21 ม.ค. 2562 | 16:28 น.
หลายคนรู้จัก สติง ในฐานะศิลปินเดี่ยว รวมทั้งเป็นนักร้องและมือเบสให้กับวงร็อกชื่อดังในอดีตอย่าง The Police แต่น้อยคนจะรู้ว่าชายคนนี้เคยเป็นอดีตครูโรงเรียนประถมมาก่อน แถมยังได้ดิบได้ดีจากความขยันเรียนอีกต่างหาก
“สติง” หรือ กอร์ดอน ซัมเนอร์ เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ปี 1951 ที่วอลล์เซนด์นอร์ธไทน์ไซด์ เมืองแห่งอู่ต่อเรือ แถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ สติงก็เหมือนกับเด็กในพื้นที่ชนบททั่วไป เขาไม่ได้โตมาบนกองเงินกองทอง เป็นเพียงเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่ชอบช่วยพ่อส่งนมเท่านั้น
สติง ไม่เคยชอบอดีตของตัวเอง แต่ก็มักจะชอบเล่าถึงช่วงเวลาเหล่านั้นอยู่เสมอ และบ่อยครั้งเรื่องนี้ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจในผลงานชุดต่าง ๆ ของเขา โดยเฉพาะอัลบั้ม "The Last Ship" เมื่อปี 2013
“ตอนเด็ก ๆ ผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ถามว่าผมอยากกลับไปเปลี่ยนแปลงมันไหม ไม่ ! วัยเด็กของผมมันสร้างผมขึ้น และผมค่อนข้างมีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็นในทุกวันนี้ ถ้าผมปราศจากเรื่องราวในวัยเด็กบางสิ่งอาจขึ้นแทนก็ได้”
เออร์เนสต์ พ่อของเขาเป็นอดีตวิศวกรและหันมาเปิดร้านขายนม ส่วนแม่ก็เป็นช่างทำผมในวอลล์เซนด์ นั่นทำให้ทุกย่างก้าวของชีวิต สติง สามารถมองเห็นอู่ต่อเรือนับสิบจากถนนหน้าบ้านของตัวเอง
“เรือขนาดใหญ่ตระหง่านอยู่เหนือบ้านผม นั่นคือความทรงจำของผมในวัยเด็ก ทุกเช้าผมจะเห็นคนเดินไปทำงานที่อู่ และผมก็มานั่งคิดว่านั่นคือโชคชะตาของผมจริง ๆ หรือ?”
วอลล์เซนด์ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวเหมือน ลอนดอน หรือ แมนเชสเตอร์ และนับครั้งได้ที่จะมีเหล่าคนดังมาเยือนที่นี่ ซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของ สติง เกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จเยือนเมืองของเขา
“ผมมองเข้าไปที่รถโรลส์รอยซ์คันนั้นและโบกธงให้พระองค์ ซึ่งพระองค์ก็ส่งยิ้มกลับมาให้ผม ผมคิดได้ทันทีว่าอยากจะมีชีวิตแบบนั้น แบบบนรถนั้นไม่ใช่บนถนนที่เต็มไปด้วยอู่ต่อเรือ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร แต่ผมต้องการความสบายแบบนั้น การได้รับอำนวยความสะดวกและมีเงินประมาณหนึ่ง ตอนนั้นมันเริ่มจากความคิดเด็ก ๆ”
ต่อมา สติง ตัดสินใจก้าวเท้าออกจากวอลล์เซนด์ พร้อมกับความหวังที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต สติง ต้องทำงานหาเงินอย่างหนักเพื่อหวังจะเรียนต่อในรั้วมหาวิทยาลัย เขาเริ่มต้นจากการเป็นเด็กเก็บตั๋วรถประจำทาง พนักงานสรรพากร รวมถึงพนักงานก่อสร้าง และในเวลาเดียวกันเขาก็อ่านหนังสืออย่างหนักเช่นกัน
สุดท้ายผลจากการอ่านหนังสืออย่างหนักก็ทำให้ สติง ได้ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนอร์ทัมเบรีย ในสาขาวิชาเอกการสอน (มหาวิทยาลัยเดียวกันกับจอนนี่ ไอฟฟ์ นักออกแบบคนดังของ Apple) ต่อมาในปี 1974 หลังสำเร็จการศึกษา สติง หันมาเอาดีในการเป็นครูวิชาประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนเซนต์ปอล ในเครมลิงตัน และมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่าครูคืออาชีพที่สำคัญที่สุดในโลก เพราะอนาคตของมนุษย์ทุกคนล้วนขึ้นอยู่กับการศึกษาของเด็ก
“การเป็นครู คืออาชีพที่สำคัญที่สุดในโลก” สติงบอก
ครูคนแรกของ สติง ไม่ใช่เหล่าคนดังหรือใครที่ไหน แต่มันคือกีตาร์ไร้สายตัวเก่า ๆ ของคุณลุงที่ถูกทิ้งไว้ ซึ่งนี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความหลงใหลในเสียงดนตรีของเขานับตั้งแต่นั้นมา
“ผมเห็นกีตาร์วางอยู่ ตอนนั้นผมรู้ทันทีว่าผมเจอกับเพื่อนแท้แล้ว ต่อจากนั้นผมแทบไม่พูดกว่าสี่ปี ผมแค่เล่นกีตาร์ และหาสายมาใส่ให้มันใหม่”
ระหว่างที่ สติง ทำหน้าที่เป็นครูอยู่ในตอนกลางวัน เขาอาศัยเวลาว่างหลังเลิกงานรวมถึงวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อไปเป็นนักดนตรีในคลับแจ๊สและใช้ชื่อวงว่า “Phoenix Jazzmen” วงแจ๊สของ สติง ฝีไม้ลายมือฉกาจทีเดียว พวกเขาได้มีโอกาสเล่นเปิดให้กับวงออร์เคสตราในนิวคาสเซิลและในวันนั้นเขาได้มีโอกาสพบกับ สจ๊วต โคปแลนด์ ว่าที่มือกลองในอนาคตของเขา เช่นเดียวกันฉายาในวงการอย่าง “สติง” ก็มีที่มาจากช่วงเวลานั้น
“ผมใส่สเว็ตเตอร์ที่แฟนถักให้ ลายมันเป็นวง ๆ สีดำและเหลือง มันดูตลกมาก ซึ่งพอคนในวงเห็นมัน ทุกคนต่างคิดว่าผมเหมือนผึ้ง และแน่นอนหลังจากนั้นทุกคนก็เรียกผมว่า สติง”
สติง ยอมรับว่ากว่า 50 ปีที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่เรียกเขาตามชื่อจริง เรียกได้ว่าไปเรียก “กอร์ดอน” เฉย ๆ สติง อาจไม่หันมาตอบรับเลย
“ลูกผมเรียกผม สติง แม่ของผมเรียกผม สติง ผมแทบไม่ใช่คนชื่อ กอร์ดอน อีกแล้ว ถ้าคุณลองเรียกผมกลางถนนเผลอ ๆ ผมอาจจะไม่รู้เรื่องและเดินหนีไปเลยก็ได้
พ่อแม่เป็นคนตั้งชื่อให้คุณ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวตนคุณจริง ๆ เป็นอย่างไร เวลาพวกเพื่อน ๆ ตั้งชื่อเล่นให้กับคุณ พวกเขารู้ว่าจริง ๆ แล้วคุณเป็นคนแบบไหน”
หลังเป็นครูอยู่สองปีสุดท้าย สติง ก็ทนแรงปรารถนาในการเล่นดนตรีไม่ไหว เขาตัดสินใจลาออกเพื่อมุ่งหน้าไปทำความฝันในการเป็นนักดนตรีเต็มตัว และโชคดีที่ โคปแลนด์ มือกลองที่เขาเคยพบในงานสนใจดึงเขาร่วมวงด้วยพอดี
ในปี 1977 สติง ย้ายออกจากนิวคาสเซิลและมุ่งหน้าลงใต้ไปลอนดอน เพื่อพบ สจ๊วต โคปแลนด์ (มือกลอง) และ เฮนรี พาโดวานี (มือกีต้าร์ที่ถูกแทนที่โดย แอนดี้ ซัมเมอร์) ก่อนทั้งสามจะฟอร์มวงขึ้นมาพร้อมชื่อว่า The Police
“ผมไม่ได้พบสิ่งนี้มาหลายปีและจากนั้นผมก็ได้รับโอกาส ผมไม่เคยเสียใจสำหรับช่วงเวลาเหล่านั้นเพราะมันทั้งให้ชีวิตและมุมมองในการใช้ชีวิตกับผม ถ้าผมประสบความสำเร็จในทันที ผมคงยังไม่สามารถมาตัดสินได้ว่า ผมโชคดีขนาดไหน”
[caption id="attachment_2886" align="aligncenter" width="521"] คอนเสิร์ตของ "The Police" ที่ Madison Square Garden เมื่อปี 2007[/caption]
สติง ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในวงการเพลง ทั้งฐานะศิลปินเดี่ยวและสมาชิกวง The Police สติงได้รับรางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส การันตีความสำเร็จถึง 16 รางวัล และฝากทำนองติดหูมากมายเช่นเพลง ”If You Love Somebody Set Them Free”, ”Every Breath You Take”, King of Pain” หรือ ”We'll Be Together"
สติง เชื่อเสมอว่าสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างในทุกวันนี้มีผลพลอยได้มาจาก “การทำงานหนัก” เขาเชื่อเสมอว่าความขยันคือกุญแจสู่ความสำเร็จสำหรับเขา
“แรงกระตุ้นแรกของผมคือการทำงานหนัก ความขยันในการเรียนหนังสือ และสุดท้ายผมก็ได้ทุนจากโรงเรียนดี ๆ”
https://www.oregonlive.com/music/index.ssf/2017/01/sting_before_the_police.html
https://www.esquire.com/entertainment/interviews/a6786/sting-biography-0110/