ก่อนตาย ไดอารี : ถึง... ความตายในวัยเยาว์

ก่อนตาย ไดอารี : ถึง... ความตายในวัยเยาว์

เปิดหน้าแรกของไดอารีที่ชื่อว่า 'ก่อนตาย' ด้วยเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่สัมผัสประสบการณ์ความตายครั้งแรกเมื่ออายุ 14 ปี

ถึง... ความตายในวัยเยาว์

หากให้นึกย้อนถึงความคิดแรกที่เรานึกถึงความตาย คงเป็นช่วงสิบปีก่อนเห็นจะได้ เราในวัยสิบสี่ปีสัมผัสความตายเป็นครั้งแรก หลังพยายามกดหาเพลงฟังระหว่างข้ามถนน โดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก เพราะความชะล่าใจที่เห็นว่าด้านข้างมีพี่ผู้หญิงอีกหนึ่งคนเดินข้ามถนนพร้อมกันพอดี

และใช่, เราโดนรถพุ่งใส่เข้าอย่างจัง

ราวกับว่าประตูแห่งความตายได้แง้มรอต้อนรับเราตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราขยับขาก้าวออกมาจากเกาะกลางถนน และเริ่มเดินตามพี่ผู้หญิงผมดำขลับคนนั้น

ความตายเคลื่อนขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ใกล้เสียจนเราไม่ทันสังเกต และเพียงเสี้ยววินาที ภาพทุกอย่างก็ตัดไป จำได้ว่ามีเพียงแสงสีขาวสว่างจ้าปรากฏขึ้นในความทรงจำ เรานึกว่าความตายมันจะน่ากลัวกว่านี้เสียอีก แต่ทำไมมันช่างเบาหวิว ปราศจากความเจ็บปวด แทบจะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น

 

เราสลบไปพักหนึ่ง ไม่แน่ใจนักว่ากี่นาที แต่พอลืมตาตื่น ชาวบ้านแถวนั้นพากันมุงอยู่เต็มไปหมด บางคนตะโกนถามชื่อว่าเราใช่ญาติคนนามสกุลนี้หรือเปล่า เรายังคงสับสน ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธแทนคำตอบ อวัยวะทุกส่วนยังคงชาไร้ความรู้สึก ขาข้างขวาบิดงอจนผิดรูป โชคดีที่รถที่พุ่งชนเราเป็นคุณลุงคุณป้าแก่ ๆ ขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง และโชคดีอีกครั้งที่วันนั้นเราสวมชุดพละโรงเรียนพอดี ทำให้ร่างกายเราแทบจะไม่มีรอยถลอกปรากฏให้เห็น

เมื่อสติเริ่มกลับมา เราประหลาดใจอีกครั้งที่เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาไวจนเรารู้สึกทึ่งว่าพวกเขามากันเร็วกันขนาดนี้ได้ยังไง อาจเป็นเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นที่ต่างจังหวัด รถราไม่แน่นขนัดเหมือนอย่างเมืองกรุง แถมสถานที่เกิดเหตุดันอยู่ตรงหน้าค่ายทหาร ตรงข้ามเป็นสถานีตำรวจท่องเที่ยว แถมห่างไปเพียงหนึ่งแยกไฟแดงก็มีโรงพยาบาลประจำจังหวัดตั้งอยู่

เสียงตะโกนโหวกเหวกยังดังก้องไปทั่ว เจ้าหน้าที่เข้ามาพูดคุยกับเรา เช็คสภาพร่างกาย ก่อนจะบอกเราว่าหัวเข่าข้างขวาหลุด ขอให้เรากลั้นใจ พยายามยืดขาให้ได้มากที่สุด บอกให้เราทนความเจ็บปวดอีกหน่อย กึก! เสียงเจ้าหน้าที่จัดแจงส่วนที่หลุดให้เข้ารูปเข้ารอย เตียงผู้ป่วยถูกเข็นลงมาและร่างของเราก็ลงไปแทนที่ นอนลงไปอย่างงงๆ ก่อนที่รถจะกระชากออกไปอย่างเร็ว เพื่อพาเด็กสาววัยสิบสี่ปีไปส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

จำได้ว่าพ่อกับแม่ต้องบึ่งรถมาหาเรา ลูกสาวคนเล็กที่หัวรั้น บอกกับครอบครัวอย่างดื้อดึงว่าจะออกมาเรียนหนังสือในเมือง ที่มีการจัดอันดับการศึกษาดีเป็นอันดับต้น ๆ ของภาคใต้ ถึงเราจะทำได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าการจากบ้านมาต่างเมืองจะทำให้ที่ทุกคนว้าวุ่นใจถึงเพียงนี้

คืนแรกของการเป็นผู้ป่วย เราโดนปลุกทุกชั่วโมงเพื่อเช็คอาการ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นเราก็ลอดอุโมงค์เข้าเครื่องทำ CT Scan มาแล้ว และพบว่าสมองเรายังคงปกติดี ถึงจะสลบไปนานหลักนาทีก็ตาม การถูกปลุกทุกชั่วโมงไม่ได้มาจากพยาบาลดูแลไข้ แต่มาจากแม่ของเรา แม่ที่น้ำเสียงร้อนรนทุกครั้งที่เรียกเราแล้วไม่ตื่น จนต้องเขย่าตัวอย่างแรงราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้นเราคงหลับใหลไปตลอดกาล

เราไม่รู้ว่าแม่รู้สึกยังไง ไม่เคยถาม และไม่คิดอยากจะถาม เพราะทุกครั้งที่เราตื่น แม่มักจะดีใจอยู่เสมอ ก่อนจะบอกให้เราพักผ่อนต่ออีกหน่อย เช้าวันต่อมาเพื่อน ๆ ทยอยมาเยี่ยมไม่ขาดสาย แต่ร่างกายดันพร้อมจะปิดสวิตช์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราง่วง อยากนอน ไม่อยากตื่น แต่แม่คงไม่ยอมเป็นแน่

นี่คือความตายครั้งแรกที่เราเคยสัมผัสและยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ แม้จะไม่ใช่เรื่องราวที่น่าประทับใจจนลืมไม่ลง แต่เราคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเปลี่ยนชีวิตเราไม่น้อย เลยเป็นที่มาของ ‘ก่อนตาย ไดอารี’ บันทึกความทรงจำของคนเป็น เพื่อตอกย้ำว่า ความตายนั้นแทรกซึมอยู่กับเราอยู่ทุกพื้นที่ ไม่เคยออกห่างจากชีวิตเราแม้แต่เสี้ยววินาที

เราไม่ได้บันทึกเพื่อคนตาย แต่เราเลือกที่จะบันทึกเพื่อคนเป็น

และหวังว่าไดอารีหน้าถัดไปจะช่วยให้คุณเห็นภาพความตายกระจ่างชัดขึ้นอีกสักเล็กน้อย

ขอให้คุณสุขใจกับการอ่านไดอารีเล่มนี้

 

วันวิสาข์ โปทอง