03 เม.ย. 2567 | 12:53 น.
KEY
POINTS
มีการพูดคุยและหาทางแก้ปัญหามามากมาย ยามที่คนทำงานเกิดอาการ ‘Burnout’ หรือ ‘ภาวะหมดไฟ’ ซึ่งเป็นเรื่องของความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ
แต่อีก ‘ภาวะหมด’ ที่เป็นอีกรูปแบบความเครียดของคนทำงาน และกำลังเกิดขึ้นกับคนทำงานจำนวนมาก ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ นั่นคือ ‘Brownout’ หรือ ‘ภาวะหมดใจ’
แปลเป็นไทยแล้วฟังดูเหมือน ‘คนช้ำรัก’ แต่รากศัพท์จริง ๆ คำว่า Brownout มาจากคำที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน โดยใช้อธิบายกรณีแรงดันไฟฟ้าที่ลดลงจนทำให้ไฟสลัวหรือกะพริบ
แต่ในโลกของการทำงาน คำว่า Brownout ใช้กล่าวถึงพนักงานที่ไม่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมใด ๆ ในงาน หมดสิ้นความสนใจ และแรงกระตุ้นใด ๆ
‘ดร.ฟรองซัวส์ โบแมน’ ผู้เขียนหนังสือด้านจิตวิทยาการทำงาน ‘Le brown-out: Quand le travail n’a plus aucun sens’ อธิบายว่า Brownout เป็นความเหนื่อยหน่ายในบุคคลที่มองว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่ดูไร้สาระ ซึ่งแตกต่างจาก Burnout ที่มีอาการต่าง ๆ ชัดเจน ในขณะที่ Brownout จะแสดงอาการเงียบ ๆ นำไปสู่การลาออกปุบปับ
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ฝ่ายเอชอาร์หรือผู้จัดการต้องใส่ใจคือการพูดคุยกับพนักงานที่มีปัญหา Brownout และทำให้งานของพวกเขาเหล่านั้นมีความหมาย
แต่ก่อนจะไปลงรายละเอียดเรื่อง Brownout เรามาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Burnout กับ Brownout กันก่อน จะได้วินิจฉัยถูกว่าตัวเองกำลังเป็นอะไรกันแน่
เริ่มที่ Burnout กันก่อน อาการนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบของความเหนื่อยหน่ายในอาชีพการงานที่คนได้ยินบ่อยที่สุด มักมีสาเหตุจากการทำงานเกินเวลา หรือทำงานเกินความสามารถที่ร่างกายและจิตใจจะรับไหว ซึ่งมักจะปรากฏสัญญาณต่าง ๆ ได้แก่
ส่วน Brownout นั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของความเหนื่อยหน่ายหรือหมดใจในด้านอาชีพการงานที่เกิดจากการสูญเสีย ‘ความหมาย’ ในที่ทำงาน ซึ่งอาจจะวินิจฉัยได้ยากกว่า Burnout เนื่องจากบุคคลที่เผชิญภาวะ Brownout ยังคงปฏิบัติงานได้ปกติ ความเจ็บป่วยของพวกเขาปรากฏอยู่เฉพาะทาง ‘จิตใจ’ เท่านั้น
บุคคลที่เผชิญภาวะ Brownout มักจะมีความรู้สึกหรือแสดงอาการ ดังนี้
แล้ว Brownout เกิดจากอะไร?
คนทำงานที่ประสบปัญหานี้อาจสูญเสียความมุ่งหมายในการทำงาน เนื่องจากการทำงานหรือโปรเจกต์ที่ดูทรงแล้วไม่มีทางเป็นได้ หรือเนื่องจากการถูกลดคุณค่าในการทำงาน การทำงานเดิมซ้ำ ๆ การถูกตำหนิ และแม้แต่การทำงานที่ขาดสิ่งกระตุ้น
แม้ว่าภาวะ Brownout จะไม่ร้ายแรงเทียบเท่าภาวะ Burnout แต่ก็ถือได้ว่าเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในที่ทำงานมากกว่า
จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2022 ประมาณการว่า 5% ของผู้บริหาร 1,000 คน ต้องทนทุกข์ทรมานจากภาวะ Burnout ในขณะที่ 40% ทุกข์ทรมานจากภาวะ Brownout… เห็นตัวเลขที่แตกต่างนี้แล้วก็แอบสยอง
Brownout ยังแตกต่างจาก Burnout ตรงที่ Burnout จะเกิดขึ้นชั่วคราว แต่ Brownout อาจส่งผลระยะยาวต่ออาชีพการงานและชีวิตส่วนตัว สาเหตุหลักที่ภาวะ Brownout เป็นปัญหามากก็คือพนักงานคนนั้นไม่ได้แสดงอาการวิกฤตที่ชัดเจน หมายความว่าอาการของพวกเขานั้นอาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเสมอไป แน่นอนว่าพวกเขาจะทำเอานายจ้างช็อกอ้าปากค้าง เวลาที่เดินมายื่นใบลาออกกะทันหัน
นอกจากนี้ภาวะ Brownout อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพนักงานเท่านั้น ในบรรดาผู้นำองค์กรที่เผชิญภาวะนี้ก็อาจสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ Toxic ได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยมักปรากฏในรูปของการซึมซับวัฒนธรรมองค์กรในทางลบ เพิกเฉยต่อไอเดียใหม่ ๆ ปฏิเสธที่จะพัฒนาความสามารถใหม่ ๆ และมักจะไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทของตนเอง
สำหรับวิธีแก้ไขและป้องกันภาวะ Brownout สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. แนะนำวิธีแก้ไขและป้องกันภาวะ Brownout ดังนี้
ส่วนคนทำงานที่กำลังทุกข์ทรมานกับภาวะ Brownout จงอย่าลืมว่า ไม่มีใครตัดสินใจแทนคุณได้ว่าจะ ‘ไปต่อ’ หรือ ‘พอแค่นี้’ และทุกการตัดสินใจไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแต่การตัดสินใจที่คุณได้มีโอกาส ‘เลือก’ เอง
เรื่อง : พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ : Pexel
อ้างอิง :
WHAT IS BROWNOUT SYNDROME AND WHY IT SHOULD BE ADDRESSED AS A PRIORITY BY EMPLOYERS
‘เบื่องาน’ ไม่ใช่แค่ ‘หมดไฟ’ แต่มีหลายปัจจัยที่รวมถึงอาการ ‘หมดใจ’ ด้วย
ภาวะ "Brown Out" ไม่ได้หมดไฟ แต่หมดใจ ปัญหายอดฮิตวัยทำงาน