01 มี.ค. 2566 | 12:00 น.
‘โจนาธาน เมเจอร์ส’ (Jonathan Majors) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1989 เขาเป็นลูกคนกลางจากพี่น้องทั้งหมดสามคน(นับรวมตัวเขาด้วย) ฐานะทางครอบครัวของโจนาธาน ต้องเรียกว่าหนักไปทางฝืดเคืองไม่น้อย แต่โชคดีที่แม่ของเขาเป็นหญิงแกร่งที่รักลูกมาก เธอจึงทุ่มสุดตัวเพื่อลูก ๆ ของเธอด้วยกำลังที่มี ถึงแม้จะต้องเดินเข้าออกโรงรับจำนำเป็นว่าเล่น หรือต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งก็ตาม
ทันทีที่ครอบครัวเขาย้ายมายังเท็กซัส พ่อของเขาก็ออกจากบ้านไป ชายคนนั้นอำลาคนในครอบครัวไปเสียเฉย ๆ และนั่นก็กลายมาเป็นบาดแผลวัยเด็กของโจนาธาน ในที่สุด ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นแรงผลักดันให้โจนาธาน ลุกขึ้นยืนบนลำแข้งของตัวเองจนได้
“ผมคงต้องพูดว่าการหายไปของพ่อผมนั้นเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อน พี่สาวของผมเป็นคนสุภาพและอ่อนน้อม เราทั้งสองคงไม่รอดแน่ ถ้าเราทั้งคู่มีนิสัยแบบพี่ แต่เราสองคนก็คงไม่รอดชีวิตมาจนทุกวันนี้เหมือนกันถ้าเราทั้งคู่เป็นพวกโมโหร้าย (แบบที่ผมเป็น)” โจนาธานเล่าขณะให้สัมภาษณ์กับ The Guardian
“นิสัยแบบนี้ของผมน่าจะเป็นเพราะเขานั่นแหละ”
คนในครอบครัวเป็นส่วนผสมที่หล่อหลอมให้เขามีตัวตนแบบในวันนี้ แม้แต่พ่อที่หายไปของเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย ขณะที่ทักษะอีกด้าน โจนาธาน เล่าว่า การที่เขาสามารถสื่อสารได้หลายภาษานั้น แม่ของเขาเป็นส่วนสำคัญ แต่พอมาถึงส่วนของพ่อเขา โจนาธาน ชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะพูดขึ้น
“เขาเจ๋งดีนะ เขาอยู่ในจุดที่เขาสบายใจที่สุด ผมได้มีอารมณ์ความรู้สึกและมีจินตนาการก็จากเขา เขาเหมือนวิญญาณพเนจร เพ้อฝันและไร้จุดหมาย” เขาเสริมว่า “พ่อของผมก็เปรียบเสมือนรถยนต์ และแม่ผมก็เปรียบเสมือนปลายทางครับ”
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น แม่ของเขาแต่งงานใหม่อีกครั้ง โจนาธาน ไม่มีปัญหาใด ๆ กับการมีพ่อคนใหม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อนข้างไปได้สวยเลยด้วยซ้ำ เขายังมีทั้งปู่และลุงที่คอยเติมเต็มและทำหน้าที่พ่อให้เขา
อย่างไรก็ตาม ช่วงปีนั้นยังหนักหนาสำหรับเขา ในตอนนั้น โจนาธาน เชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง พ่อของเขาจะต้องกลับมาหาแน่
โจนาธาน เมเจอร์ ในวัยเรียน
โจนาธาน จบ High School ในปี 2008 จาก Duncanville High School แต่โจนาธานในช่วงวัยรุ่นนั้นดูจะเป็นหนุ่มเจ้าปัญหาอยู่ไม่น้อย ทั้งเคยมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนในโรงเรียนตอนที่พวกเขาเล่นละครอยู่ในคลาสการแสดง ถึงแม้มันจะออกไปทางทีเล่นทีจริงเสียมากกว่าก็เถอะ ไหนจะเหตุลักเล็กขโมยน้อยที่เขาถึงกับถูกตำรวจจับในบางครั้ง
ช่วงเป็นวันรุ่น ลักษณะหัวแข็งของเขาดูจะเริ่มปรากฏชัดขึ้น เพราะมีช่วงหนึ่งในชีวิตที่ต้องมาลงเอยกับการใช้ชีวิตบนรถเก่า ๆ และทำงานเสริมถึง 2 งานพร้อมกัน ภายหลังจากการโต้เถียงภายในบ้าน โจนาธาน บอกว่าเขาเดินออกมาจากบ้านด้วยอารมณ์เดือดดาลสุด ๆ
“ผมรู้สึกกล้าหาญ รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากที่ทำแบบนั้นได้ แล้วเมื่อผมใจเย็นลง ผมก็นั่งอยู่ในรถแล้ว ไม่มีอะไรเหลือติดตัว มันอันตรายมาก อันตรายมากจริง ๆ”
โจนาธาน นึกถึงตอนนั่งอยู่ในรถคันดังกล่าว บรรยากาศช่วงนั้นทำให้น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม และท่ามกลางความเงียบสงัด เขาได้ยินเสียงในหัวบอกเขาว่า “ทุกอย่างจะไม่เป็นไร” และนั่นเองก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ของเขา โจนาธาน เริ่มรู้สึกได้ถึงความมั่นใจที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ภายใน
โจนาธาน เริ่มเห็นภาพตัวเองกลายเป็นนักแสดง ได้เดินทางไปต่างที่ และได้ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอยู่ในอก เขาเอาภาพฝันเหล่านั้นที่วาดเอาไว้มาเล่าให้แม่เขาฟัง และบอกเธอว่า เขาอยากเข้าเรียนการแสดงในมหาวิทยาลัย อย่างที่กล่าวไปว่าแม่ของโจนาธาน พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อลูก ๆ ของเธอ เธอกู้เงินเพื่อมาเป็นทุนให้ลูกชายได้เดินทางไปออดิชั่น
จนท้ายที่สุด โจนาธาน สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย University of North Carolina School of the Arts ต่อมาก็เข้าศึกษาต่อที่ Yale School of Drama ตอนที่โจนาธาน กำลังศึกษาอยู่ที่นี่เขาก็มีโอกาสได้สร้างผลงานการแสดงขึ้นจอเป็นครั้งแรก ในซีรีส์ของ ABC เรื่อง ‘When We Rise’ ซึ่งเขารับบทเป็นนักจัดกิจกรรมที่เป็นเกย์ ‘Ken Jones’ ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง
โจนาธาน ยังได้พูดคุยกับเขาเพื่อเก็บข้อมูลในการแสดงเป็นเขาด้วย และในปี 2016 โจนาธาน ก็จบการศึกษาในระดับศิลปกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต
โจนาธาน เมเจอร์ส กับการเป็นคุณพ่อในแบบที่เขาอยากเป็น
“ผมยังเด็กอยู่เลยนะ ผมอายุ 22 เอง เพิ่งจบออกมาจากมหาวิทยาลัยแล้วก็มาเผชิญโลกกว้าง และหลังจาก 4 เดือนในโลกกว้าง ผมก็ต้องเตรียมตัวเป็นพ่อคนแล้ว”
โจนาธาน มีลูกสาวหนึ่งคน แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยว่า แม่ของเด็กหญิงตัวน้อยเป็นใคร และแน่นอนว่าโจนาธานพร้อมที่จะมอบทุกอย่างให้เธอ และหวังอยู่ในทุกวันว่าลูกสาวคนนี้ของเขาจะได้รับทุกอย่างที่เธอคู่ควร โจนาธาน ยังเสริมว่า ลูกสาวเป็นแรงบันดาลใจในการเลือกรับงานของเขาด้วย ทำให้มีอยู่บ่อยครั้งที่เขาเลือกรับบทเป็นตัวละครที่มีนิสัยเหมือนกับเด็ก ๆ
“ผมจำตอนที่จินตนาการว่าตัวเองหลุดออกมาจากห้วงเวลาที่มีเราสองคน(โจนาธานกับลูกสาว)อยู่ในนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีเท่าไหร่นัก และมองไปข้างหน้าเพื่อให้เห็นอนาคตที่สดใสของเธอ และพ่อในแบบที่ผมอยากจะเป็น”
การเป็นพ่อคน ทำให้โจนาธาน ต้องเตรียมรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และนั่นคือหนึ่งในข้อดีที่เขาได้รับจากการเป็นผู้ปกครอง โจนาธาน ได้พบกับความประทับใจในการเป็นพ่อตามแบบฉบับของเขาในที่สุด
นักแสดงหนุ่มยังได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนบทกวีของเขาเองด้วย เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะตีพิมพ์ออกมา และอยากให้มันออกมาดีที่สุดก่อนที่มันจะออกมาเป็นเล่มโดยสมบูรณ์
“ถ้าผมมีความมั่นใจมากกว่านี้ ผมก็คงอ่านให้คุณฟังไปแล้ว แต่(บทกวี)มันก็เป็นไปตามจังหวะนั่นแหละครับ มันเกี่ยวกับการที่เด็ก ๆ เปลี่ยนเราเป็นคนใหม่และทำให้เรามีความทะเยอทะยามมากขึ้น สิ่งที่ต้องแบกรับในการเป็นพ่อคน และการที่ลูก ๆ เองก็ช่วยแบ่งเบาเราในจุดนั้น” โจนาธาน เล่ากับทีมงานของ The Guardian
โจนาธาน เมเจอร์ กับการเป็นนักแสดง
น่าเหลือเชื่อมากที่การเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นแรงงานในย่านที่เต็มไปด้วยคนรวย การทะเลาะวิวาท การถูกรังแก และอีกหลายพลังงานแง่ลบที่เขาต้องเจอ มอบรับแรงบันดาลใจให้เขา และยังทำให้เข้าได้ค้นพบตัวเองว่าเขานั้นรักโรงละครเป็นชีวิตจิตใจ จนโจนาธาน เมเจอร์ในวันนี้ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของผลงานสร้างชื่อมากมาย
โจนาธานมีผลงานการเป็นนักแสดงนำในหนังเกี่ยวกับสงคราวเมื่อปี 2020 ของ Spike Lee เรื่อง ‘Da 5 Bloods’ และก็เป็นเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาโดดเด่นไปเข้าตา HBO จนได้เล่าซีรีส์เรื่อง ‘Lovecraft Country’ ที่ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นที่รู้จัก จนถึงปัจจุบัน โจนาธานมีผลงานการแสดงมากมาย
เราส่วนใหญ่คงจะรู้จักเขาจากบทบาทในจักรวาลมาร์เวลอย่าง ‘Kang the Conqueror’ แต่ก่อนที่เขาจะได้มารับบทนี้นั้น ก็คงต้องย้อนกลับไปในผลงานการแสดงเรื่อง ‘The Last Black Man in San Francisco’ (2019)
ภาพยนต์เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องราวน่าประทับใจของเพื่อนรักสองคนที่พยายามเรียกร้องสิทธิในการเป็นเจ้าของบ้านที่เป็นของปู่ของ ‘Jimmie’ โดยครั้งนี้ โจนาธานรับบทเป็นเพื่อนรักของจิมมี่ที่ชื่อ ‘Montgomery Allen’ และด้วยบทนี้นี่เองทำให้โจนาธานโดดเด่นเข้าตาทีมแคสนักแสดงของมาร์เวล Sarah Finn
และแล้วก็มาถึงตอนที่โจนาธาน เมเจอร์ ได้การกลายมาเป็น ‘แคงผู้พิชิต’ (Kang the Conqueror) ตัวร้ายท่องเวลาในภาพยนต์ ‘Ant-Man and the Wasp: Quantumania’ หลังจากที่โผล่มาให้ได้เห็นหน้าเห็นตากันนิดหน่อยจากซีรีส์ของมาร์เวลเรื่อง ‘Loki’ และนั่นก็เป็นเพียงแค่หนังเปิดตัวตัวละครนี้เท่านั้น เพราะจะมีภาพยนต์ที่โจนาธานได้ไปปรากฏตัวตามมากอีกมากมาย นั่นรวมไปถึง ‘Avenger: The Kang Dynasty’ อีกด้วย
โจนาธานได้แชร์ความรู้สึกของเขาหลังจากมีการปล่อยโปสเตอร์ภาพยนต์เรื่อง Ant-Man เอาไว้ว่า “ก็แบบว่า มันมีแว๊บนึงที่ผมแบบ บ้าเอ้ย นี่มันไม่ใช่เรื่องจริงแน่ ฉันโคตรเจ๋งเลย ผมเป็นคนตกใจอะไรยากนะ แต่ก็แบบ โอ้ว นี่เรื่องจริงนะ”
การร่วมงานกับมาร์เวลไม่ใช่ผลงานเดียวที่เขามีช่วงนี้ ยังมี ‘Creed III’ ที่โจนาธานได้ประกบคู่กับ ‘ไมเคิล บี จอร์แดน’ ซึ่งโจนาธานต้องปรับรูปโฉมของเขา ด้วยการเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาอีก 200 ปอนด์ และออกกำลังกายแทบจะตลอดทั้งวัน และเพิ่มแคลรอลี่ที่ต้องกินต่อวันมาเป็น 6,100 กิโลแคลลอรี่ และทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้โจนาธานได้มาซึ่งหุ่นของนักมวยอาชีพ เพื่อให้เหมาะกับบทบาทในเรื่อง โปรแกรมการออกกำลังกายของเขาเป็นที่สนใจอย่างมาก ในหมู่คนออกกำลังกายด้วยกัน
มีอีกหนึ่งเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับเขาคือ ผู้คนมักจะสังเกตุเห็นว่าโจนาธานมักจะถือแก้วใบนึงติดตัวเสมอ หลายครั้งหลายคราที่มีรูปภาพเขาถือแก้วใบน้อย ๆ ติดตัว ปลิวอยู่ทั่วอินเทอร์เน็ต เขามาเฉลยให้หายสงสัยทีหลังว่า มันก็แค่แก้วน้ำธรรมดา เขาแค่ให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำเท่านั้นเอง
“ก็แบบ แก้วมันสร้างมาเอาไว้ใส่ของใช่ไหมล่ะครับ แก้วผมก็เอาไว้ใส่น้ำไง มันไม่ใช่แอลกอฮอล์แน่ครับ ทุกคนควรรู้เอาไว้เลย ผมว่าการดื่มน้ำให้เพียงพอมันสำคัญมากนะ”
ภาพ :
Kirk McKoy / Contributor
IMDb
อ้างอิง :
https://www.theguardian.com/culture/2023/feb/26/jonathan-majors-interview-ant-man-and-the-wasp-quantumania-creed-3
https://www.allamericanspeakers.com/celebritytalentbios/Jonathan+Majors/442957
https://people.com/movies/all-about-jonathan-majors/
https://www.buzzfeed.com/noradominick/jonathan-majors-behind-the-scenes-facts