04 เม.ย. 2562 | 03:40 น.
จบไปแล้วสำหรับคอนเสิร์ตครั้งแรกในประเทศไทยของนักร้อง นักแต่งเพลง และสุดยอดนักกีตาร์แห่งยุค “จอห์น เมเยอร์” ชายเจ้าของรางวัลแกรมมี อวอร์ดส 7 รางวัล ที่เคยฝากเพลงฮิตไว้มากมาย เช่น ‘Your Body Is A Wonderland’, ‘Daughters’ หรือ ‘Waiting on the World to Change’ จอห์น เป็นอีกหนึ่งศิลปินระดับ A-List ที่ยังไม่เคยแสดงในบ้านเราเลยแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ออกอัลบัมชุดแรกเมื่อปี 2001 ใกล้เคียงที่สุดที่คือช่วงอัลบัมสามและสี่อย่าง Continuum และ Battle Studies ที่เขาได้รับความนิยมสูงที่สุด จะบอกว่าบ้านเราไม่ชอบพี่แกก็คงไม่ใช่ เพราะประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีฐานของคนชื่นชอบและติดตามหนุ่มคนนี้อยู่มาก ซึ่งก่อนหน้านี้ประเทศญี่ปุ่นแทบจะเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่แกไปทัวร์มาตลอด ย้อนกลับไปเมื่อช่วงกลางปี 2018 หลังปล่อยอัลบัมชุดล่าสุด The Search for Everything ตอนนั้นก็มีแนวโน้มว่า เวลานี้นี่แหละที่ “เฮียจอห์น” จะได้ฤกษ์เสด็จมาเสียที... แต่ปรากฏว่าสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังเสร็จสิ้นภารกิจทัวร์อัลบัมชุดที่เจ็ด จอห์น หันมาทำรายการของตัวเองลงสื่อโซเชียลอย่าง อินสตาแกรม โดยใช้ชื่อรายการว่า “Current Mood” ด้านงานเพลงพี่แกก็ได้ปล่อยเพลงเก๋ ๆ กับตัวเอ็มวีเน้นเอาฮาอย่าง 'New Light' ออกมาให้แฟนเพลงได้หายคิดถึง แต่แล้วช่วงปลายปี 2018 ก็มีเรื่องให้แฟนเพลงชาวไทยได้หัวใจแทบวายกัน หลังหนุ่ม จอห์น โพสต์ตารางเวิลด์ทัวร์ครั้งใหม่โดยรายชื่อหนึ่งในนั้นมีชื่อของประเทศไทยรวมอยู่ด้วย จะเรียกได้ว่านี่คือการสิ้นสุดการรอคอยมาตลอด 18 ปีเต็มของแฟนเพลงก็ว่าได้ (หนึ่งในนั้นคือผมด้วย) การเวิลด์ทัวร์ของพี่แกในครั้งนี้ไม่ได้อิงกับอัลบัมใด ๆ นั่นหมายความว่าแฟนเพลงจะได้ฟังผลงานของหนุ่ม จอห์น กันอย่างเต็มอิ่มในทุกอัลบัม และถ้าใครที่คาดหวังว่าจะเจอโชว์ที่เป็นแพทเทิร์นเดิม ๆ เพลงเดิม ๆ encore เดิม ๆ บอกได้เลยว่าครั้งนี้มันจะไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะงานนี้พี่แกเรียงเพลงไม่ซ้ำกันเลย โดยก่อนหน้านี้ห้าโชว์ ทั้งในนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และล่าสุดสิงคโปร์ จอห์น เล่นไปแล้วทั้งหมด 47 เพลง (โดยประมาณบวกลบเพลงสองเพลง) เพลงที่เราแทบไม่เคยเห็นเขาเล่นสดอย่าง ‘Badge and Gun’ (โชว์ที่สิงคโปร์ คือครั้งที่สองตลอดกาล) หรือ 'Clarity’ เพลงจากอัลบั้มสอง ก็ถูกหยิบขึ้นมาเล่น เรียกได้ว่านี่เป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้และพร้อมจะสร้างเซอร์ไพรส์ให้คนดูได้ตลอด ก่อนหน้านี้รูปแบบของโชว์จะถูกแบ่งออกเป็นสี่ช่วง คือหนึ่งช่วงเปิด สองช่วงอะคูสติก สามช่วงท้าย และจบด้วยช่วง encore แต่โชว์ในบ้านเราครั้งนี้พิเศษกว่าทุกที่คือ set-list ถูกเรียงเพลงตามอัลบัมของเขาตั้งแต่ชุดแรกยันผลงานล่าสุด นั่นหมายความว่านี่เหมือนเป็นโชว์ที่บอกเล่าการเดินทางของชายคนนี้ผ่านผลงาน 7 ชุดของเขา เวลา 20.48 น. จอห์น เดินขึ้นเวทีมาอย่างเรียบง่าย ไม่มีการโหนสลิงหรือสาดไฟอะไรให้วุ่นวายทั้งสิ้น ถ้าใครสังเกตดี ๆ สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้โชว์นี้มีความคลาสสิกไปในตัวเลยก็คือ การที่หนุ่ม จอห์น สวมเสื้อยืดสีดำที่เป็นเหมือนกับภาพจำของแฟน ๆ ขึ้นแสดงในครั้งนี้ด้วย
จอห์น เปิดหัวคอนเสิร์ตของเขาในครั้งนี้ด้วยเพลง ‘No Such Thing’ จากอัลบั้ม Room for Squares (2001) และต่อเนื่องด้วยเพลง ‘Why Georgia’ ซึ่งหลังจบเพลงหนุ่ม จอห์น ได้กล่าวทักทายแฟน ๆ ครั้งแรกพร้อมกับเปรยยังกะเป็นเทเลทับบี้ว่า “คืนนี้ต้องสนุกแน่ ๆ” 'Your Body is A Wonderland' เพลงที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแฟนคนแรกของเขาในวัย 14 ปี ถูกหยิบมาเล่นบนเวทีนี้ท่ามกลางเสียงกรี๊ดสนั่นลั่นฮอลล์ ก่อนเพลงต่อมา จอห์น จะเซอร์ไพรส์แฟน ๆ ด้วยการเล่นเพลงที่เขาไม่ค่อยจะมีโอกาสเล่นเท่าไหร่อย่างเพลง ‘Clarity’ ’Daughters’ คืออีกเพลงที่ส่วนตัวผมชอบมาก เพลงนี้เคยเบียดชนะเพลง ‘If I Ain’t Got You’ ของ อลิเชีย คียส์ คว้ารางวัลเพลงยอดเยี่ยมมาแล้ว และนี่คือครั้งแรกที่ จอห์น หยิบมันมาเล่นในเวิลด์ทัวร์ครั้งนี้ของเขา เพลงของ จอห์น มีการเล่าเรื่องผ่านไลน์กีตาร์ที่เยอะมาก แม้เขาจะเก่งขนาดไหนแต่ก็ไม่สามารถเล่นเองได้ครบ ทุกโชว์จอห์นจะมีมือกีตาร์ซ้ายขวาเสมอ โดยงานนี้ได้ เดวิด ไรอัน แฮร์ริส ชายผู้ปิดทองหลังพระทำหน้าที่เป็นฝ่ายซัพพอร์ทให้กับหนุ่ม จอห์น มาโดยตลอด รับหน้าที่ร้องประสาน และเล่นไลน์คอร์ดสนับสนุนเหมือนเดิม (ฝั่งซ้ายมือของจอห์น) ส่วนตำแหน่งมือกีตาร์ฝั่งขวาใครที่ติดตาม จอห์น จะรู้ดีว่านี่คือตำแหน่งสำคัญ คนที่มาเล่นกีตาร์ในตำแหน่งนี้จะต้องเป็นคนที่ จอห์น ชอบมาก ๆ แถมต้องเก่งสุด ๆ อีกด้วย ก่อนหน้านี้เขามักจะใช้บริการของ ร็อบบี้ แมคอินทอช มือกีตาร์รุ่นเดอะชาวอังกฤษ แต่ในปัจจุบันมือกีตาร์สายนีโอ-โซล อย่าง ไอเซห์ ชาร์กีย์ (ดิ’แองเจโล่, เลลาห์ แฮทเทอร์เวย์) กลายเป็นคนที่ จอห์น หลงใหลในฝีมือการเล่นอย่างมาก "จอห์นถูกใจสิ่งนี้ !"
และเมื่อเสียงโซโล่ในท่อนอินโทรของเพลง ‘I Don't Trust Myself (With Loving You)’ ดังขึ้นมา แฟนเพลงทุกคนก็แทบจะถูกสะกดไปในชั่วโมงต้องมนต์อย่างแท้จริง โดยความพิเศษของเพลงนี้ก็คือหนุ่ม เดวิด ได้ร้องโชว์พลังเสียงในท่อน “Me or the thought of me?” ก่อนจะส่งเข้าให้หนุ่ม จอห์น โซโล่กีตาร์ชนิดถึงใจสุด ๆ เจมี มูโฮเบอร์เร็ก (The All-American Rejects, The Rolling Stones, Backstreet Boys) มือคีย์บอร์ดที่บันทึกเสียงให้ จอห์น มาตั้งแต่อัลบัมสอง ขึ้นซาวน์คีย์บอร์ดลอย ๆ ราวกับว่ากำลังจะเชิญชวนทุกคนเข้าไปอยู่ในชั้นบรรยากาศอะไรสักอย่าง แน่นอนเกริ่นมาซะขนาดนี้เพลงที่เจ็ดของโชว์ในครั้งนี้หนุ่ม จอห์น เลือกเพลงฮิตจังหวะ 6/8 อย่าง ‘Gravity’ ขึ้นมาแสดงพร้อมกับกีตาร์ซิกเนเจอร์ตัวโปรดในอดีตของเขาอย่าง ”The Black One” นอกจากเพลงนี้หนุ่ม จอห์น จะโซโล่กีตาร์ได้เข้าอารมณ์มาก ๆ แล้วนั้น ช่วงท้ายก่อนจะจบ จอห์น ได้ให้สองนักร้องคอรัสของเขาอย่าง คาร์ลอส ริคเก็ตต์ และ ทิฟฟานีย์ พาล์มเมอร์ ได้โชว์พลังเสียงสุดกอสเปล โดยการนำเพลง ‘I’ve Got Dreams to Remember’ ของ โอทิส เรดดิง ตำนานนักร้องเพลงโซลมาร้องทับบนทำนองของเพลง ‘Gravity’ อีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ‘Gravity’ คือเพลงที่หนุ่ม จอห์น ชอบมากที่สุดเพลงหนึ่ง “นี่เป็นเพลงที่ผมพยายามจะเขียนมาโดยตลอด มันเป็นเพลงสำคัญที่สุดเท่าที่ผมเคยแต่ง สาบานกับพระเจ้าได้เลยว่าผมจะต้องฟังมันทุก ๆ วันไปตลอดชีวิต ความหมายของมันไม่ตายตัว และประกอบด้วยคำจำนวนไม่มาก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคำเหล่านี้ถึงส่งผลกระทบกับตัวเองได้มากมายขนาดนี้” จอห์น พูดถึงเพลง Gravity แม้งานนี้สตีฟ จอร์แดน มือกลองคู่บุญของ จอห์น จะไม่ได้มาร่วมทัวร์ด้วย แต่หน้าที่นั้นได้รับการทดแทนโดยสุดยอดมือกลองสายสตูดิโออย่าง แอรอน สเตอลิ่ง (เทย์เลอร์ สวิฟต์, ลานา เดล เรย์) ก่อนหน้านี้ จอห์น เคยร่วมงานกับ แอรอน ครั้งแรกในอัลบั้ม Born and Raised เมื่อปี 2012 หลังหลงรักการตีกลองที่มีกลิ่นอายของโฟล์กร็อกของหนุ่ม แอรอน ชนิดหัวปักหัวปำ จนต้องแอบนอกใจลุง สตีฟ มาคบหาหนุ่ม แอรอน อยู่ช่วงหนึ่ง... ยังกะใต้เตียงดารา เพลงลำดับที่แปดประจำโชว์นี้หนุ่ม แอรอน ตีขึ้นมาพร้อมกับจังหวะที่ทุกคนก็พอจะเดากันได้ว่าเป็นเพลงอะไร ‘Belief’ อีกหนึ่งเพลงฮิตจากอัลบัม Continuum ถูกหยิบขึ้นมาเล่นพร้อมกับท่อนโซโล่กีตาร์ ที่ล้อกันไประหว่างการตีเพอร์คัสชันของ แอรอน ดาร์เปอร์ มือเพอร์คัสชันประจำวง (จิล สก็อตต์, เอรีกา บาดูว, เอ็มมิเน็ม) หนุ่ม จอห์น ทำบิ๊กเซอร์ไพรส์โดยการหยิบเพลงที่ไม่เคยเล่นในทัวร์ครั้งนี้เลยอย่าง ‘Stop This Train’ มาเล่นที่บ้านเราเป็นครั้งแรก โดยหลังจบเพลง จอห์น ได้บอกว่าเพลงกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ในโชว์นี้จะเป็นเพลงที่ทุกคนคงอยากฟังจากเขา จอห์น ปิดท้ายช่วงนี้ด้วยเพลง ‘Waiting on the World to Change’ อีกหนึ่งเพลงดังจากอัลบั้ม Continuum 20 นาทีต่อมา จอห์น กลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งพร้อมกับเพลงดัง ‘Slow Dancing in a Burning Room’ เพลงนี้ภาพรวมเรื่อง ไดนามิก (น้ำหนัก) ของวงทำออกมาได้ดีมาก ๆ จะสังเกตได้ว่าท่อนโซโล่ของหนุ่ม จอห์น ทุกคนเล่นเบาลงอย่างชัดเจนเพื่อยกให้ จอห์น เด่นขึ้นมา โดยเฉพาะเสียงเบสอันหนึบหนับของ พีโน พาลาดิโน่ มือเบสระดับตำนานวัย 61 ปี ที่โอบอุ้มเพลงนี้เอาไว้ได้อย่างลงตัว
จอห์น ต่อเนื่องความสนุกด้วยสามเพลงจากอัลบัม Battle Studies (2009) เริ่มที่เพลง ‘Heartbreak Warfare’ และ ‘Who Says’ ซึ่งวันนี้ จอห์น ได้ทำการดัดเนื้อในท่อน “It's been a long night in Austin too” และเปลี่ยนจากชื่อเมืองออสติน เป็นกรุงเทพฯ ของเราแทนอีกด้วย จอห์นปิดท้ายช่วงนี้ด้วยเพลง ‘Edge of Desire’
เพลง ‘Queen of California’ และ ‘Something Like Olivia’ ถูกหยิบขึ้นมาเล่น ก่อนจะเข้าเพลง ‘Waitin' on the Day’ เพลงที่ จอห์น เล่าว่าเขารู้สึกดีกับมันมากเป็นพิเศษ “เพลงนี้สำคัญกับผม ผมยินดีที่ได้เล่นเพลงนี้ทุกครั้ง ผมรู้สึกว่าการที่มันเป็นเพลงที่ไม่ดังและแม้มันจะไม่ฮิตติดหูใคร แต่มันก็เป็นเพลงเล็ก ๆ ที่มีความลึกซึ้งมาก” จอห์น พูดก่อนเข้าเพลง ในท่อนโซโล่จบช่วงท้ายของเพลง ‘Waitin' on the Day’ จอห์น ได้เล่นทำนองของเพลง 'Paper Doll' เพื่อจะเป็นการสวมเข้าเพลงต่อไปอย่างเนียน ๆ ซึ่งเขาก็ทำแบบนี้กับเพลงต่อไปอย่าง ‘Love on the Weekend’ เช่นกัน
เพลง ‘Love on the Weekend’ และ ‘Changing’ ผลงานจากอัลบัมชุดล่าสุด ถูกหยิบมาเล่นก่อนเพลง 'Helpless' และ 'Moving On and Getting Over' ที่ถือเป็นเพลงฮิตที่แฟน ๆ รอคอย ซึ่งแอบน่าเสียดายที่ จอห์น ไม่เลือกเพลงเหล่านี้มาเล่น ในโชว์นี้เราแทบจะไม่เห็นการดวลกีตาร์กันเท่าไหร่นัก แต่ในเพลงโฟล์กป๊อปอย่าง ‘In the Blood’ เราจะได้เห็นการดวลโซโล่เล็ก ๆ ระหว่าง เดวิด และ ชาร์กีย์ นอกจากนี้นี่ยังเป็นเพลงแรกในโชว์ที่ จอห์น ไม่ได้โซโล่กีตาร์เลย ซึ่งหลังจบเพลงนี้ก็ถึงเวลาที่ จอห์น ได้กล่าวขอบคุณแฟน ๆ พร้อมแย้มบอกว่า “ผมจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งหน้าอีกไม่นานหรอก” ก่อนจะพูดติดตลกว่า เพลงต่อไปอาจเป็นเพลงสุดท้าย แต่พวกคุณก็รู้อยู่ว่ามีเพลงช่วงเสริมอยู่แล้วนี่ (encore) เพลงลำดับที่ยี่สิบสองของโชว์ จอห์น เลือกเพลง ’Still Feel Like Your Man’ เพลงที่แต่งให้สาวคนรักเก่าอย่าง เคที เพอร์รี มาเป็นเพลงปิดในช่วงท้ายนี้ ซึ่งเขาก็ยังโชว์เล่นอินโทรเท่ ๆ ของเพลงนี้ ก่อนจะเข้าช่วงโซโล่ด้วยเสียงของบลูส์สเกลที่เหมือนกับเป็นเครื่องหมายทางการค้าของเขา ภายในเพลง จอห์น ยังได้ใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณเพื่อนนักดนตรีที่มาร่วมเล่นกับเขาในครั้งนี้ ก่อนสุดท้ายจะโบกมือลาแฟน ๆ ลงจากเวทีไป แต่ก็เพราะเสียงเชียร์ที่เรียกร้องให้พวกเขากลับมา แน่นอนงานนี้ encore ต้องมีอยู่แล้ว จอห์น เลือกสองเพลงสุดท้ายมาปิดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ด้วยเพลง ‘New Light’ และเพลงใหม่ล่าสุดอย่าง ‘I Guess I Just Feel Like’ ก่อนจะจบคอนเสิร์ตในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์ ภาพรวม: งานนี้ จอห์น ตั้งใจเลือกนักดนตรีให้ถูกจริตกับโชว์ที่เขาอยากนำเสนอ คอนเสิร์ตในครั้งนี้ เขาดีไซน์ให้มันมีสุ้มเสียงของดนตรีป๊อปร็อก ที่มีกลิ่นอายของดนตรีโฟล์กร็อก โซล อาร์แอนด์บี และแน่นอนสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือดนตรีบลูส์ที่เป็นหัวใจหลักของเขา การโซโล่กีตาร์ของเขา ยังคงมาพร้อมกับการอิมโพรไวซ์ หรือการด้นสดที่มีความสดใหม่และน่าทึ่งตลอดเวลา เวลาที่เขาบรรเลงทุกอย่างลงไปราวกับว่ากีตาร์กับเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าชายคนนี้เก่งมากเหลือเกิน สิ่งที่ผมสังเกตอีกก็คือ นี่คือคอนเสิร์ตที่คน enjoy มากที่สุดคอนเสิร์ตหนึ่งในรอบหลายปี จอห์น แทบไม่ได้เอนเตอร์เทน หรือแม้กระทั่งขอเสียงกรี๊ดจากแฟนเพลงเลย เขาทำให้โชว์ออกมาสนุกได้ผ่านตัวเพลงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ร่วมและคุณภาพของนักดนตรี นี่เป็นโชว์ที่ไม่จำเป็นต้องมี visual ใด ๆ ช่วยให้โชว์ออกมาดูอลังการเลย เพราะฝีมือการเล่นกีตาร์และเสียงร้องที่ดีไม่มีตกลงเลยตลอดโชว์ ทั้งหมดคือคุณภาพที่ทำให้โชว์นี้สมบูรณ์แบบ ส่วนตัวกล้าพูดได้เลยว่านี่คือโชว์ที่น่าประทับใจและน่าทึ่งที่สุดในรอบสิบปีของผมเลยก็ว่าได้นะ
"See You Soon" จอห์น เมเยอร์
ขอขอบคุณภาพจาก Live Nation BEC-Tero