21 ก.พ. 2568 | 16:00 น.
KEY
POINTS
ภาพจำของ ‘ขนมไทย’ ในสายตาคนส่วนใหญ่คงเป็นขนมที่ปราศจากความน่าสนใจ วางขายตามตลาดนัดด้วยราคาย่อมเยาว์ และมีเพียงคนสูงอายุที่นิยมรับประทาน แต่ไม่ใช่กับ ‘หยกสด’ แบรนด์ขนมไทยที่พลิกภาพลักษณ์ดังกล่าวให้สวยสะดุดตา วางขายตามสนามบินและห้างสรรพสินค้า รวมถึงขยับขยายไปแล้วกว่า 24 สาขาทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ ระยอง เชียงใหม่ ขอนแก่น และนครราชสีมา
ภาพจำของหยกสดที่หลายคนเคยเห็น คงเป็นขนมสีเขียว ตัดกับสีขาวของกะทิหรือมะพร้าวขูด อันเป็นองค์ประกอบเคียงคู่ขนมไทยแทบทุกชนิด หากแต่เรียกไม่ถูกว่าสิ่งที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์สีใสสะอาดตานั้นคืออะไร มีรสชาติและรสสัมผัสแบบไหน นั่นเพราะสินค้าของหยกสดล้วนเป็นขนมไทยที่หาทานได้ยาก ไม่ก็ขนมพื้นฐานซึ่งถูกนำมาดัดแปลง ใส่เอกลักษณ์ ‘เขียวใบเตย’ จนมีรูปลักษณ์แปลกตา น่าค้นหา
เริ่มต้นจาก ‘ขนมเปียกปูน’ ที่หลายคนคงติดภาพจำทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ถูกห่อด้วยใบตอง พร้อมโรยมะพร้าวขูดจนมีรูปลักษณ์คล้ายกับขนมกล้วยหรือขนมตาล ทว่าขนมเปียกปูนของหยกสดคือเนื้อแป้งเนียนหนึบที่ถูกบีบจนมีรูปทรงคล้ายขนมอาลัว โรยหน้าด้วยงา ทานคู่กับน้ำกะทิเข้มข้น เช่นเดียวกับ ‘ขนมดอกจอก’ ที่เราอาจคุ้นชื่อในฐานะขนมสีน้ำตาลกรอบ แต่หยกสดก็ทำการดัดแปลง ใส่สีของใบเตยจนกลายเป็นแป้งกรอบสีน้ำตาลอมเขียว หรือ ‘ขนมชั้น’ ซึ่งถูกทำลายภาพลักษณ์ทรงสี่เหลี่ยม กลายเป็นทรงรีรูปไข่ที่มองแวบแรกคงไม่รู้ว่าเป็นขนมอะไร
ด้วยเมนูขนมไทยหายากกว่า 20 เมนู ทำให้หยกสดเป็นแบรนด์ที่สาารถพูดได้เต็มปากว่า ‘มีเอกลักษณ์’ ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นก็คือ ‘จ๊าก - มหศักย์ สุรกิจบวร’ ชายผู้เรียนจบด้านวิศวกรรม เครื่องกล และไม่เคยมีความคิดที่จะทำขนมมาก่อน โดยเฉพาะกับขนมไทย ซึ่งมหศักย์เล่าว่า ตนในวัยเด็กเคยทานบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเป็นพิเศษ
กระทั่งออกบวชและได้ลิ้มลองรสชาติขนมเปียกปูนกะทิที่ชาวบ้านนำมาถวาย จนติดใจอยากทานซ้ำ หลังสึกออกมาและเดินสำรวจตามห้าง ก็พบว่าไม่มีขนมเหล่านี้วางขาย ด้วยความที่เป็นคนชอบทดลอง จึงเริ่มค้นหาสูตรจากอินเทอร์เน็ตมาลองผิดลองถูกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนได้รสชาติและเอกลักษณ์ที่ลงตัว
“มันค่อย ๆ ไปทีละขั้น อยากทานแล้วหาทานไม่ได้เลยลองทำดู ทำแล้วอร่อยเลยลองขาย แต่จุดที่ทำให้รู้สึกว่าอยากทำจริงจังคือตอนเปิดบูธเล็ก ๆ ที่คอมมิวนิตี้มอลล์ วันแรกขายได้ร้อยกว่ากล่อง ซึ่งเยอะสำหรับเราตอนนั้น เลยคิดว่าถ้าวางแผนดี ๆ ก็น่าจะเป็นธุรกิจที่เลี้ยงตัวเองได้”
มหศักดิ์ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของหยกสด นั่นคือการได้ลองเปิดบูธเล็ก ๆ ขายที่คอมมิวนิตี้มอลล์ใกล้บ้าน ผลปรากฏว่าวันแรกสามารถทำยอดขายได้เหนือความคาดหมาย กลายเป็นแรงกระตุ้นให้อยากลองนำขนมเหล่านี้ไป ‘ขึ้นห้าง’ ซึ่งหากมองย้อนกลับไป ก็จะพบว่าเป็นการเสี่ยงโชคครั้งสำคัญ เพราะถ้าไม่ได้ ‘โชคดี’ ในวันนั้น ความตั้งใจที่จะพาสินค้าขึ้นห้างก็อาจต้องพับเก็บ ไม่ได้รับโอกาสขยับขยายจนกลายเป็นแบรนด์ขนมไทยชื่อดังอย่างทุกวันนี้
ความโชคดีที่มหศักดิ์เล่า คือการที่มีห้างสรรพสินค้าถึงสองแห่งอนุมัติให้หยกสดไปเปิดร้าน จากเดิมที่ตอนแรกอยากทดลองขายแค่แห่งเดียว เพียงแต่เสนอไปสองเพื่อกันแห่งใดแห่งหนึ่งปฏิเสธ โอกาสที่เพิ่มมานั้นนำไปสู่การเรียนรู้ครั้งสำคัญ เพราะมีแห่งหนึ่งที่ ‘ขายดี’ และอีกแห่งที่ ‘ขายไม่ดี’ ซึ่งมหศักย์กล่าวว่า หากตอนนั้นเลือกเปิดขายเพียงแห่งเดียวตามที่วางแผนไว้แล้วประสบชะตากรรมอย่างหลัง เขาอาจมองว่าการขึ้นห้าง ‘ไม่เวิร์ค’ ก็เป็นได้
ความโชคดีอีกอย่างหนึ่งที่อยู่คู่ธุรกิจหยกสดมาตั้งแต่วันแรก คือ ‘ครอบครัว’ ซึ่งสนับสนุนมหศักย์ทุกย่างก้าว เป็นคู่คิดคอยให้คำปรึกษา รวมถึงไม่เคยตีกรอบบังคับให้ลูกชายเดินไปในทิศทางไหน โดยตั้งแต่วันแรกที่เปิดบูธนั้น คุณแม่ของมหศักย์เองก็ได้มาเป็นผู้ช่วยกวนขนม ในขณะที่เจ้าตัวต้องอยู่ประจำหน้าร้าน รอต้อนรับลูกค้าซึ่งหลั่งไหลเข้ามามากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
นับจากวันนั้น ก็ย่างเข้าปีที่ 8 แล้วที่หยกสดถือกำเนิด มีสาขาแล้วถึง 26 สาขา พร้อมความตั้งใจจะขยับขยายออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ด้วยเมนูกว่า 20 เมนู และเอกลักษณ์สำคัญในขนมทุกชิ้น นั่นคือ ‘สีเขียว’ และ ‘กลิ่นหอมของใบเตย’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เดียวกับที่ทำให้มหศักย์ติดใจในขนมไทยตั้งแต่ได้ลิ้มลองในวันนั้น
“ขนมไทยเจ๋งอยู่แล้ว มันไม่ได้ถูกจํากัดที่วัย เพราะทุกวัยก็เปิดรับอะไรใหม่ ๆ อยู่แล้ว ถ้าเรานําเสนอให้น่าสนใจ พัฒนาให้ตอบโจทย์ ไม่ว่ารุ่นไหนก็พร้อมสนับสนุน”
สิ่งที่มหศักย์ตระหนักอยู่เสมอตั้งแต่วันแรกที่สร้างแบรนด์หยกสด คือขนมของทุกประเทศล้วนมี ‘ความเจ๋ง’ ในแบบของตนเอง หากสามารถใส่ความน่าสนใจ และชูความเจ๋งนั้นออกมาได้ ไม่ว่าคนไทยรุ่นไหนก็พร้อมเปิดใจยอมรับ เช่นเดียวกับแบรนด์หยกสดที่สามารถชูความ ‘เขียวใบเตย’ ประกาศให้เราทุกคนได้เห็นว่า ขนมไทยที่อาจถูกมองว่าเป็นขนมรุ่นเก่า สามารถเฉิดฉายในฐานะขนมที่ ‘เจ๋ง’ และ ‘มีเอกลักษณ์’ ได้เพียงใด