02 มี.ค. 2568 | 10:14 น.
“การมองโลกในแง่ร้ายนำไปสู่ความเฉื่อยชา ในขณะที่การมองโลกในแง่ดีนำพาสู่ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง”
คำพูดข้างต้นของ ‘มาร์ติน เซลิกแมน’ อาจดูเรียบง่าย แต่หากพิจารณาดี ๆ คำพูดนี้เปลี่ยนชีวิตคนได้เลยนะคะ
‘มาร์ติน เซลิกแมน’ เป็นนักจิตวิทยาชื่อดังที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) เขาได้ทุ่มเทชีวิตการทำงานเพื่อศึกษาว่า ทำไมบางคนถึงสามารถก้าวผ่านความยากลำบากได้อย่างมีพลังเต็มเปี่ยม ในขณะที่บางคนจมอยู่กับความทุกข์ราวกับไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาจากหลุมลึกได้เลยตลอดชีวิต
ความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มที่เขาค้นพบคือ ‘วิธีคิด’ และ ‘การมองโลก’ หาใช่สถานการณ์ภายนอก
หนึ่งในทฤษฎีที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ ‘Learned Optimism’ หรือ ‘การเรียนรู้การมองโลกในแง่ดี’ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่า การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เป็นทักษะที่เราสามารถฝึกฝนและเรียนรู้ได้ เซลิกแมนเชื่อว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันเราจากความรู้สึกสิ้นหวังและซึมเศร้า และยังเป็นพลังขับเคลื่อนให้เราลุกขึ้นสู้กับปัญหา
เมื่อชีวิตการทำงานเต็มไปด้วยความท้าทาย ความกดดัน และบางครั้งก็ความผิดหวัง ความสามารถในการมองโลกในแง่ดียิ่งมีความสำคัญมากขึ้น คุณเคยสังเกตไหมคะว่าบางคนเมื่อเจอปัญหาในที่ทำงาน พวกเขาจะยอมแพ้ง่าย ๆ รู้สึกหมดหวัง และโทษตัวเอง แต่บางคนกลับมองปัญหาเดียวกันนั้นเป็นความท้าทาย และมุ่งมั่นที่จะหาทางแก้ไข
เซลิกแมนพบว่าความแตกต่างของคนเหล่านี้คือ ‘รูปแบบการอธิบาย’ (Explanatory Style) หรือวิธีที่เราอธิบายสาเหตุของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยคนที่มองโลกในแง่ร้ายมักจะมี ‘รูปแบบการอธิบายแบบเป็นลบ’ (Negative Explanatory Style) ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ:
ในทางตรงกันข้าม คนที่มองโลกในแง่ดีจะมี ‘รูปแบบการอธิบายแบบเป็นบวก’ (Positive Explanatory Style) โดยพวกเขามักจะ
คำถามคือ ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองเป็น ‘คนมองโลกในแง่ร้าย’ ทีนี้จะปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็น ‘คนมองโลกในแง่ดี’ ได้อย่างไร?
เซลิกแมนได้พัฒนาเทคนิคที่เรียกว่า ‘ABCDE’ เพื่อช่วยเราปรับเปลี่ยนรูปแบบการอธิบายจาก ‘ลบ’ เป็น ‘บวก’ ดังนี้
A - Adversity: เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น
B - Belief: ความเชื่อหรือการตีความของเราต่อเหตุการณ์นั้น
C - Consequence: ผลที่ตามมาจากความเชื่อนั้น (อารมณ์, การกระทำ)
D - Disputation: การโต้แย้งกับความเชื่อเดิมที่เป็นลบ
E - Energization: พลังงานบวกที่เกิดขึ้นเมื่อเราเปลี่ยนมุมมอง
ลองยกตัวอย่างง่าย ๆ นะคะ สมมติว่าคุณนำเสนองานกับเจ้านาย แล้วโดนตำหนิต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน:
A - คุณโดนเจ้านายตำหนิงานต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน
B – “ฉันคงทำงานไม่เก่งจริง ๆ ฉันล้มเหลวแล้ว”
C - คุณรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ ไม่อยากทำงานชิ้นต่อไป
D – “จริง ๆ แล้ว มันแค่งานชิ้นเดียวที่ไม่ได้ดั่งใจเจ้านาย ไม่ได้หมายความว่าฉันทำงานไม่เก่ง บางทีเจ้านายอาจจะแค่มีความคาดหวังที่แตกต่าง หรืออาจจะมีปัญหาส่วนตัวที่ทำให้อารมณ์ไม่ดี”
E - คุณรู้สึกดีขึ้น มีกำลังใจที่จะถามเจ้านายเพิ่มเติมว่าต้องการอะไร และพร้อมที่จะปรับปรุงงานให้ดีขึ้น
เทคนิคนี้อาจจะฟังดูง่าย แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนค่ะ เพราะเราอาจจะเคยชินกับการคิดแบบเดิม ๆ มานาน การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่ด้วยความพยายามและความอดทน เราสามารถปรับเปลี่ยนวิธีคิดของเราได้
เซลิกแมนยังได้ศึกษาเรื่อง ‘ภาวะหมดไฟ’ (Burnout) ในการทำงาน และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับการมองโลกในแง่ร้าย คนที่มองโลกในแง่ร้ายมีแนวโน้มที่จะรู้สึกหมดไฟและท้อแท้ในการทำงานมากกว่า เพราะพวกเขามักจะรู้สึกว่างานที่ทำไม่มีความหมาย หรือไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือการหา ‘ความหมาย’ ในสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ลองถามตัวเองว่า “งานของฉันช่วยใครบ้าง?” “ฉันได้เรียนรู้อะไรจากงานนี้?” “งานนี้จะพาฉันไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าได้อย่างไร?” การมองเห็นคุณค่าและความหมายในงานที่ทำจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจมากขึ้น และลดความรู้สึกหมดไฟลงได้
อีกหนึ่งแนวคิดสำคัญของเซลิกแมนคือเรื่อง ‘Learned Helplessness’ หรือภาวะเรียนรู้ว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อเราเจอกับสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ซ้ำ ๆ เราจะเริ่มเชื่อว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย และยอมจำนนกับชะตากรรม
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยรู้สึกแบบนี้ในที่ทำงาน โดยเฉพาะในองค์กรที่มีโครงสร้างแบบลำดับชั้นสูง หรือมีวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เปิดกว้าง เราอาจจะรู้สึกว่าเสียงของเราไม่ได้รับการรับฟัง ความคิดของเราไม่มีค่า และเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
แต่เซลิกแมนพบว่า เราสามารถเรียนรู้ที่จะมองโลกในแง่ดีได้เช่นกัน และนั่นจะช่วยให้เรารู้สึกว่าเรามีอำนาจในการกำหนดชีวิตตัวเอง เมื่อเราเริ่มมองเห็นว่าเราสามารถควบคุมบางสิ่งได้ แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม เราจะเริ่มรู้สึกมีพลังและมีแรงจูงใจมากขึ้น
ในวัฒนธรรมการทำงานของไทย เรามักจะเน้นเรื่องความอดทน การไม่แสดงความรู้สึก และการเคารพอาวุโส ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้คนทำงานต้องกดความรู้สึกไว้ และยอมจำนนกับสิ่งที่ไม่พอใจ แต่การมองโลกในแง่ดีไม่ได้หมายถึงการยิ้มรับทุกอย่างแบบไร้เหตุผล หรือการไม่แสดงความคิดเห็น
การมองโลกในแง่ดีคือการมองเห็นความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะลงมือทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น บางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจจะหมายถึงการปรับทัศนคติของตัวเอง บางครั้งอาจจะหมายถึงการหาวิธีสื่อสารที่ดีขึ้น หรือบางครั้งอาจจะหมายถึงการตัดสินใจเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนสายอาชีพ
มาถึงตรงนี้เราอยากชวนให้คุณลองนำแนวคิดของเซลิกแมนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงาน ลองสังเกตว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ดี คุณมักจะอธิบายมันอย่างไร? คุณมองว่าเป็นเรื่องถาวรหรือชั่วคราว? คุณมองว่ามันส่งผลกระทบไปทั่วหรือเฉพาะเรื่อง? คุณโทษตัวเองหรือมองว่ามีปัจจัยภายนอกด้วย?
เมื่อคุณเริ่มตระหนักถึงรูปแบบการอธิบายของตัวเอง คุณก็สามารถเริ่มปรับเปลี่ยนมันได้ ลองใช้เทคนิค ABCDE เมื่อคุณรู้สึกท้อแท้หรือหมดหวัง และดูว่ามันช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นหรือไม่
สุดท้ายนี้ อยากให้คุณจำคำพูดของเซลิกแมนไว้ว่า “การมองโลกในแง่ร้ายนำไปสู่ความเฉื่อยชา ในขณะที่การมองโลกในแง่ดีนำพาสู่ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความท้าทายอะไรในที่ทำงาน จงเชื่อว่าคุณมี ‘พลัง’ ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อย ๆ ก็ตาม
การเริ่มต้นวันจันทร์ด้วยการมองโลกในแง่ดีอาจจะไม่ได้ทำให้ปัญหาทั้งหมดหายไป แต่มันจะช่วยให้คุณมีพลังและแรงจูงใจที่จะเผชิญหน้ากับมันมากขึ้น และนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของคุณก็ได้ เชื่อในตัวเองนะคะ คุณทำได้ค่ะ
สวัสดีวันจันทร์
พาฝัน ศรีเริงหล้า