24 ม.ค. 2562 | 18:11 น.
ตลก หล่อ มาดกวน คงเป็นนิยามคุณสมบัติของ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ในสายตาหลายๆ คน ก็จริง... ในเมื่อเขาเป็นคนตลก หล่อ และชอบตอบคำถามสื่อกวนๆ เป็นประจำ แต่กระนั้นเขาชอบบอกว่าตัวเองเป็นคนปกติคนหนึ่ง “ผมเป็นคนปกตินะครับ สิ่งที่สำคัญในชีวิตผมคือต้องมีมารยาท มีกาลเทศะ มีศีลธรรม มีวิจารณญาณที่ดี โดยสิ่งสำคัญอีกสิ่งนั้นก็คือเรื่องวิสัยทัศน์ ถ้าเรามีวิสัยทัศน์ดี เราจะคาดเดาหลายๆ อย่างล่วงหน้าได้ แล้วเราจะไม่ใส่ร้ายคนอื่น เราจะไม่ไปบอกไอ้นี้นิสัยแบบนั้นแบบนี้ เราจะไม่เป็นคนแบบนั้นเลย” ในสายตาของซันนี่ การที่คนอื่นมองเขาว่าเป็น “ดาราติสต์แตก” ไม่ใช่เป็นคำในแง่ลบ มันเป็นเพียงความเข้าใจของคนอื่น ทั้งนี้เขาเองก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจเท่าไหร่ ใครจะมองเขาอย่างไรก็ได้ เพียงแค่เกิดมาเป็นคนแบบนี้ “มันเป็นเรื่องความคิดของเขานะ ในสิ่งที่เขาเห็น เขาอาจจะเห็นมุมของเราในบางเรื่อง เราก็จะรู้ตัวว่า เราไปทำอะไรบ้าง ถ้าเขาเห็นแค่นี้ เขาก็ไม่ผิดนะที่จะมองเป็นคนแบบนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ครับสำหรับเรื่องพวกนี้” แต่ไม่ว่าตัวตนของเขาจะเป็นอย่างไร คนทั่วไปก็ยอมรับว่าซันนี่คือนักแสดงคุณภาพคนหนึ่งในเมืองไทย เห็นได้จากผลงานการแสดงคุณภาพ ตลอดการอยู่ในวงการมานานกว่า 14 ปี ซันนี่เข้าสู่เข้าสู่วงการบันเทิงจากการถ่ายโฆษณากับมิวสิกวิดีโอเพลง “คนไม่เอาถ่าน” และ “คนหลงทาง” ของวง Big Ass ก่อนจะแจ้งเกิดเต็มตัวกับภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อนสนิท” ในปี พ.ศ. 2548 ซึ่งได้รับความประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก พร้อมประโยคเจ็บๆ ของการแอบรักเพื่อนว่า “แกมาบอกอะไรเอาป่านนี้” ซันนี่เคยให้สัมภาษณ์ถึงความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ว่า “ผมคิดว่ามันเป็นพลังเงียบของคนที่แอบรักคนอื่น มันเป็นปมในใจ และเป็นเมสเสจที่หนังอยากจะถามว่า ‘คุณเคยแอบรักใครไหม’ โดยเฉพาะเพื่อนสนิท คงมีคนแอบรักใครอยู่เยอะในประเทศนี้ เพื่อนสนิท ถึงประสบความสำเร็จ” หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานออกมาต่อเนื่องมากมายทั้งซีรีส์โทรทัศน์ “เนื้อคู่ประตูถัดไป”, “สายลับเดอะซีรีส์ กับ 24 คดีสุดห้ามใจ” หรือ “น้ำตากามเทพ” รวมถึงภาพยนตร์ “สายลับจับบ้านเล็ก” (2550), “ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้” (2557), “ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” (พ.ศ. 2558) และล่าสุด “น้อง.พี่.ที่รัก” (พ.ศ. 2561) แต่ถึงแม้เขาจะมีผลงานทางการแสดงมากมาย แต่ซันนี่เคยให้สัมภาษณ์ติดตลกว่า “ตอนเด็กผมไม่คิดอยากเป็นนักแสดงเลย ความคิดอย่างเดียวคืออยากมีพลังพิเศษให้ได้ อ่านใจคน ยกของได้... แต่พอโตขึ้นไปก็มาเจอความรู้ใหม่อีกอย่างหนึ่งว่า เราเป็นอมตะ อันนี้เพิ่งรู้ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย! เราเป็นอมตะ” และหากย้อนเวลาไปบอกตัวเองตอนเด็กได้ เขาอยากกับตัวเองว่า “ทำยังไงก็ได้ให้มีพลัง พยายามให้มากกว่านี้ ตอนนี้มันยังไม่มา มันต้องมาเร็วกว่านี้ตั้งนานแล้ว ต้องพยายามกว่านี้นะ” ตลอดหลายปีในวงการบันเทิง ซันนี่รู้สึกดีกับการแสดง เพราะการทำงานนี้เกิน 10 ปีบ่งบอกได้นี่คือ “อาชีพ” และเขาเองก็รู้สึกโชคดีที่ได้เข้ามาทำงานอาชีพนี้ เหมือนบทสัมภาษณ์ใน Fungjaizine ว่า “เราอยากอยู่เป็นส่วนร่วมในภาพยนตร์ที่ดีมากกว่า ภาพยนตร์ที่มีความตั้งใจ มีสิ่งที่ดีๆ อยู่ พาร์ตของเราเป็นนักแสดง เราก็อยากจะแสดงให้ดีที่สุดในบทบาทของตัวละครตัวนั้น ถ้าเราเล่นแล้วต้องให้ทุกคนคิดว่า ไม่มีใครสู้เราได้ใน Casting นั้น เราถึงได้มาเล่นเพื่อให้ภาพยนตร์มันสมบูรณ์ที่สุด” สอดคล้องกับใน GM Live ว่า “ผมรู้แค่เพียงการแสดงมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมรัก และตั้งใจทำมันออกมาให้ได้ดีที่สุด” แต่การทำงานไม่ว่าอาชีพอะไรย่อมมีความเครียด ซึ่งเขาบอกว่าการเครียดไม่ช่วยอะไรกับการแสดง เวลาเครียดก็จะเครียดในเรื่องอื่น เพราะคนเรามันต้องมีทั้งทุกข์และสุข ชีวิตถึงจะสนุก และอีกหนึ่งความสนุกในชีวิตของเขาก็คือ การได้เล่นกับน้องแมว เพราะหากใครติดตาม Instagram @sunny_suwanmethanont คงจะคุ้นเคยกับมุมน่ารักของซันนี่กับเหล่าแมวๆ ที่เข้าไปหยอกเล่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะ “มาโนช” แมวข้างบ้านที่ถ่ายรูปลงอยู่บ่อยๆ รวมไปถึงแมวข้างถนนที่พบเจอรายทาง เขาบอกว่าตัวเองรักสัตว์ทุกชนิด เพราะแต่ละตัวก็จะมีบุคลิกเป็นของตัวเอง มีความตลกในแบบเฉพาะตัว แต่ที่เห็นเล่นกับแมวบ่อยๆ เพราะเจอง่ายกว่าสัตว์อื่นๆ เขาให้สัมภาษณ์ว่า “บางทีก็อยากเล่นกับยีราฟนะครับ แต่ไม่เจอไง อยากให้ข้างบ้านมีจิงโจ้บ้าง แต่ข้างบ้านก็ดันเลี้ยงแมว เลยออกมาอย่างที่เห็นคือเล่นกับแมวบ่อย” อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่ทาสแมว “เห็นชอบเล่นกับแมวแบบนี้ แต่บอกเลยว่าผมไม่ใช่ทาสแมวนะครับ แมวต่างหากที่ต้องเป็นทาสผม!” นั่นแหละครับ คำตอบของชายที่ชื่อ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ที่มา