5 สัญญาณที่ชี้ว่าคุณควร ‘ลาออก’ ไปแสวงหาโอกาสใหม่ให้ชีวิต

5 สัญญาณที่ชี้ว่าคุณควร ‘ลาออก’ ไปแสวงหาโอกาสใหม่ให้ชีวิต

สำรวจ 5 สัญญาณที่ชี้ว่าคุณควร ‘ลาออก’ ไปแสวงหาโอกาสใหม่ให้ชีวิต ดีกว่าจมปลักอยู่ที่ทำงานเดิม

  • หากคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว อะไร ๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น ให้ลองคิดหาคำตอบดูว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้วัฒนธรรมองค์กรเป็นพิษ และลองชั่งน้ำหนักดูว่ามันจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่
  • สุดท้ายหากคุณรู้สึกว่าปัญหานี้หยั่งรากลึกเกินไปจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ การพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์นี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด 
  • ตอนคุณตื่นมาทำงานในเช้าวันจันทร์ คุณกลัวที่จะไปทำงานไหม? คนส่วนใหญ่อยากให้วันหยุดสุดสัปดาห์มีมากกว่า 2 วัน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เคยมุ่งมั่นในการทำงาน แล้ววันนี้จู่ ๆ คุณก็กลายเป็นคนทำอะไรต่ำกว่ามาตรฐาน คุณน่าจะกำลังรู้สึกผิดหวังมากถึงมากที่สุด

ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสุขในการทำงานอย่างสิ้นเชิง ช่วงปลายปีแบบนี้อาจถึงเวลาแล้วที่คุณจะคิดทบทวนว่าจะทนทำงานที่เดิมต่อไป หรือเดินหน้าหางานใหม่ดี?

เข้าใจแหละว่าการร่อนใบสมัครหางานใหม่ในช่วงนี้ อาจเป็นสิ่งที่หลายคนต้อง ‘คิดหนัก’ เพราะยังมีข่าวบริษัทน้อยใหญ่หลายแห่งเลย์ออฟพนักงานต่อเนื่อง ส่วนที่ยังไม่เอาคนออกก็ไม่ค่อยอยากจะเปิดรับพนักงานใหม่สักเท่าไร 

ใครที่ยังลังเลไม่รู้จะหางานใหม่ดีไหม ต่อไปนี้เป็น 5 เหตุผลที่ ‘มาร์โล ลีออนส์’ โค้ชด้านอาชีพ, นักบริหาร และทีม ผู้เขียนหนังสือ Wanted – A New Career: The Definitive Playbook for Transitioning to a New Career or Finding Your Dream Job. หยิบยกมาให้คุณสำรวจตัวเองและที่ทำงาน ถ้ามีครบก็เตรียมตัวออกเดินทางได้

1. สภาพแวดล้อมเป็นพิษ (The environment is toxic)

ตอนที่คุณไปทำงาน คุณรู้สึกดีกับตัวเองและงานที่คุณทำหรือไม่? ถ้างานของคุณมันรบกวนสุขภาพจิต ทำให้นอนไม่หลับ ทำให้คุณปรี๊ดแตกใส่คนรักอยู่บ่อย ๆ รวมถึงทำให้คุณถูกดูถูก ถูกด้อยค่า เกินกว่าการฟีดแบ็กกันตามปกติ หรือคุณพบว่าตัวเองเอาแต่บ่นเรื่องงานให้คนในครอบครัวหรือเพื่อน ๆ ฟัง นั่นอาจหมายความว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติของหัวหน้าหรือวัฒนธรรมองค์กรได้แล้ว

คุณอาจลองสำรวจ ‘คำพูด’ และ ‘การกระทำ’ ของตัวเองด้วยว่า เริ่มปล่อย ‘พลังลบ’ ออกมาแล้วหรือยัง? เช่น การนินทา การบ่น หรือเริ่มตัดสินใจทำอะไรด้วยเหตุผลด้านลบ การแสดงทัศนคติที่ไม่ดี หรือพยายามสกัดไม่ให้คนอื่นไปถึงเป้าหมาย ถ้าเป็นอย่างที่ยกตัวอย่างมา ก่อนจะผลีผลามลาออก ให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองก่อน เพื่อดูว่าหลังจากเปลี่ยนตัวเองแล้ว สถานการณ์ในที่ทำงานดีขึ้นหรือไม่ 

แต่หากคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว อะไร ๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น ให้ลองคิดหาคำตอบดูว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้วัฒนธรรมองค์กรเป็นพิษ และลองชั่งน้ำหนักดูว่ามันจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ สุดท้ายหากคุณรู้สึกว่าปัญหานี้หยั่งรากลึกเกินไปจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ การพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์นี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด 

2. ‘คุณค่า’ ของคุณถูกทำลาย (Your values are being violated.)

ถ้าคุณรู้สึกท้อแท้กับงาน อาจเป็นไปได้ว่า บางสิ่งที่คุณให้ ‘คุณค่า’ ได้ถูกทำลายไป เช่น การที่หัวหน้าชอบสั่งงานคุณหลังเลิกงาน ทั้งที่คุณจำเป็นต้องกลับไปกินอาหารเย็นกับที่บ้านทุกวัน 

วิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้ว่า มีการทำลายสิ่งที่คุณให้คุณค่าหรือไม่ ให้คุณเรียงลำดับสิ่งที่ให้คุณค่าเป็นตัวเลขระหว่าง 1 – 5 โดยเลข 1 เป็นสิ่งที่คุณให้คุณค่าน้อยที่สุด ส่วนเลข 5 เป็นสิ่งที่คุณให้คุณค่ามากที่สุด และอยากจะทำให้สำเร็จในแต่ละวัน คุณต้องหมั่นทบทวนสิ่งที่ให้คุณค่าระหว่างเลข 1 – 3 ว่ามีอะไรที่สามารถแก้ปัญหาได้บ้าง 

ยกตัวอย่างกรณีที่คุณต้องกลับไปกินอาหารเย็นที่บ้าน คุณอาจต้องบอกหัวหน้าไปตามตรงว่าคุณไม่ว่างในช่วงหลังเลิกงาน แต่สามารถทำงานให้ได้ถ้าเป็นงานที่จำเป็นเร่งด่วน แต่หากเจ้านายยังไม่เคารพเวลาส่วนตัวของคุณ บางทีงานที่คุณทำอยู่นี้อาจจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่คุณให้คุณค่าก็เป็นได้

3. ทักษะของคุณไม่ได้ถูกใช้และพัฒนา (Your skills aren’t being used and developed.)

คนส่วนใหญ่ต้องการที่จะใช้ทักษะของตัวเองเพื่อสร้างผลกระทบบางอย่าง ทีนี้ลองคิดถึงทักษะที่คุณมีและทักษะที่คุณอยากจะพัฒนาเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของคุณ เช่น หากคุณต้องการใช้ทักษะการแก้ปัญหา แต่ไม่มีโอกาสได้ลองทำงานที่มีปัญหาซับซ้อนเลย เป็นไปได้หรือไม่ที่คุณจะไปหารือกับผู้จัดการเพื่อให้ตัวเองได้ทำงานที่ซับซ้อนขึ้น หรือขอเข้าประชุมที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน 

หากคำตอบในคำถามเหล่านี้คือ ‘ไม่’ บางทีคุณอาจจะไม่ได้เจริญก้าวหน้าในอาชีพ หากคุณยังติดอยู่กับที่นี่

4. คุณไม่มีโอกาส ‘ฉายแสง’ (You’re not given opportunities to be visible.)

การทำงานให้บรรลุเป้าหมายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่ความสำเร็จและความก้าวหน้าในอาชีพการงานในระยะยาว หากหัวหน้าของคุณเปิดโอกาสให้คุณได้ ‘ฉายแสง’ ผ่านการทำงานในโครงการสำคัญ คนอื่นจะได้เห็นทักษะและความสามารถของคุณ

เมื่อคุณรู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณสามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ หมายความว่าคุณกำลังสร้างแบรนด์ของตัวคุณเอง เมื่อแบรนด์ของคุณเติบโตขึ้น คุณจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำทางความคิด และผู้มีส่วนทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสใหม่ ๆ หรือการเลื่อนตำแหน่ง 

ตรงกันข้าม หากหัวหน้าของคุณ ไม่ยอมปล่อยให้คุณได้โชว์ความสามารถให้ผู้จัดการหรือเพื่อนร่วมงานได้เห็น มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะได้สร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งจะทำให้การเติบโตในองค์กรสำหรับคุณ เป็นเรื่องยากขึ้น

5. คุณรู้สึกว่าตัวเองพลังงานต่ำลง (You’re feeling low energy.)

ตอนคุณตื่นมาทำงานในเช้าวันจันทร์ คุณกลัวที่จะไปทำงานไหม? คนส่วนใหญ่อยากให้วันหยุดสุดสัปดาห์มีมากกว่า 2 วัน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เคยมุ่งมั่นในการทำงาน แล้ววันนี้จู่ ๆ คุณก็กลายเป็นคนทำอะไรต่ำกว่ามาตรฐาน คุณน่าจะกำลังรู้สึกผิดหวังมากถึงมากที่สุด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่างานของคุณมันซ้ำซากจำเจหรือขาดความน่าสนใจ หรืออาจเป็นเพราะคุณหงุดหงิดกับเรื่องอื่น ๆ แทบจะทุกวัน บางทีอาจหมายความว่างานนี้ไม่เหมาะกับคุณอีกต่อไปแล้ว ถ้าไม่มีอะไรที่คุณสามารถทำเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง เช่น การเสนอตัวทำโครงการใหม่ที่น่าสนใจ หรือหาวิธีทำให้ตัวเองมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ งานใหม่อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในการปลุกไฟงานในตัวคุณให้ลุกโชติช่วงอีกครั้ง

สัญญาณที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อ ท้ายที่สุดจะนำไปสู่การขาดการมีส่วนร่วมในงาน ซึ่งอาจทำให้อาชีพการงานของคุณตกอยู่ในความเสี่ยง ดังนั้น เมื่อคุณตระหนักว่าชีวิตการทำงานของตัวเองเต็มไปด้วยความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจ การควบคุมโชคชะตาของตัวเองย่อมดีกว่าการรอให้คนอื่นตัดสินชะตากรรมแทนคุณ

ลองดูว่าคุณจะสามารถพาตัวเองกลับเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานได้อีกหรือไม่ หรืองานใหม่จะทำให้คุณรู้สึกได้รับการเติมเต็มมากขึ้น 

 

ภาพ : Pexels

อ้างอิง : 
Reasons to Leave Your Job - Even in a Downturn by  Marlo Lyons / Harvard Business Review