11 มี.ค. 2566 | 13:37 น.
- ความสำเร็จของ ‘ไมเคิล บี จอร์แดน’ ส่วนหนึ่งมาจากการเอาใจใส่ของครอบครัว ซึ่งทำให้เขาไม่ออกนอกลู่นอกทางเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน
- ‘ไมเคิล บี’ วนเวียนอยู่ในอาชีพการแสดงมานานหลายปี แต่นอกจากการเป็นคนดัง เขายังใฝ่ฝันอยากเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อย่าง ‘วิล สมิธ’
- เขาเคยด่ำดิ่งกับบท ‘อีริค คิลมองเกอร์’ ตัวร้ายใน ‘Black Panther’ จนต้องพบจิตแพทย์
‘ไมเคิล บี จอร์แดน’ (Michael B. Jordan) เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1987 ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นลูกคนกลาง มีพี่สาวหนึ่งคนและน้องชายหนึ่งคน พ่อของเขาขายอาหาร ส่วนแม่เป็นครูวิชาแนะแนวในโรงเรียนมัธยมปลาย
ต่อมาทั้งครอบครัวย้ายมาอยู่ที่เมืองนิวอาร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาได้เข้าเรียนที่ ‘Newark Arts High School’ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่แม่ของเขาทำงานอยู่ ในขณะที่เรียนอยู่ที่นั่น ไมเคิล บี มีความสนใจด้านกีฬาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบาสเก็ตบอล
ส่วนชีวิตนอกรั้วโรงเรียนนั้น ย่านที่เขาอาศัยอยู่ ดูไม่ค่อยเป็นย่านที่เหมาะจะให้เด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่นสนุกสนาน
ไมเคิล บี เคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า เขาเองก็มีเพื่อนที่ทำเรื่องผิดกฎหมายอยู่บ้าง ทั้งขายยาเสพติด จนไปถึงขโมยรถยนต์เลยก็มี แต่ด้วยความเอาใจใส่และกำลังใจจากครอบครัว ทำให้ ไมเคิล บี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง และประสบความสำเร็จได้ในวันนี้
ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่คงรู้จัก ไมเคิล บี เป็นอย่างดี จากบทบาทในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) และบทนักมวยอาชีพเจ้าของแชมป์มวยรุ่น Heavy Weight ใน ‘Creed’ ขณะที่ก่อนหน้านั้น ไมเคิล บี ก็มีผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น ‘Hardball’ (2001) ทำให้ต่อมาเขาได้มาเล่นในทีวีซีรีส์เรื่อง ‘The Wire’
ไมเคิล บี ยังเคยเล่นละครแนว Soap Opera อยู่นานถึง 3 ปี แถมยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ‘Soap Opera Digest Awards’ ด้วย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ออกจากวงการนี้ในปี 2006 ก่อนจะมีผลงานในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง ‘Blackout’ (2007)
ปี 2009 เขามีผลงานซีรีส์เรื่อง ‘Friday Night Lights’ ซึ่งทำให้เขาได้โชว์ความสามารถด้านการแสดงจนเป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนซีรีส์เป็นอย่างมาก กระทั่งสามารถแจ้งเกิดในฐานะนักแสดงที่ทุกคนจับตามอง
หลังจากที่แจ้งเกิดไปแล้ว เขาก็สร้างชื่อเสียงด้วยการรับบทตัวละครที่ให้ตัวเองกลายเป็นที่จดจำไปทั่วโลก นั่นคือ ‘อโดนิส ครีด’ (Adonis Creed) ในภาพยนตร์กีฬาบนสังเวียนมวยอย่างเรื่อง ‘Creed’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
ไมเคิล บี ไม่หยุดเส้นทางอาชีพไว้ที่การเป็นนักแสดงเท่านั้น เขายังมีความฝันที่จะเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ให้ได้อย่าง ‘วิล สมิธ’ (Will Smith) เป้าหมายที่เขาตั้งเอาไว้จึงทอดยาวออกไปมากกว่าที่เห็นอยู่มาก
ในปี 2023 นี้ ภาพยนตร์กีฬาเรื่อง ‘Creed III’ ได้สานฝันให้เขาสำเร็จ เพราะมันทำให้เขาได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรก
ผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นส่วนผสมระหว่างความเข้าใจในบทตัวเอกที่เขาแสดงมา 8 ปี กับงานอดิเรกที่เขารัก
ตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ที่เขากับเพื่อนมักจะไปห้างเพื่อหาหนังมาดูกัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รู้จักกับ ‘อนิเมะ’
การได้เห็นฉากต่อสู้ในอนิเมะเรื่อง ‘Dragon Ball Z’ ทำให้เขาเกิดความหลงไหลอย่างมาก จนถึงปัจจุบันอนิเมะที่เขาติดตามก็เพิ่มจำนวนเรื่องเพิ่มขึ้นไปตามกาลเวลา
งานอดิเรกนี้ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของเขา โดยแฟน ๆ ส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่า ฉากต่อสู้ของตัวละครหลักและมุมกล้องในการเล่าเรื่อง มีความเป็นอนิเมะแฝงอยู่มากเลยทีเดียว
เจ้าตัวยังให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ฉากต่อสู้สุด iconic ใน Creed III นั้น เขาได้แรงบันดาลใจมาจากอนิเมะเรื่อง ‘นารูโตะ’ นั่นเอง
ความสำเร็จในอาชีพอีกครั้งในชีวิตของ ไมเคิล บี คือการได้รับบทตัวร้าย ‘อีริค คิลมองเกอร์’ (Erik Killmonger) ในภาพยนต์ฮีโร่เรื่อง ‘Black Panther’ ที่กวาดรายได้ราว 1 พันล้านเหรียญทั่วโลก
นอกจากความโด่งดังที่เพิ่มขึ้น ไมเคิล บี ยังเป็นแรงกระเพื่อมสำคัญในการลบภาพจำการเหมารวมของนักแสดงผิวสีอีกด้วย
แต่ในทางกลับกัน การรับบท อีริค คิลมองเกอร์ ก็ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเขา ถึงขั้นต้องเข้าพบจิตแพทย์
ด้วยความที่ตัวละครนี้นั้นมีภูมิหลังที่โดดเดี่ยวและน่าเศร้า ทำให้ ไมเคิล บี ที่มีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร เริ่มที่จะแยกตัวออกจากเพื่อนฝูงในชีวิตจริง
“ผมเข้าใจว่าอีริคนั้นมีชีวิตวัยเด็กที่ต้องเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว เขาไม่มีใครที่พร้อมจะรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งไม่มีอยู่จริงอย่างวาคานด้า”
การก้าวข้ามผ่านตัวละครนี้เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับ ไมเคิล บี เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการหนีจากความรู้สึกดิ่งลึกที่ตัวละครมอบให้เขาเลยแม้แต่น้อย
“ผมต้องปรับตัวใหม่กับการที่มีผู้คนคอยเป็นห่วงเป็นใย และมอบความรักที่ผมไม่ต้องการมาให้ ผมไม่ได้ต้องการความรัก ผมต้องการเพียงแค่ได้จมอยู่กับความรู้สึกเดียวดายนี้ให้นานที่สุดเท่านี้จะทำได้” ไมเคิล บี กล่าว
ท้ายที่สุด จากความคิดความอ่านที่เปลี่ยนไปจนคนรอบข้างสังเกตได้ เขาก็ต้องเข้าพบจิตแพทย์เพื่อรับการรักษาอยู่ดี
“บอกตามตรงนะครับ การบำบัดเนี่ย แค่ได้พูดคุยกับใครสักคนก็ช่วยผมได้มากเลยครับ”
และก็อย่างที่เห็นกันในปัจจุบันว่าช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยวของ ‘อีริค คิลมองเกอร์’ ในตัวของ ไมเคิล บี นั้น ได้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้ว
อ้างอิง: