17 เม.ย. 2568 | 16:28 น.
KEY
POINTS
“ความรักคือต้นกำเนิดของพลังทางจิตวิญญาณทั้งปวง”
คำพูดของ ‘คริสเปียน มิลล์ส’ (Crispian Mills) ฟรอนต์แมนผู้เป็นดั่งศาสดาแห่งจักรวาลดนตรีของ ‘Kula Shaker’ วงดนตรีที่บทเพลงของพวกเขายังดังก้องในหัวของแฟนเพลงทั่วโลก
สำหรับเขา ดนตรีคือการภาวนาในรูปของเสียง ที่พาเราเข้าใกล้ความจริงซึ่งซ่อนอยู่หลังม่านมายา
ในปี 2025 Kula Shaker กำลังจะเดินทางข้ามทะเลมาถึงกรุงเทพฯ พร้อมอัลบั้มล่าสุด ‘Natural Magick’ ที่เต็มไปด้วยพลังเยียวยา ความหวัง และการปลุกเร้าภายในให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
และนี่คือเรื่องราวของพวกเขา กับสุ้มเสียงที่ไม่เคยหยุดการแสวงหา
ในวัยเยาว์ของ คริสเปียน มิลล์ส โลกที่เขาเติบโตขึ้นไม่ใช่กรุงลอนดอนแบบที่ปรากฏในโปสการ์ดสำหรับนักท่องเที่ยว หากคือบริเวณรอยต่อระหว่าง Southall กับ Hounslow หรือที่รู้จักกันในชื่อ Norwood Green ย่านที่อบอวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศ ธูปหอม ภาพพระกฤษณะ และเสียงจากวิหารของชุมชนชาวอินเดียในอังกฤษ
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาจะหลงใหลในศิลปะ ภาพยนตร์ และดนตรี ที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายตะวันออก จุดเริ่มต้นนั้นดูจะเรียบง่ายเกินคาด อันเกิดจากการตกหลุมรักกับเด็กสาวคนหนึ่งที่หลงใหลในปรัชญา ทำให้ คริสเปียน ซึ่งอายุเพียง 13-14 ในตอนนั้น หันมาค้นหาเส้นทางใหม่ผ่านเสียงดนตรี เขาบอกว่าการหลงรักครั้งนั้น “กลายเป็นการเปิดประตูสู่โลกอีกใบ” ที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองกำลังตามหาอยู่
Kula Shaker ถือกำเนิดในช่วงต้นทศวรรษ 1990s โดยเริ่มต้นจากความชื่นชอบในดนตรีฮาร์ดร็อกยุคปลาย 1960s และต้น 1970s อย่าง Deep Purple, Santana, Fleetwood Mac และ Led Zeppelin ซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญของวง โดยเฉพาะการใช้เสียงของแฮมมอนด์ ออร์แกน และการขับเคลื่อนด้วยพลังจากเสียงกีตาร์
ส่วนชื่อวง Kula Shaker มาจากพระนามของพระราชาในตำนานของอินเดียโบราณ ‘King Kulashekhara’ กษัตริย์ของอาณาจักร Chera (ปัจจุบันคือรัฐเกรละ) ซึ่งในภายหลัง ทรงสละราชบัลลังก์เพื่ออุทิศตนให้แก่พระวิษณุ และการแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยพระองค์ได้รับการยกย่องในฐานะ นักกวี-นักบวช ผู้เขียน Mukundamala บทสรรเสริญพระนารายณ์ด้วยความเคารพรักลึกซึ้ง
เพลง อย่าง ‘Tattva’ ซึ่งบรรจุคำร้องภาษาสันสกฤต ได้ทะยานขึ้นชาร์ตในปี 1996 และส่งวงเข้าสู่สปอตไลต์ของวัฒนธรรมอังกฤษอย่างไม่คาดคิด และปีเดียวกันนั้น พวกเขาปล่อยเพลง ‘Govinda’ ซึ่งร้องเป็นภาษาสันสกฤตทั้งหมด นับเป็นเพลงแรกในประวัติศาสตร์ชาร์ตเพลงอังกฤษ ที่ไม่มีเนื้อภาษาอังกฤษแม้แต่คำเดียว แต่กลับสามารถทะลุเข้าสู่ Top 10 ได้อย่างเหลือเชื่อ
ภายหลังความสำเร็จของ K อัลบั้มเปิดตัวในปี 1996 ซึ่งทำยอดขายระดับ multi-platinum และส่งให้ Kula Shaker กลายเป็นวงดนตรีหน้าใหม่ที่ทรงอิทธิพล เส้นทางของพวกเขาเต็มไปด้วยแรงปะทะของการค้นหา การทดลอง และการตั้งคำถามถึงเส้นทางที่กำลังเดินอยู่
การปล่อยอัลบั้มที่สอง Peasants, Pigs & Astronauts ในปี 1999 เป็นความพยายามอย่างแรงกล้าของวงในการผลักดันขอบเขตของเสียงให้ไกลขึ้น ยากขึ้น ลึกขึ้น เพลงอย่าง ‘Sound of Drums’ และ ‘Mystical Machine Gun’ สะท้อนถึงจิตวิญญาณที่ยังเปล่งพลังไม่หยุดหย่อน เสียงของคนที่เชื่อว่างานศิลปะคือหนทางของการแสวงหา มากกว่าการสร้างความพึงพอใจแก่ตลาด
ขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังจักรวาลของตนเอง ความตึงเครียดทั้งภายในวงและจากแรงกดดันภายนอกเริ่มทวีขึ้น สื่อกระแสหลักในอังกฤษ เริ่มมอง Kula Shaker ด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ พวกเขาไม่ได้เล่นเกมประชาสัมพันธ์เหมือนศิลปินร่วมยุค และไม่ยอมลดทอนแนวคิดเพื่อให้เข้ากับกระแสหลัก
และเมื่อต้องเผชิญกับความเปราะบางของวง ในจังหวะที่กำลัง ‘อยู่บนยอดคลื่น’ สมาชิกต่างเริ่มสั่นคลอน ปีเดียวกันกับที่อัลบั้มที่สองออกสู่ตลาด วงก็ประกาศยุติการเดินทางอย่างเป็นทางการ
แสงไฟบนเวทีอาจดับลงไปชั่วครู่ แต่ประกายไฟในหัวใจของ Kula Shaker ไม่เคยมอดไหม้ ในปี 2004 พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แม้คราวนี้จะปราศจากเงาของ ‘เจย์ ดาร์ลิงตัน’ (Jay Darlington) มือคีย์บอร์ดที่ยังอยู่ระหว่างการทัวร์กับ ‘Oasis’ กับพี่น้องกัลลาเกอร์ก็ตาม
ปี 2007 พวกเขาปล่อยอัลบั้ม Strangefolk ที่มีเนื้อหาตั้งคำถามกับความศักดิ์สิทธิ์ในโลกยุคใหม่ ในปี 2010 ปล่อยผลงาน Pilgrim’s Progress ตามด้วยปี 2016 ออกอัลบั้ม K 2.0 ที่เปรียบเสมือนการทบทวนรากเดิมของวง ต่อมาในปี 2022 พวกเขามาพร้อมกับอัลบั้มที่มีชื่อยาวราวกับคำภาวนา 1st Congregational Church Of Eternal Love And Free Hugs
และแล้ว… จักรวาลของพวกเขาก็หมุนเข้าสู่ช่วงเวลาใหม่อีกครั้ง ในปลายปี 2023 เมื่อ เจย์ ดาร์ลิงตัน เดินกลับเข้าสู่ห้องซ้อมของวงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “มันคือสายฟ้าในขวดแก้ว” คริสเปียน เล่าอย่างเห็นภาพ “หลังจากเขาขึ้นแสดงกับเราที่ Shepherd’s Bush Empire ได้แค่สองวัน พวกเราก็พุ่งตรงเข้าสตูดิโอทันที”
ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังดิบและมิตรภาพที่ไม่มีวันตาย Kula Shaker เริ่มแต่งเพลงระหว่างการเดินสายทัวร์ บางเพลงเกิดขึ้นหลังโชว์จบเพียงไม่กี่ชั่วโมง เช่น เพลง ‘Waves’ ซึ่งเขียนระหว่างขับรถกลับจากแมนเชสเตอร์ เป็นบทสรรเสริญต่อความปลื้มปีติในการเล่นสดร่วมกับผู้ชม
ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน พวกเขาได้ 13 แทร็กใหม่ที่เปี่ยมพลัง พร้อมที่จะกลั่นออกมาเป็นอัลบั้มชุดใหม่ที่ไม่มีอะไรจะหยุดได้ ชื่อของมันคือ - Natural Magick
อัลบั้ม Natural Magick ไม่ใช่แค่การกลับมาของเสียงฮาร์มอนด์ออร์แกนที่เป็นลายเซ็นของวงตั้งแต่ยุคแรก แต่คือพลังงานชนิดใหม่ที่หลอมรวมความบ้าบิ่นแบบวัยรุ่นเข้ากับความสงบของคนที่มองโลกผ่านการเดินทางภายในมายาวนาน
คริสเปียน มิลลส์ เรียกกระบวนการสร้างอัลบั้มชุดนี้ว่า ‘สายฟ้าในขวดแก้ว’ และบอกว่ามันมีเคมีบางอย่างที่ทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่อัดเสียง K อัลบั้มเปิดตัวเมื่อเกือบ 3 ทศวรรษก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเพลงระหว่างเดินสาย การทดลองเพลงใหม่ต่อหน้าคนดู และการให้อารมณ์สด ๆ นำทางสิ่งที่จะกลายเป็นแทร็กในอัลบั้ม
แม้จะเป็นวงที่ขึ้นชื่อเรื่องจิตวิญญาณและความลึกซึ้ง แต่ Kula Shaker ยังสอดแทรกอารมณ์ขันไว้ในเพลง พวกเขาเรียบเรียงคำที่เกี่ยวกับสงคราม ความรัก ความตาย และการตื่นรู้ มาอยู่เคียงข้างคำล้อเลียนสังคมยุคข้อมูลข่าวสารได้อย่างแนบเนียน เพลงอย่าง ‘F Bombs’ และ ‘idontwannapaymytaxes’ เป็นตัวอย่างของวิธีการปลดปล่อยผ่านการเล่นกับความจริงที่น่าหัวเราะในโลกยุคใหม่
แต่ในอีกด้าน Natural Magick ก็มีเพลงที่เปรียบเสมือนบทภาวนา เช่น ‘Gaslighting’ ที่ปลุกพลังให้คนฟังตั้งคำถามกับภาพลวงตาในสังคม หรือ ‘Whistle And I Will Come To You’ ที่ คริสเปียน บอกว่าเป็นเหมือนเพลงในหนังแนวเวสเทิร์น เสียงผิวปากที่ชวนให้ย้อนรำลึกถึงความทรงจำ และคำมั่นสัญญาที่อยู่ในเงา
หนึ่งในเพลงที่น่าสนใจในอัลบั้ม คือ ‘Chura Liya’ (You Stole My Heart) ซึ่งดัดแปลงจากเพลงบอลลีวูดยุค 1970s โดยผ่านการแปลงหลายชั้น จากต้นฉบับของ R.D. Burman ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ฝั่งตะวันตก กลับมายังโลกของ Kula Shaker โดยมีการใส่เสียงซิตาร์ และองค์ประกอบที่สะท้อนถึงการล้อเลียนรากทางวัฒนธรรม
“มันคือการปะทะสังสรรค์ที่สวยงาม การแลกเปลี่ยนกันระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก” คริสเปียน บอก
โดยภาพรวมของ Natural Magick ชวนให้เราคิดถึง ‘การเล่นแร่แปรธาตุทางเสียง’ เพื่อ ‘ชำระล้าง’ บางสิ่งบางอย่างในใจของผู้ฟัง
“เราต้องการให้ผู้ฟังกลับไปเชื่อมโยงกับความศักดิ์สิทธิ์ภายในของตัวเองอีกครั้ง” คริสเปียน กล่าว “ผมมองว่าเราคือ ‘gateway band’ วงดนตรีที่เปิดประตูให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้น ด้วยความจริงทางจิตวิญญาณ”
คอนเสิร์ตของ Kula Shaker จึงไม่ใช่แค่การแสดงสด แต่เป็นเหมือน ‘พิธีกรรมร่วม’ ของผู้ที่ศรัทธาในเสียง ผู้ที่ยังเชื่อว่าดนตรีสามารถเชื่อมจิตวิญญาณของมนุษย์เข้าหากันได้ ด้วยพลังของความรัก เสียงสวด และความบ้าบิ่นทางศิลปะ
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์