‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์

‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์

เรื่องราวการสร้างสรรค์ผลงานของ ‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ เอกบุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์

KEY

POINTS

  • ดา วินชี ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘Renaissance Man’ หรือ ‘เอกบุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์’ 
  • หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของดา วินชี ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักที่สุดในโลก และเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังในโลกศิลปะก็คือภาพวาด ‘Mona Lisa’ ที่ผู้ชมอย่างเราเดาไม่ออกว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่?
  • ดา วินชีได้ช่วยสร้างหลักการทางสถาปัตยกรรมที่ส่งอิทธิพลสืบต่อกันมาหลายศตวรรษ
     

ในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก มีศิลปินผู้ยิ่งใหญ่มากมายจนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดในโลกศิลปะตะวันตก ที่เรียกขานกันว่า ‘เรอเนสซองส์’ (Renaissance) สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ที่มีศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อยู่มากมาย และในบรรดานั้น มีศิลปินผู้หนึ่งที่โดดเด่นเป็นเอก ไม่ใช่เพียงในแง่ของศิลปะ หากแต่รวมถึงศาสตร์และศิลป์ในสาขาอื่นด้วย 

ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า ‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ (Leonardo da Vinci) ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์ ผู้เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการหลากสาขา ทั้งงานจิตรกรรม, ประติมากรรม, วาดเส้น, เขียนแบบ, สถาปัตยกรรม วิทยาศาสตร์และทฤษฎีต่าง ๆ มีเพียงศิลปินไม่กี่คนเท่านั้นในประวัติศาสตร์ศิลปะโลกที่จะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเทียบเคียงเลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘Renaissance Man’ หรือ ‘เอกบุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์’

‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์

ดา วินชียังเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าของผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง Mona Lisa, The Last Supper และภาพกายวิภาคมนุษย์อันลือลั่นอย่าง Vitruvian Man ที่ต่างก็เป็นผลงานที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกตลอดกาล

เขาเป็นหนึ่งในสามศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ได้รับฉายาว่าเป็น ‘ตรีเอกภาพผู้ศักดิ์สิทธิ์’ (Holy trinity) แห่งยุคทองของเรอเนสซองส์ ร่วมกับ ‘ไมเคิลแองเจโล’ และ ‘ราฟาเอล’

หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของดา วินชี ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักที่สุดในโลก และเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังในโลกศิลปะก็คือภาพวาด ‘Mona Lisa’ (1503 - 1505) หรือ ‘La Gioconda’ ภาพเหมือนของ ‘ลิซา เกอราร์ดีนี’ ภรรยาของ ‘ฟรานเชสโก เดล โจกนโด’ ขุนนางใหญ่แห่งเมืองฟลอเรนซ์ 

‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์

ภาพวาดพอร์เทรตครึ่งตัวแสดงภาพสตรีนั่งวางมือประสานกันอยู่ เธอนั่งอยู่เบื้องหน้าภูมิทัศน์อันกว้างไกล คล้ายกับกำลังอยู่ในความฝัน (หลายคนพยายามเสาะหาภูมิทัศน์ในภาพวาดนี้ว่าเป็นที่แห่งไหน แต่ก็น่าจะเกิดจากการประกอบกันของภูมิทัศน์หลายแห่งในจินตนาการของดา วินชี เสียมากกว่า)

ภาพวาดนี้ครองใจนักวิจารณ์และผู้รักศิลปะทั่วโลก ด้วยรอยยิ้มอันเป็นปริศนา และการใช้เทคนิคการวาดภาพที่เรียกว่า ‘สฟูมาโต’ (Sfumato) หรือ ‘การใส่ควัน’ ซึ่งเป็นการเกลี่ยขอบและองค์ประกอบของบุคคล วัตถุ และภูมิทัศน์ในภาพวาดให้พร่าเลือนกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบข้างและธรรมชาติเบื้องหลัง เพื่อสร้างความสมจริงเช่นเดียวกับที่ตามนุษย์มองเห็น ซึ่งเทคนิคสฟูมาโตนี่เองที่เป็นส่วนสำคัญในการถือกำเนิดของยุคทองของเรอเนสซองส์ 

ดา วินชี ตั้งใจวาดภาพนี้ให้แสดงออกมากกว่าความเหมือนจริง หากแต่ต้องการแสดงออกถึงจิตวิญญาณของเธอผ่านรอยยิ้มอันน่าพิศวง จนผู้ชมอย่างเราเดาไม่ออกว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่?

หรือผลงานชิ้นเอกที่เป็นที่เลื่องลืออีกชิ้นของเขาอย่าง ‘The Last Supper’ (1495 - 1498) ภาพวาดฝาผนัง พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ ท่ามกลางอัครสาวกทั้งสิบสอง ก่อนที่จะทรงถูกนำตัวไปตรึงกางเขน ถือเป็นอีกหนึ่งในภาพวาดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก

‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์

เดิมทีภาพวาดนี้ ดา วินชี ได้รับการว่าจ้างจาก ‘ลูโดวีโก สฟอร์ซา’ ดยุคแห่งมิลาน ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ของเขา ให้วาดภาพจิตรกรรมบนฝาผนังโบสถ์ ‘ซานตา มาริอา เดลเล กราซี’ ในเมืองมิลาน 

ดา วินชี เริ่มต้นวาดภาพนี้ในปี 1495 และแล้วเสร็จในปี 1498 โดยไม่ได้วาดอย่างต่อเนื่อง 

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ภาพวาดชิ้นนี้ของดา วินชี เป็นภาพจิตรกรรมแบบ ‘ปูนเปียก’ (Fresco) ที่ใช้สีฝุ่นผสมน้ำแล้ววาดลงบนปูนปลาสเตอร์ที่ยังไม่แห้งซึ่งปาดไว้บาง ๆ บนผนัง เมื่อปูนแห้งก็จะทำให้สีซึมลงในเนื้อปูนและติดผนังอย่างถาวรโดยไม่ต้องเคลือบสี 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาพวาด The Last Supper ของ ดา วินชี เป็นภาพวาดจิตรกรรมฝาหนังแบบ ‘ปูนแห้ง’ (Fresco-secco หรือ a secco) ซึ่งเป็นวิธีวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ตรงกันข้ามกับเทคนิคการวาดแบบปูนเปียก, เทคนิคการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบปูนแห้ง จะทำโดยการผสมสีกับสารที่ทำให้ติดผนัง เช่น ปูนขาว, ไข่, กาว, น้ำนม และน้ำมัน เพื่อให้สียึดติดกับผนังปูนที่แห้งแล้ว

ที่ ดา วินชี เลือกใช้เทคนิคปูนแห้งวาดภาพแทนที่จะใช้เทคนิคปูนเปียก เหตุเพราะการวาดภาพแบบปูนเปียกเป็นการวาดภาพด้วยสีเชื้อน้ำ ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้เทคนิคสฟูมาโตของเขา และสีสันบางสีไม่สามารถวาดให้สดใสจากการวาดภาพแบบปูนเปียก ด้วยความที่ปฏิกิริยาเคมีที่เป็นด่างของปูนจะทำให้สีหมองลง ไม่สดใส โดยเฉพาะสีน้ำเงิน จิตรกรสมัยเรอเนสซองส์ตอนต้นหลายคนจึงมักจะใช้เทคนิคปูนแห้ง เพื่อให้ได้สีสันที่สดใสและหลากหลายกว่าเทคนิคปูนเปียก ดา วินชีเองก็ไม่ใช้เทคนิคปูนเปียกวาดภาพ The Last Supper หากแต่ใช้เทคนิคสีน้ำมันแทน เพราะอยากให้ภาพนี้มีสีสันสดใสเรืองรองกว่า 

ที่สำคัญ เขาไม่ชอบเทคนิคปูนเปียก เพราะเขามองว่ามันทำให้เขาต้องรีบเร่งวาดภาพให้เสร็จก่อนที่ปูนจะแห้งนั่นเอง ซึ่งดา วินชีถือเป็นจิตรกรที่ขึ้นชื่อว่าทำงานเชื่องช้าอ้อยอิ่งที่สุดในยุคเรอเนสซองส์เลยก็ว่าได้

มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับภาพนี้ว่า ในขณะกำลังวาดภาพ รองเจ้าอาวาสของโบสถ์ที่ ดา วินชี วาดภาพอยู่ ได้ตำหนิเขาเกี่ยวกับความล่าช้าในการวาดภาพนี้ จนทำให้เขาฉุนขาด เลยร่อนจดหมายไปหาเจ้าอาวาส ใจความว่า 

“ผมกำลังกลุ้มใจ เพราะว่ายังหาใบหน้าเหมาะ ๆ สำหรับเป็นแบบให้ ‘ยูดาส อิสคาริโอท’ อัครสาวกผู้ทรยศด้วยการขายพระเยซูคริสต์ไม่ได้ ถ้ามาเร่งมากนัก จะเอาหน้าของรองเจ้าอาวาสมาเป็นแบบเสียเลยดีไหม?” สุดท้ายเสียงบ่นก็เงียบหายไปโดยปริยาย...

แต่การใช้เทคนิคปูนแห้งนี่เอง ก็ส่งผลให้ภาพวาด The Last Supper เสื่อมสภาพและสูญหายไปเกือบหมดจากผลกระทบจากกาลเวลา, สภาพแวดล้อม และศัตรูที่สำคัญที่สุดอย่าง ความร้อน ความชื้น เพราะสีไม่ได้ซึมลงไปอยู่ในเนื้อปูน แต่เกาะอยู่แค่บนพื้นผิวปูนเท่านั้น ที่สำคัญภาพวาดนี้ยังถูกวาดบนผนังห้องรับประทานอาหารในอารามของแม่ชี จึงมักโดนความร้อนจากควันและไอน้ำของโรงครัว ทำให้เกิดความเสียหายกับภาพ จนองค์ประกอบดั้งเดิมของภาพวาดภาพนี้ เช่น ฝีแปรง หรือรายละเอียดที่ดา วินชี วาดไว้เหลืออยู่ไม่มากในปัจจุบัน ถึงแม้จะมีความพยายามบูรณะอย่างมากมายจวบจนกระทั่งครั้งสุดท้ายในปี 1999 

อย่างไรก็ดี ภาพวาดชิ้นนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกแห่งยุคเรอเนสซองส์ที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในภาพวาดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก เทียบเคียงได้กับภาพวาดปูนเปียกบนเพดานโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel) ที่เล่าเรื่องราวการสร้างโลกของพระผู้เป็นเจ้า ผลงานชิ้นเอกของศิลปินยิ่งใหญ่ในยุคเรอเนสซองส์อีกคนอย่างไมเคิลแองเจโล เลยก็ว่าได้

ยังมีผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นของดา วินชี ที่เพิ่งค้นพบหลักฐานว่าเป็นผลงานของเขาในปี 2012 อย่าง ‘Salvator Mundi’ (1500) เป็นภาษาละตินแปลว่า ‘Savior of the World’ หรือ ‘พระผู้ช่วยให้รอดของโลก’ ซึ่งหมายถึง พระเยซู นั่นเอง

‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์

ภาพวาดนี้นอกจากจะแสดงภาพพระเยซูคริสต์ชูนิ้วเป็นสัญลักษณ์ไม้กางเขนแบบที่ปรากฏบ่อยครั้งในภาพวาดของพระเยซูคริสต์ทั่ว ๆ ไปแล้ว รายละเอียดอันโดดเด่นอีกประการในภาพนี้ก็คือ มืออีกข้างของพระองค์ยังถือลูกแก้วซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทรงกลมแห่งสรวงสวรรค์ (Celestial sphere) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนบทบาทของพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้นั่นเอง

ภาพวาดสีน้ำมันบนแผ่นไม้วอลนัตภาพนี้ ถูกประมูลขายไปโดยสถาบันประมูลคริสตี้ส์ นิวยอร์ก ในราคา 450.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 13,608 ล้านบาท ถูกซื้อไปโดย ‘มุฮัมมัด บิน ซัลมาน’ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทำให้กลายเป็นภาพวาดราคาแพงที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการขายมา

ภาพวาดนี้เป็นหนึ่งในภาพวาดจำนวนไม่ถึง 20 ชิ้น ที่คาดว่าเป็นผลงานของดา วินชี ถึงแม้จะมีปริศนาและข้อโต้แย้งบางอย่างเกี่ยวกับหลักฐานและที่มาที่ไปของภาพก็ตามที

นอกจากงานศิลปะแล้ว ความสงสัยใคร่รู้ทางปัญญาและจินตนาการของดา วินชี ก็ยังทำให้เกิดไอเดียและสิ่งประดิษฐ์มากมาย ที่จดบันทึกและร่างภาพเอาไว้ในสมุดบันทึกจำนวนมหาศาลของเขา ทั้งแผนภาพทางวิทยาศาสตร์ (ที่เป็นเหมือนต้นธารของสิ่งประดิษฐ์ในอนาคต อย่าง ร่มชูชีพ, เฮลิคอปเตอร์ และรถถังทหาร) ภาพร่างและภาพวาดทางกายวิภาค, พฤกษศาสตร์ และทฤษฎีเกี่ยวกับการวาดภาพ ดังเช่นที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะชื่อดังอย่าง ‘อี. เอช. กอมบริช’ (E. H. Gombrich) กล่าวเอาไว้ว่า 

“ยิ่งเราได้อ่านบันทึกเหล่านี้มากเท่าไร เราก็ยิ่งไม่เข้าใจว่ามนุษย์คนหนึ่งสามารถเป็นเลิศในศิลปวิทยาการอันยิ่งใหญ่และแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ทั้งหมดได้อย่างไร”

ดา วินชี ยังออกแบบงานสถาปัตยกรรมอันเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานมากมาย ทั้งท่อส่งน้ำระยะทาง 32 ไมล์ ที่เชื่อมเมืองมิลานกับทะเลสาบโคโม ได้อย่างชาญฉลาด หรือการออกแบบบันไดเวียนเกลียวคู่อันงดงาม เปี่ยมทักษะทั้งทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ด้วยความสามารถของเขาในการผสมผสานวิสัยทัศน์แห่งการสร้างสรรค์เข้ากับทักษะการแก้ปัญหาที่ทำให้สิ่งประดิษฐ์ใช้งานได้จริง กล่าวได้ว่า ดา วินชีได้ช่วยสร้างหลักการทางสถาปัตยกรรมที่ส่งอิทธิพลสืบต่อกันมาหลายศตวรรษ

ผลงานในชีวิตของ ดา วินชี นั้นมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่ในฐานะศิลปิน หากแต่เขาได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญในยุคเรอเนสซองส์ ผู้มีส่วนช่วยเปิดทางให้ศิลปะและอารยธรรมตะวันตกรุ่งโรจน์โชติช่วง เขาเป็นผู้บุกเบิกเทคนิคทางศิลปะมากมาย ไม่เพียงแค่เทคนิคการใช้จุดรวมสายตา (Vanishing points) ที่สร้างระยะ มิติ และความลึกให้กับภาพวาดภูมิทัศน์ เทคนิค สฟูมาโต หรือเทคนิคเคียรอสคูโร (Chiaroscuro) หรือการปรับระดับความต่างระหว่างแสงสว่างและความมืด เพื่อสร้างมิติในภาพวาดได้อย่างเจนจัดเชี่ยวชาญ รวมถึงเทคนิคการวาดภาพบุคคลที่แสดงออกทางสีหน้าอันน่าพิศวง สมจริง และน่าหลงใหลไปพร้อม ๆ กัน หากแต่ยังรวมถึงภาพวาดกายวิภาคของมนุษย์และสัตว์ และภาพวาดทางภูมิศาสตร์อันแม่นยำ (ว่ากันว่าเขาแอบศึกษากายวิภาคจากการผ่าพิสูจน์ศพในโรงเก็บศพ) ไปจนถึงนวัตกรรมทางวิศวกรรม กลศาสตร์และกลไก ตั้งแต่การออกแบบเครื่องไม้เครื่องมือทุ่นแรง ไปจนถึงอาวุธสงคราม อากาศยาน และงานสถาปัตยกรรมต่าง ๆ 

‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์ ‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์

‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ ศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์

เลโอนาร์โด ดา วินชี เสียชีวิตในวันที่ 2 พฤษภาคม 1519 ด้วยวัย 67 ปี เหลือทิ้งไว้แต่เพียงผลงานและแรงบันดาลใจอันมหาศาลแก่คนทำงานสร้างสรรค์รุ่นหลัง

 

อ้างอิง : 

หนังสือ Leonardo’s legacy: how Da Vinci reimagined the world โดย Stefan Klein

Leonardo da Vinci: Renaissance Man โดย Alessandro Vezzosi 

เว็บไซต์ https://www.theartstory.org/artist/da-vinci-leonardo/

 

เรื่อง : ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
ภาพปก : Getty Images