ก่อนตาย ไดอารี Chapter 02 : ครั้งแรกของเด็กหนุ่ม

ก่อนตาย ไดอารี Chapter 02 : ครั้งแรกของเด็กหนุ่ม

หน้าที่สามของไดอารีที่ชื่อว่า 'ก่อนตาย' เรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ค้นพบว่าถึงชีวิตจะแหลกเหลวเพียงใด แต่ยังมีคนคนหนึ่งที่ไม่เคยทิ้งเขาไปไหน แม้ว่าความตายจะพรากจาก

แม่ผมเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิต ผมพูดได้เต็มปากว่าผมรักแม่ ไม่ว่าผมจะทำอะไร แม่ก็มักจะเป็นกำลังใจคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ โลกของผมจึงมีแต่ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่ไม่เคยทิ้งผมไปไหน ถึงผมจะทำตัวเหลวแหลกแค่ไหน แต่เมื่อมองกลับมาทีไร แม่ก็มักจะมอบรอยยิ้มและอ้อมกอดอันอบอุ่นให้ผมโดยไม่ลังเล

ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เพื่อนตอนประถมไม่ยอมเล่นด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อาจเป็นเพราะผมเองที่แปลก ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และชอบทำอะไรเงียบ ๆ คนเดียวอยู่หลังห้อง แต่คุณเชื่อไหมว่าผมเองก็เหงาอยู่เหมือนกันนะ ผมไม่อยากให้เพื่อนมองว่าเป็นตัวประหลาด ก็อย่างที่คุณรู้ว่าโลกของเด็กประถมถ้าโดนเพื่อนแบนไม่คุยด้วยจะพังขนาดไหน และใช่ ชีวิตผมพังบัดซบ กลับบ้านมาก็จดชื่อเพื่อนที่แกล้งลงบนกระดาษ สาปแช่งให้มันตาย ๆ ไปซะ ทำแบบนี้อยู่ร่วมเดือน จนวันนึงพวกมันให้โอกาสผมให้กลับเป็นเพื่อนอีกครั้ง หากทำตามเงื่อนไขหนึ่งข้อ

“เฮ้ย! ถ้าอยากมาเป็นเพื่อนกูก็ซื้อบัตรเติมเกมให้กูคนละพันดิ”

พวกมันหัวเราะใส่ผมไม่หยุด ผมได้แต่นิ่งเงียบ เก็บความแค้นไว้ในใจจนกลับมาระบายกับถังขยะหน้าบ้าน ผมอยากจะฆ่ามันให้ตาย ไม่อยากให้มันพ่นคำพูดสกปรก ๆ และแกล้งผมแบบนี้อีก

หลังจากระบายอารมณ์เสร็จ จังหวะหันกลับมาสบตากับแม่ที่เดินผ่านมาพอดี ทำเอาหัวใจผมร่วงหล่น ผมไม่อยากให้แม่เห็นภาพที่น่าละอายแบบนี้ อยากให้ท่านเห็นว่าผมเป็นเด็กดี ไม่มีปัญหาอะไรในชีวิต แต่ทำไงได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมคงต้องสารภาพ แต่จะบอกท่านยังไงว่าลูกชายของแม่กำลังโดนเพื่อนร่วมห้องรังแก

“เป็นอะไรลูก”

“ไม่เป็นอะไรแม่ แค่ขยะมันไม่ลงถัง เลยเก็บมันเข้าถังเฉย ๆ”

“แม่...”

“ว่าไง มีอะไรหรือเปล่า”

“เมื่อไหร่ผมจะเรียนจบ ป.6 ผมอยากขึ้น ม.1 ไว ๆ”

ผมเห็นแววตาวูบไหวของแม่ เธอสับสนและเศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน ผมรู้ว่าแม่คงคิดว่าเด็กในวัยนี้อาจต้องผ่านช่วงเวลาอะไรแบบนี้มาบ้าง แต่แม่คงไม่คิดหรอกว่าผมจะตกเป็นเหยื่อให้ลูกชาวบ้านรุมกลั่นแกล้ง

ทันทีที่ฟังเรื่องของผมจบ แม่ยกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงไปหาครูประจำชั้น และบอกทุกอย่างให้ครูฟัง วันต่อมาเหตุการณ์ทุกอย่างก็สงบลง เพื่อนไม่แกล้งผมอีกแล้ว แถมยังยอมรับให้ผมเข้ากลุ่มอีกต่างหาก

แปลกเนอะ ทำไมเด็กถึงลืมง่ายขนาดนี้ ผมเองก็ลืมความโกรธพวกนั้นไปเหมือนกัน และยอมเล่นกับคนที่ผมเคยอยากให้พวกมันตายได้อย่างสนิทใจ

นั่นคือความทรงจำวัยเด็กที่ผมรู้สึกว่า แม่คือผู้หญิงที่พร้อมปกป้องผมเสมอ ซึ่งบอกตามตรงครอบครัวเราก็ไม่ได้รักใคร่อะไรกันมากหรอก ผมเองก็มีพี่สาวที่ไม่ค่อยสนิทกัน ส่วนพ่อ ก็เป็นศิลปินดาษ ๆ มักขลุกตัวอยู่กับกีต้าร์ตัวเก่ง เล่นมันทั้งวี่ทั้งวัน

แต่ผมเกลียดเสียงกีต้าร์ของพ่อ เกลียดน้ำเสียงและท่าทางที่มักเมามายไม่ได้สติกลับมาบ้านเสมอ พ่อไม่เคยให้ความรักอะไรกับแม่และพี่สาว รวมถึงผมเลย

ผมเกลียด...

เกลียดทุกอย่าง จนวันหนึ่งผมทนไม่ไหว เสียงกีต้าร์ที่พ่อบรรเลงมันทำใจผมทรมาน ทำไมพ่อถึงสนใจแต่ดนตรี ทำไมไม่สนใจคนในบ้านบ้าง ผมเลยไปกระทืบสิ่งที่พ่อรักจนมันพังไม่เป็นท่า

ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อคิดยังไง อาจเพราะผมยังเด็ก พ่อเลยไม่ถือสาเอาความ หรือเพราะผมเป็นลูกชายคนเดียวของเขา เขาเลยเลือกจะนิ่งเงียบ หรือเขาจะรักผมจริง ๆ ผมไม่มีคำตอบ

“พ่อรู้มั้ยว่า ผมไม่ชอบเสียงกีต้าร์ เกลียดมันด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผมกลับขาดมันไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมตอนไหน” ผมบอกกับพ่อตอนที่เรานั่งดื่มด้วยกัน

“ฟังพ่อนะ เรื่องดนตรีเป็นเรื่องละเอียดอ่อนให้เวลากับมันเยอะ ๆ อยากทำอะไรทำ อยากเป็นอะไรเป็น พ่อไม่ห้าม ขอแค่อย่างเดียวเรื่องดนตรีถ้าจะทำจริง ๆ ก็ทำให้มันสุด อย่าไปแคร์คนอื่น”

บอกตามตรงว่าคำพูดที่ออกจากปากพ่อที่เมามายไม่ได้สติ ไม่ได้ทำให้ผมฉุกคิดอะไรมากนัก มันก็แค่คำพูดของชายขี้เมา นักดนตรีที่ฝันเฟื่องไปวัน ๆ

นั่นคือความทรงจำที่มีต่อพ่อที่ฝังอยู่ในใจเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ต่างจากแม่ ผมมีเธออยู่ในทุกช่วงจังหวะชีวิต ผมรักเธอ แต่ไม่กล้าบอกหรอก แค่จะกอดแสดงความรักยังไม่กล้าเลย

แต่คุณก็รู้ว่าชีวิตวัยรุ่นมีอะไรมากกว่านั้น แม่ไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักในชีวิตอีกต่อไป ผมรักเธอ เธอคนที่กดส่งคำขอเพิ่มเป็นเพื่อนผ่านทางเฟซบุ๊กมา หลังจากเราแนะนำตัวกันในสายรหัสผ่านทางโปรแกรมซูม คุณคงจะเดาออกว่าผมเป็นนักศึกษาในยุคไหน ใช่, ผมกับเธอเรารู้จักกันในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 บอกเลยว่าเป็นโลกที่โกลาหลที่สุดเท่าที่เด็กอายุยี่สิบกว่าอย่างผมจะเคยเจอ

เรารู้จักกันผ่านทางโลกออนไลน์ ทันทีที่เธอมีผมอยู่ในรายชื่อเพื่อน เธอก็กระหน่ำกดหัวใจที่รูปภาพของผมราวกลับคลื่นพายุคลั่ง พัดความรู้สึกทั้งหมดลงมาบนตัวตนเสมือนของผม ก่อนจะจากไปทิ้งไว้เพียงร่องรอยความสับสนเอาไว้ กองเป็นหย่อม ๆ อยู่ตรงนั้น รอคอยวันที่ผมจะตอบสนองบางอย่างกลับไป

เราทั้งคู่คุยกันตามประสาวัยรุ่น และตกลงคบหากันในที่สุด เธออายุมากกว่าผมสี่ปี เป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดรองจากแม่และยายของผม เธอไม่เคยห้ามให้ผมทำในสิ่งที่รัก แถมยังช่วยให้ผมค้นพบตัวตนอีกด้านอีกต่างหาก เธอบอกว่าผมเป็นคนมีความสามารถในการเขียน ทำไมไม่ลองสมัครฝึกงานในตำแหน่งนักเขียนสายดนตรีดูล่ะ

ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองเรียบเรียงได้ดี หรือว่าเป็นแค่คำพูดเยินยอของแฟนสาว ผมเชื่อเธอและเริ่มยื่นใบสมัครฝึกงานไปหลายที่ กระทั่งมาลงเอยกับสื่อออนไลน์เจ้าหนึ่งที่ให้โอกาสกับเด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยแม้แต่จะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เลยแม้แต่ครั้งเดียว

ลืมบอกไป ว่าผมเป็นคนแพร่ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติมาทั้งชีวิต ไม่เคยเดินทางข้ามจังหวัดไปไหนไกล การตัดสินใจเดินทางข้ามจังหวัดมาฝึกงานที่เมืองกรุง จึงทำเอาผมประหม่าไม่น้อย แต่สุดท้ายผมก็ผ่านมันมาได้ เพราะมีแฟนคอยสนับสนุนและให้กำลังใจไม่ห่าง

เธอบอกว่าผมทำได้ และผมก็ทำมันได้

เธอบอกว่าผมสามารถเป็นนักดนตรีได้ และผมก็เป็นได้จริง ๆ

ผมทำงานเสริมเป็นนักดนตรีอยู่ตามร้านอาหาร ใครจะไปคิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำจากคนรัก จะทำให้ใจเรามันฮึดสู้ถึงขนาดนี้

ผมรักเธอ รักจนไม่อาจมองภาพว่าเธอจะหายไปจากชีวิตได้เลย

โลกของผมมีแค่เธอ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความรักที่เรามีให้กันถึงเริ่มลดน้อยลง ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ได้รักเธอน้อยลงหรอก แต่เธอมีท่าทีเปลี่ยนไป เริ่มถามคำตอบคำ และเราก็ค่อย ๆ ห่างกันไป จนผมทนไม่ไหวพูดกับเธอทุกอย่างว่าระหว่างเราจะเป็นยังไงต่อ

เธอบอกว่าไม่รู้

ไม่รู้เหรอ! เธอจะไม่รู้ได้ยังไง ผมร้องตะโกนในใจ ไม่อยากให้เธอมารับรู้อารมณ์ที่ไม่มั่นคงแบบนี้ สี่ปีที่เราคบกันผมไม่อยากทำให้มันพัง พยายามทำทุกอย่างให้เธอไม่จากผมไป แต่ชีวิตผมมันไม่เคยจะดีได้ตลอดรอดฝั่ง นอกจากเรื่องแฟนแล้ว ยายของผมก็ป่วยหนัก ท่านเป็นอัลไซเมอร์ ผมต้องทุ่มเวลาไปกับการดูแลยายทั้งวันทั้งคืน

เธอเริ่มไม่พอใจ บอกว่าผมไม่มีเวลาให้เธอเหมือนเก่า แล้วนัดที่บอกว่าจะมาเจอกันทำไมถึงมาเจอไม่ได้

ผมได้แต่ขอโทษและบอกว่าช่วงนี้ไม่ได้จริง ๆ หากทุกอย่างเคลียร์เรียบร้อย ผมพร้อมจะไปหาเธอทันที

สุดท้ายเธอก็นิ่งเงียบ หน่ายใจ และไม่เซ้าซี้หาคำตอบจากผมอีก ความหมางเมินเริ่มปรากฏชัด เธอเปลี่ยนไป แต่ผมรู้ว่าเธอไม่มีคนอื่นหรอก เธอไม่มีใครนอกจากผมแน่ ๆ ผมเชื่อเธอ

ผมนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพ่งมองหน้าบราวเซอร์สีขาวนานหลายนาที ไม่รู้ว่าจะค้นหาอะไร จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีสมองของผมก็บอกให้มือพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไป

วิธีฆ่าตัวตาย, กระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่ไหนดี, ปืนเถื่อน

สุดท้ายผมก็ตัดสินใจได้ว่าถ้าจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายคงเลือกเป็นกว๊านพะเยา ไหน ๆ ก็เป็นสถานที่ที่คุ้นเคยแล้ว แต่คิดอีกทีกว่าจะตายคงทรมานน่าดู เลยเปลี่ยนใจกดเข้าลิ้งก์สั่งซื้อปืนเถื่อน ยิงปืนนัดเดียวก็ตายเลย น่าจะไม่ทรมานมากนัก

เรื่องตลกกว่านั้นคือ ยอดเงินในบัญชีของผมมีไม่พอที่จะสั่งซื้อปืนด้วยซ้ำ แม่ง! ทำไมกระจอกจังวะ มีเงินแค่พอซื้อข้าวกินไปวัน ๆ จะฆ่าตัวตายยังทำไม่ได้เลย

ผมกดปิดบราวเซอร์ปล่อยให้เวลาไหลผ่าน ก่อนที่ภาพของผู้หญิงคนหนึ่งจะปรากฎขึ้นมาในห้วงความคิด ผู้หญิงที่อยู่กับผมมาตลอดไม่เคยทอดทิ้งผมไปไหน

แม่ของผมเธอยังอยู่ตรงนั้น ยังคงรอผมกลับบ้านอยู่เสมอ ผมละอายเกินกว่าจะบอกว่าครั้งแรกของผมที่คิดสั้นอยากฆ่าตัวตายมันเกิดจากปัญหาที่ผมคิดว่ามันจะทำให้โลกถล่ม และมันเป็นครั้งแรกของผมอีกเหมือนกัน ที่ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมยังมีแม่ แม่ที่ผมรักมาโดยตลอด แต่เลือกที่จะเก็บซ่อนเธอเอาไว้ ปล่อยให้กาลเวลาค่อย ๆ ผุกร่อนเธออย่างช้า ๆ

ผมเดินกลับบ้านหอบเอาร่างและกายพัง ๆ กลับไปหาเธออีกครั้ง และครั้งนี้ผมจะบอกกับเธอว่าผมรักเธอเพียงใด

และผมจะเก็บครั้งแรกของผมเอาไว้ให้ลึกสุดใจ จนไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ เคยมีครั้งแรกที่น่าละอายเช่นนี้

“ผมจะใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้ดีที่สุด จะเป็นศิลปินเอกเหมือนอย่างที่พ่อหวัง และเป็นลูกชายที่น่าภาคภูมิใจให้กับแม่”

“แม่ครับ ผมรักแม่”

 

เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง

ภาพ : กัลยารัตน์ วิชาชัย