‘เชสเตอร์’ Linkin Park และเบื้องหลังเพลง ‘In the End’ ในวันที่เสียงเริ่มต้นของเพลงหายไป

‘เชสเตอร์’ Linkin Park และเบื้องหลังเพลง ‘In the End’ ในวันที่เสียงเริ่มต้นของเพลงหายไป

‘เชสเตอร์ เบนนิงตัน’ แห่งวง ‘Linkin Park’ จากไปแล้ว แต่เรื่องราวและความทรงจำของเขายังคงอยู่ในใจแฟนเพลงเสมอ บทเพลงที่แฟนจำได้ดีคือ ‘In the End’ นี่คือเรื่องราวของเพลงดังในวันที่เสียงเริ่มต้นของเพลงหายไป

  • การจากไปของเชสเตอร์ เบนนิงตัน หนึ่งในนักร้องวง Linkin Park ที่โด่งดังในยุค 2000 ทำให้ผู้คนเริ่มหันมาตระหนักถึงสุขภาพจิตและการดูแลคนรอบข้างมากขึ้น
  • บทเพลง In the End’ ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ทำให้วงแจ้งเกิด และเป็นเพลงที่มาความหมายต่อทั้งแฟนเพลงและวง

เริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนและตอบรับด้วยท่อนแร็ป เมโลดี้ของเพลง ‘In the End’ จากอัลบั้ม ‘Hybrid Theory’ (2000) อัลบั้มแรกของ Linkin Park เป็นท่วงทำนองแสนเศร้าที่คลุกเคล้ากับซาวนด์แบบเมทัลร็อกและฮาร์ดคอร์แร็ปได้อย่างลงตัว 

ทุกอย่างในบทเพลง ‘In the End’ นั้นน่าประทับใจ แต่สิ่งที่ชูให้เพลงนี้โดดเด่นและกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานแห่งยุค 2000s ก็คงหนีไม่พ้นเสียงร้องและ scream ที่เหมือนตะโกนออกมาจากจิตวิญญาณของ ‘เชสเตอร์ เบนนิงตัน’ (Chester Bennington) นักร้องนำวง ชายที่มีอดีตมืดหม่นจนเคยพูดถึงตัวเองว่า 

“ผมมีเชสเตอร์อีกคนอยู่ในหัว หมอนั่นน่ากลัว และผมไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาด้วยตัวคนเดียว”


 
It starts with one thing

/ It starts with one, one thing I don’t know why – In the End /

“ผมถูกลวนลามตั้งแต่อายุเจ็ดหรือแปดขวบ จากเพื่อนรุ่นพี่ที่แก่กว่าไม่กี่ปี เริ่มจากการสัมผัสด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนกลายเป็นการล่วงละเมิดอย่างเต็มรูปแบบ ผมถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ และนั่นมันโคตรแย่เลย”

วัยเด็กของเชสเตอร์ไม่สวยงามนัก – อันที่จริงมันใกล้เคียงกับคำว่า ‘โหดร้าย’ เสียมากกว่า การถูกขืนใจในวัยไม่เดียงสากลายเป็นปมปัญหาใหญ่ที่เจ้าหนูเบนนิงตันต้องกลืนกล้ำเป็นเวลาหลายปี ไม่เพียงเท่านี้ พ่อและแม่ของเชสเตอร์แยกทางกันตอนเขาเพิ่งอายุสิบเอ็ด

แม่ทิ้งเขาไป พี่สาวและพี่ชายล้วนออกจากบ้านและไม่มีใครหวนกลับมา พ่อของเขาทำงานตลอดเช้าและค่ำ ทำให้เชสเตอร์ถูกทิ้งให้อยู่บ้านเพียงลำพัง เจ้าหนูที่ห่างไกลแม่และไม่ได้รับเวลาจากพ่อจึงไม่เคยปริปากบอกใครเมื่อเขาถูกล่วงละเมิดทางเพศ (sexual assaults) สี่ถึงห้าปีที่เชสเตอร์ต้องอดทนกับฝันร้ายที่ดูคล้ายว่าจะไม่มีวันจบ ตลอดเวลาเหล่านั้นเชสเตอร์นึกเกลียดครอบครัวของตัวเอง

“สิ่งเดียวที่ผมอยากทำคือฆ่าทุกคนแล้ววิ่งหนีไป”

เชสเตอร์ถูกลวนลามจนอายุสิบสาม และมีวงดนตรีวงแรกตอนอายุสิบสี่

 

เหล้า โค้ก ม้า และยาขนานอื่น

ก่อนหน้าที่จะมีวงดนตรี เชสเตอร์สนิทสนมกับเหล้าและยาบางประเภทอยู่ก่อนแล้ว เส้นทางที่โรยด้วยผงขาวและกระดาษเมา (แอลเอสดี: magic paper) ก็ยิ่งถลำลึกเมื่อเขาพบกับเพื่อนนักดนตรีและวิถีร็อกแอนด์โรลล์

“ผมต้องเสพมันเพื่อหนีความจริงที่ว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง ทีแรกมันเยี่ยมไปเลย เล่นยาจน get high ดื่มให้เมาหัวทิ่ม มีเซ็กส์กับสาวสวยหลายคน ตอนอายุสิบสาม ผมเสพแอลเอสดี พอไม่มีผมก็เสพยาบ้า”

เชสเตอร์ใช้ชีวิตแบบนั้นแม้ตอนที่ต้องย้ายไปอยู่กับแม่เมื่ออายุสิบเจ็ด แม่ของเชสเตอร์ตกใจมากและพยายามห้ามเขาแต่ไม่สำเร็จ

“ผมเล่นยาทุกวัน วันละมาก ๆ ผมกับเพื่อนเล่น meth (methamphetamine) จนเมา แล้วก็ทำให้ตัวเองสงบลงด้วยการสูบฝิ่น ไม่ก็ดื่มหนักจนฉี่ราดกางเกง และมันดูไม่ได้เลย”

ปี 1999 เชสเตอร์เข้าร่วมวง Linkin Park ในฐานะนักร้องนำ ก่อนหน้านั้นไม่นานเขารู้ตัวว่าเขาต้องเลิกยา

เชสเตอร์เลิกยาบ้า แล้วหันไปสูบกัญชาแทน

Hybrid Theory: เสียงดนตรีลูกผสมใน ‘In the End’

เสียงร้องของเชสเตอร์ใน ‘In the End’ นั้นทั้งรวดร้าว บ้าคลั่ง สิ้นหวังและทรงพลังในคราวเดียว ส่งให้เพลงนี้ ‘ติดหู’ และ ‘ติดใจ’ คอเพลงหลากหลายแนว ซึ่งการผสมผสานแนวดนตรีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเมทัล แร็ป อิเล็กทรอนิกส์ และป็อปเข้าด้วยกันในอัลบั้ม Hybrid Theory นั้นส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ ไมค์ ชิโนดะ (Mike Shinoda) แร็ปเปอร์ นักดนตรี และนักแต่งเพลงประจำวง Linkin Park

‘In the End’ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นได้เพราะปลายปากกาของไมค์และการขังตัวเองไว้ในห้องไร้หน้าต่างเพียงข้ามคืน
 
/ Didn’t look out below. Watch the time go right out the window – In the End /
 
‘In the End’ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก Linkin Park กลายเป็นวงที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มแรก พวกเขาเปิดทัวร์ เล่นดนตรีเกือบทุกค่ำ ดื่มเหล้าและเมาหัวราน้ำในบางโอกาส แอลกอฮอล์และกัญชาเป็นส่วนหนึ่งของวงนี้ แต่ไม่มีใครที่ไปไกลจนเกินกู่ได้เท่ากับเชสเตอร์

“ผมดื่มและเสพกัญชาหนักมาก มันผลักผมออกจากคนอื่น ๆ ในวง ผมไม่รู้สึกสนิทใจกับพวกเขา เราไม่ใช่ครอบครัว และไม่ใช่เพื่อน”

เชสเตอร์อยากเป็นนักร้องในวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมาตลอด แต่ในวันที่ความฝันที่เขาไล่คว้ามาทั้งชีวิตกลายเป็นจริง เขากลับไม่ได้รู้สึกเป็นสุขและพอใจ
 
/ I tried so hard and got so far / in the end it doesn’t even matter – In the End /
 
ปัญหาการดื่มของเชสเตอร์และความเงียบงันที่น่าอึดอัดใจในวง Linkin Park ดำเนินต่อไปจนถึงปี 2006 ที่เชสเตอร์ยืนอยู่บนทางแยก “จะเลิกดื่มเหล้า หรือตาย” เป็นครั้งแรกที่เขาขอคำแนะนำจากสมาชิกในวง และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ทุกคนคุยกันแบบเปิดใจ

“ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองกลายเป็นฝันร้ายของคนอื่น ผมรู้ว่าผมมีปัญหา - ผมติดยา แต่ผมไม่รู้ว่านั่นมันส่งผลกับคนรอบตัวยังไง จนกระทั่งเพื่อน ๆ ในวงเปิดใจกับผม มันทำให้ผมช็อกมาก พวกเขาบอกว่าผมมีสองตัวตน มีเชสเตอร์ แล้วก็ผู้ชายห่าอะไรไม่รู้อีกคนหนึ่ง”

/ I’ll face myself to cross out what I’ve become – What I’ve done /
 
“มีแต่เพื่อน ๆ ในวง Linkin Park เท่านั้นแหละที่ทนผมได้ พวกเขาไม่ได้ติดเหล้า พวกเขาเป็นคนปกติทั่วไป เราไม่ได้เจอปัญหาแบบเดียวกัน ผมเลยต้องโดดเดี่ยว นั่นไม่ใช่ความผิดพวกเขา แต่เป็นเพราะผมเอง”


 
One More Light: หากดาวหายไปใครจะจดจำ

ช้าและนานกว่าเชสเตอร์จะค่อย ๆ ดีขึ้นจากปัญหาที่รุมเร้า ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น นอกจากเป็นนักร้องนำวง Linkin Park เขามีโปรเจกต์ที่ทำในนามวง Stone Temple Pilots และ Dead By Sunrise

เชสเตอร์ยังคงใช้เสียงร้องและ scream ของเขาปลุกใจ ปลอบโยน และเล่าเรื่องราวผ่านเพลงที่ครองใจและ ‘ช่วยชีวิต’ คนจำนวนมากให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแย่ ๆ ไปได้ จนกระทั่งอัลบั้มชุดสุดท้ายของเขาในนามวง Linkin Park ที่มีชื่อว่า ‘One More Light’ เมื่อปี 2017 ในอัลบัมนี้ เชสเตอร์ไม่ได้ใช้วิธีร้องแบบ scream อย่างที่เคยแล้ว แต่กลับใช้เสียงนุ่ม ๆ แทน รับกับดนตรีที่ถอยจากขนบของเมทัลมาสู่แนวทางของอัลเทอร์เนทีฟป็อป - ร็อก จนหลาย ๆ คนบอกว่าเป็นอัลบั้มที่ ‘เบา’ ที่สุด เท่าที่วงเคยทำ

สำหรับเชสเตอร์ อัลบั้มนี้กลับช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาที่มืดมนมาได้ และกลายเป็น ‘อัลบั้มแห่งการเยียวยา’ ของเขา

หลังจากที่ชีวิตของเชสเตอร์เริ่มผ่านจุดวิกฤติ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตัวเองอยากใช้ชีวิตแบบไหน

“ผมอยากมีความสัมพันธ์ที่ดี ผมอยากมอบความรักให้ผู้คนในชีวิต ผมอยากสนุกไปกับการทำงาน ผมจะยอมแพ้แล้วตายไปก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะอยู่ต่อแล้วสู้เพื่อสิ่งที่ผมอยากได้และอยากเป็น”

แต่ช่วงเวลาดี ๆ ก็ไม่ได้คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ หนึ่งเดือนก่อนอัลบั้ม ‘One More Light’ จะวางขายในท้องตลาดอย่างเป็นทางการ คริส คอร์เนลล์ (Chris Cornell) นักร้องนำวง Soundgarden เพื่อนคนสำคัญของเชสเตอร์ ได้จบชีวิตตัวเองในวัย 52 ปี

‘One More Light’ เพลงที่ถูกนำมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้ม กลายเป็นเพลงที่เชสเตอร์ต้องกลั้นน้ำตาแล้วร้องออกมาเพื่อระลึกถึงเพื่อนของตน
 
/ Who cares if one more light goes out, in the sky of a million stars /
‘ใครจะสนใจถ้าดาวสักดวงร่วงหล่นจากผืนฟ้าที่มีดวงดาวนับล้าน’
 
เสียงเปียโนดังขึ้น รับกับเสียงกีตาร์และเสียงร้องที่ทั้งเหงาและเศร้า ราวกับเชสเตอร์ตั้งใจให้เพื่อนผู้ล่วงลับของเขาได้รับฟังด้วย
 
/ Who cares if one more light goes out, Well I do /
‘ใครจะไปสนใจถ้าแสงดาวมืดดับไป? ก็ฉันคนนี้ไงที่สนใจ’
 
หลังจากนั้นไม่นานนัก วันที่ 20 กรกฎาคม 2017 เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำที่สร้างความสุขให้กับผู้คนมากมาย เลือกที่จะจากไปด้วยวัย 41 ปี


 
In the End, it does matter

เชสเตอร์ เบนนิงตัน ดวงดาวที่สว่างและสวยงามที่สุดดวงหนึ่งบนโลกได้จากเราไป แต่เรื่องราวของเขาไม่ได้หายไปไหน รวมถึงวงที่เขาเป็นส่วนหนึ่งอย่าง Linkin Park ด้วย

“นายอยู่ในใจผู้คนมากมาย อาจจะมากกว่าที่นายรู้ตัวเสียอีก นายถูกรักจากโลกทั้งใบแม้ในวันที่นายไม่อยู่ ครอบครัวของนายอยากให้ทุกคนรู้ว่านายเป็นสามี ลูกชาย และพ่อที่ดีเยี่ยมแค่ไหน ชีวิตพวกเขาคงต่างออกไปเมื่อนายจากไปแล้ว” ส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์ของวง Linkin Park

บทเพลง In the End ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Linkin Park ถูกเล่นอีกครั้งในคอนเสิร์ต Linkin Park & Friends Celebrate Life in Honor of Chester Bennington โดยไร้เสียงร้องที่ตรึงใจของเชสเตอร์ มีเพียงเสียงดนตรีที่ถูกถ่ายทอดโดยสมาชิกคนอื่น ๆ ในวง เสียงแร็ปของไมค์ ชิโนดะ และเสียงตะโกนร้องเพลงของคนดูที่ดังก้องไปทั้งฮอลล์เท่านั้น

ตลอดชีวิตของเชสเตอร์ เขาร้องท่อน I tried so hard and got so far, in the end it doesn’t even matter ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง โดยที่เขาอาจจะไม่รู้เลยว่าสำหรับแฟน ๆ ประโยคที่ว่าในเพลง ‘In the End’ ได้เปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาพูดถึงเชสเตอร์
 
“You tried so hard and got so far, in the end, it does matter”
คุณพยายามมามากเลยนะ คุณมาได้ตั้งไกล และสุดท้ายมันมีค่ามากเหลือเกิน
 
แด่เชสเตอร์ เบนนิงตัน ผู้คนนับล้านจะจดจำเขาในฐานะชายผู้เป็นแรงบันดาลใจไปตราบเท่าที่โลกยังมีเสียงดนตรี


 
เรื่อง: จิรภิญญา สมเทพ

อ้างอิง:

The Guardian

thedawnrehab.com

nickiswift.com

mcctartan.com

loudersound.com

loudersound (2)