัตรู และเพื่อความภาคภูมิใจของตัวเอง...แต่หมอนั่นไม่ใช่ มันไม่ได้ต่อสู้เพื่อจะเอาชนะ แต่ต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เพียงเพื่อไม่ให้แพ้ศัตรูเท่านั้น! เพราะงั้นมันจึงไม่ได้ยึดติดอยู่กับการเด็ดชีวิตคู่ต่อสู้...หมอนั่นถึงได้ไม่ฆ่าเรา ราวกับจะรู้ล่วงหน้าว่าเราในตอนนี้จะเริ่มมีจิตใจของมนุษย์ขึ้นมาก็ได้...แต่พับผ่าเหอะ มันน่าโมโหจริง ๆ...การเป็นชาวไซย่าที่รักการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันผ่าเหล่าใจดีแบบนี้เนี่ย!.....สู้มันนะ คาคาล็อต แกนั่นแหละหมายเลข 1!” (ข้อความจากหนังสือการ์ตูนดราก้อนบอล ศึกสุดท้ายระหว่างโกคูและจอมมารบู) นี่คือสิ่งที่เบจิต้า เจ้าชายแห่งดาวไซย่าผู้ทะนงตัว เรียนรู้และยอมรับจากโกคู ความแข็งแกร่งของโกคูที่เหนือกว่าเขา ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่อยากรบราฆ่าฟัน แต่มันเกิดจากความรู้สึกที่อยากจะปกป้องคนที่รักต่างหาก หลังศึกจอมมารบู เบจิต้าก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ได้ตระหนักถึงความสำคัญของ “ครอบครัว” และ “ความรักความผูกพัน” อย่างแท้จริง เบจิต้าเริ่มกลายเป็นพ่อบ้านแสนดี ยอมทิ้งการฝึกของตัวเองเพื่อพาครอบครัวไปเที่ยว แถมในภาค Super พอมีลูกสาวอีกคน ก็กลายเป็นคุณพ่อเห่อลูกสาวอย่างชัดเจน เฝ้าดูบุลม่าตอนคลอด จนคลอดแล้วก็ยังเฝ้าดูแลทั้งบุลม่าและลูกสาวอย่างดี ตอนที่เทพแห่งการทำลายล้างตบหน้าบุลม่า เบจิต้าก็ฟิวส์ขาดปรี๊ด ตะโกนออกมาเลยว่า “แกกล้าดียังไงมาทำกับบุลม่าของข้า” พุ่งเข้าไปเดี่ยวกับเทพแห่งการทำลายล้างได้อย่างสะใจมาก เรียกว่าเบจิต้าคือตัวละครที่พัฒนาคาแรคเตอร์ไปมากที่สุดในเรื่องก็ว่าได้ จากนักล่าสุดโหดเยี่ยงสัตว์ป่า พัฒนาไปสู่ความเป็นพ่อบ้านผู้เข้าอกเข้าใจความรักแบบครอบครัวอย่างมาก (ในขณะที่โกคูเป็นสามีที่ห่วยแตก และเป็นพ่อที่แย่ ให้พิคโกโล่ทำหน้าที่พ่อแทน!) เบจิต้าคือนักล่าที่กลับใจ และเข้าถึงภาวะแห่งชีวิตที่แท้จริง คงเป็นดังคำกล่าวของอาจารย์ยิปมันในภาค 2 นั่นเองคือ “การมุ่งเอาชนะ เป็นเรื่องสำคัญกว่าการได้กลับไปกินข้าวกับลูกเมียหรือเปล่า” และเบจิต้าเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดีมาก จึงเป็นตัวละครพ่อบ้านที่สุดในเรื่องนี้นั่นเอง