‘เดล คาร์เนกี’ ลูกชาวไร่ยากจน สู่วิทยากรตัวพ่อผู้บุกเบิกด้านการพัฒนาตนเอง

‘เดล คาร์เนกี’ ลูกชาวไร่ยากจน สู่วิทยากรตัวพ่อผู้บุกเบิกด้านการพัฒนาตนเอง

‘เดล คาร์เนกี’ ลูกชาวไร่ยากจน สู่วิทยากรตัวพ่อผู้บุกเบิกด้านการพัฒนาตนเอง โดยใช้ประโยชน์จากความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จของชาวอเมริกัน

‘เดล คาร์เนกี’ เป็นชื่อคุ้นหูสำหรับคนที่ศึกษาด้านการพัฒนาตนเอง 

ชายคนนี้ไม่ใช่มหาเศรษฐีที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง พร้อมบุคลิกที่ดึงดูดจากการร่ำเรียนในโรงเรียนลูกคนรวย ทว่าเป็นลูกชาวไร่ยากจนที่ไม่มีแม้แต่เงินเช่าหอ ต้องขี่ม้าไปกลับระหว่างเรียนวิทยาลัย 

แต่ด้วยความที่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านการพูดมากพอจะทำให้ได้รับการยอมรับ บวกกับจับทางถูกว่าในช่วงหลังเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวอเมริกันปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จและร่ำรวยมากกว่าสิ่งอื่นใด เดล คาร์เนกี จึงได้โอกาสเปิดหลักสูตรสอนด้านการพูดและการพัฒนาตนเอง เพื่อเสริมสร้างพลังบวกและความมั่นใจให้คนเหล่านั้นเดินทางถึงฝั่งฝัน

ต่อไปนี้คือเรื่องราวของ ‘เดล คาร์เนกี’ นักเขียนและนักพูดคนดังชาวอเมริกัน วิทยากรตัวพ่อผู้บุกเบิกด้านการพัฒนาตนเอง ซึ่งตำราและหลักสูตรของเขายังคงได้รับการพูดถึงตราบจนถึงทุกวันนี้ 

เดล คาร์เนกี เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 1888 เติบโตขึ้นมาในฟาร์มแถบนอกเมืองแมรีวิลล์ รัฐมิสซูรี พร้อมกับพ่อแม่ที่เป็นชาวไร่ยากจน ในแต่ละวันเขาจะต้องลุกขึ้นมาตอนตีสี่เพื่อรีดนมวัว เมื่ออายุได้ 16 ปี ครอบครัวของเขาก็ย้ายไปอยู่ฟาร์มแบนอกเมืองวาร์เรนส์เบิร์ก 

พรสวรรค์ด้านการพูดของคาร์เนกีเริ่มเกิดขึ้นในช่วงมัธยมปลาย ซึ่งเขาได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ทำให้มีโอกาสพบกับวิทยากร นักดนตรี นักแสดง และนักพูดชื่อดัง เป็นประจำ คาร์เนกีได้รับแรงบันดาลใจจากวิทยากรที่เขาพบ จึงตัดสินใจเข้าร่วมทีมโต้วาทีของโรงเรียน 
 

หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมในปี 1906 คาร์เนกีได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยครูของรัฐในเมืองวาร์เรนส์เบิร์ก แต่ครอบครัวของเขาไม่มีเงินจ่ายค่าที่พักและค่าอาหารให้ คาร์เนกีจึงต้องขี่ม้าเดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับวิทยาลัยทุกวัน และเขาได้ใช้ช่วงเวลาทองบนหลังม้านี้เพื่อฝึกพูดด้วยตัวเองทุกวัน 

คาร์เนกีจัดได้ว่าเป็นนักเรียนที่มีความทะเยอทะยาน เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านกีฬา แต่รู้ว่าจะหาเพื่อนและได้รับการยอมรับจากความสามารถในการใช้คำพูด 

“อย่างน้อยผมก็สามารถยืนขึ้นพูดได้อย่างฉะฉานและเป็นจุดสนใจมากกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง” 

แม้ในช่วงแรกที่เข้าร่วมทีมโต้วาทีของวิทยาลัย เขาจะถูกเพื่อน ๆ แสดงความรังเกียจเพราะใส่แต่เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ไม่พอดีตัว แต่ด้วยความสามารถด้านการพูดที่โดดเด่น ทำให้เขาได้เข้าร่วมการแข่งขันการพูดในที่สาธารณะบ่อยครั้ง และชนะการแข่งขันส่วนใหญ่ที่เข้าร่วม ความสามารถของเขาในฐานะวิทยากรในที่สาธารณะนั้นสูงมากจนนักศึกษาคนอื่น ๆ เสนอที่จะจ่ายเงินให้เขาสอนพูด 

งานแรกของเขาหลังจากเรียนจบคือการขายหลักสูตรทางไปรษณีย์ให้กับเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปขายเบคอน สบู่ และน้ำมันหมูให้กับบริษัท Armour & Company ซึ่งเขาสามารถทำยอดขายได้เป็นอย่างดี จนพื้นที่ที่เขาดูแลมียอดขายแซงหน้าพื้นที่อื่นในประเทศ 

หลังจากลาออกจากงานขาย เขาก็ไปเข้าเรียนที่ American Academy of Dramatic Arts ในนิวยอร์กซิตี้ในปี 1911 เขาทำงานเป็นนักแสดงในช่วงสั้น ๆ และรู้ตัวอย่างรวดเร็วว่าชีวิตในโรงละครไม่เหมาะกับตัวเอง จึงหันกลับไปมองสิ่งที่ตัวเองถนัดนั่นคือ ‘ทักษะการพูด’
 

เขาเข้าไปเสนอแนวคิดในการสอนการพูดในที่สาธารณะสำหรับผู้ใหญ่ให้กับ YMCA เพื่อแลกกับการเข้าเรียนภาคค่ำ ปรากฏว่าชั้นเรียนของคาร์เนกีได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถตอบโจทย์เรื่องการพูดในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการพูดแบบนักธุรกิจ การสอนเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งาน การพรีเซนต์ให้ได้ผล และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี 

ภายในเวลาสองปี หลักสูตรการพูดของคาร์เนกีก็ได้รับความนิยมมาก จนคาร์เนกีต้องย้ายออกจาก YMCA และไปก่อตั้งสถาบัน ‘เดล คาร์เนกี’ ของตัวเอง เพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มจำนวนขึ้น

ในปี 1913 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกคือ ‘Public Speaking and Influencing Men of Business’ โดยใช้เป็นตำราเรียนสำหรับหลักสูตรของเขา หลังจากหนังสือออกจำหน่ายไม่นาน คาร์เนกีก็เปลี่ยนนามสกุลจาก ‘Carnagey’ เป็น ‘Carnegie’ การสะกดใหม่นี้ถือเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาด แม้ว่าอาจจะดูไม่จริงใจนัก แต่ผู้คนก็เชื่อมโยงชั้นเรียนและหนังสือของเขาเข้ากับตระกูลคาร์เนกีอันเลื่องชื่อ ซึ่งเขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลนี้เลย

ต่อมาในปี 1915 เขากับ ‘เจ. แบร์ก เอเซนเวน’ ได้ร่วมกันเขียนหนังสือ ‘The Art of Public Speaking’ และในขณะที่กำลังสะสมชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 คาร์เนกีก็ถูกเกณฑ์ไปรับใช้ชาติในกองทัพสหรัฐฯ หลังปลดประจำการแล้ว เขาจึงกลับมาพัฒนาหลักสูตร ‘เดล คาร์เนกี’ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมของบริษัทต่าง ๆ มากมาย รวมถึงเจเนอรัล มอเตอร์ และไอบีเอ็ม ซึ่งได้ส่งพนักงานไปเรียนหลักสูตรของคาร์เนกี เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น 

ในช่วงสองทศวรรษถัดมา คาร์เนกีค่อย ๆ ปรับปรุงหลักสูตรของเขาให้ดีขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเรียนของเขา เขาตระหนักว่านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ได้มาจากผู้ที่มีความรู้ทางเทคนิคมากที่สุด แต่เป็นผู้ที่มีทักษะในการเข้ากับผู้อื่นดีที่สุด นักเรียนของเขาจำเป็นต้องเรียนรู้มากกว่าเทคนิคการพูดในที่สาธารณะที่มีประสิทธิภาพ พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะทางสังคมและการสื่อสาร ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีใครออกมาสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

ในปี 1936 หลังจากค้นคว้าอย่างหนักเป็นเวลาหลายปี ด้วยการอ่านชีวประวัติหลายร้อยเล่มเพื่อเรียนรู้ว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกประสบความสำเร็จได้อย่างไร คาร์เนกีจึงได้ตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อว่า ‘How to Win Friends and Influence People’ แม้ว่าในช่วงแรกจะมีการพิมพ์เพียง 5,000 เล่ม แต่หนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่ง หนังสือของคาร์เนกี โดยมียอดขายเกือบ 5 ล้านเล่มตลอดช่วงชีวิตของเขา และได้รับการแปลเป็นภาษาหลักทุกภาษา

เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เรียบง่ายมาก นั่นคือ ต้องเอาใจใส่ผู้อื่น แสดงความสนใจผู้อื่นอย่างจริงใจ เป็นผู้ฟังที่ดี พิจารณามุมมองของผู้อื่น ให้ความร่วมมือกับผู้อื่น คิดบวก และหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น โดยคาร์เนกีได้ใช้ตัวอย่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จเพื่ออธิบายประเด็นต่าง ๆ ในหนังสือ

ความสำเร็จของหนังสือ How to Win Friends and Influence People ทำให้สถาบันเดล คาร์เนกี ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ในช่วงชีวิตของคาร์เนกี สถาบันแห่งนี้ได้ขยายกิจการไปยังเมืองต่าง ๆ ในอเมริกา 750 เมือง รวมถึงต่างประเทศอีก 15 ประเทศ ในปี 1953 คาร์เนกีได้ย้ายสำนักงานใหญ่ของสถาบันไปยังแมนฮัตตัน เมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1955 มีผู้เข้าเรียนหลักสูตรของเขาทั่วโลกประมาณ 450,000 คน

ในขณะที่มุ่งเน้นที่การบรรยาย คาร์เนกียังได้เขียนชีวประวัติของบุคคลดังไปด้วย โดยได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อของเขาที่ว่า วิธีเรียนรู้ความสำเร็จที่ดีที่สุดคือการอ่านเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ 

ในปี 1932 คาร์เนกีได้ตีพิมพ์ชีวประวัติของ ‘อับราฮัม ลินคอล์น’ และต่อมาเขาได้ตีพิมพ์ผลงานรวบรวมชีวประวัติสั้น ๆ อีกหลายเล่ม ทั้งยังได้ตีพิมพ์หนังสือพัฒนาตนเองอีกเล่มหนึ่งชื่อ ‘How to Stop Worrying and Start Living’ ในปี 1948 ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมเคล็ดลับเพื่อป้องกันความเครียดเป็นหลัก

ความสำเร็จของหลักสูตรและหนังสือพัฒนาตนเองของคาร์เนกี อาจกล่าวได้ว่า เป็นการใช้ประโยชน์จากความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จของชาวอเมริกันด้วยการขายคำแนะนำที่ช่วยให้ผู้อ่านมีทัศนคติที่ดีและเพิ่มความมั่นใจให้แก่พวกเขา

หลังจากการแต่งงานครั้งแรกของเขาสิ้นสุดลงด้วยการหย่าร้างในปี 1931 คาร์เนกีได้แต่งงานกับ ‘โดโรธี ไพรซ์ แวนเดอร์พูล’ ในปี 1944 เธอมีบทบาทสำคัญในการขยายสถาบันเดล คาร์เนกี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยให้สถาบันพัฒนาหลักสูตรและโปรแกรมที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้หญิงรุ่นใหม่

คาร์เนกีเสียชีวิตด้วยโรคฮอดจ์กินเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1955 ขณะมีอายุ 66 ปี ในฐานะผู้บุกเบิกด้านการศึกษาสำหรับผู้ใหญ่และการพัฒนาตนเอง แม้ว่าจะมีหนังสือพัฒนาตนเองใหม่ ๆ ออกมาอย่างมากมายในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ How to Win Friends and Influence People ยังคงมีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อทั้งชายและหญิงมากมายเป็นเวลานานหลายทศวรรษหลังจากที่ตีพิมพ์ครั้งแรก

นับตั้งแต่คาร์เนกีเสียชีวิต สถาบันเดล คาร์เนกี ยังคงขยายตัวต่อไป และปัจจุบันได้กลายเป็นบริษัทฝึกอบรมธุรกิจที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง มีการดำเนินงานใน 90 ประเทศ

แม้ว่าเขาจะเขียนหนังสือเป็นจำนวนหลายพันหน้าและบรรยายเป็นเวลาหลายร้อยชั่วโมง แต่ข้อความสำคัญของคาร์เนกีเกี่ยวกับวิธีดำเนินชีวิตที่ประสบความสำเร็จนั้นสามารถสรุปได้ด้วยหลักคำสอนพื้นฐานเพียงสองข้อของเขา นั่นคือ 

“ลืมเรื่องตัวเอง จงทำสิ่งต่างๆ เพื่อผู้อื่น” และ “ยอมรับในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images

อ้างอิง:
Dale Carnegie

Who Was Dale Carnegie?

Dale Carnegie (1888 – 1955)