‘ไมเคิล บี จอร์แดน’ ทุ่มสุดใน Creed III เล่นเองกำกับเอง หลังดำดิ่งบทร้ายใน Black Panther

‘ไมเคิล บี จอร์แดน’ ทุ่มสุดใน Creed III เล่นเองกำกับเอง หลังดำดิ่งบทร้ายใน Black Panther

เรื่องราวของ ‘ไมเคิล บี จอร์แดน’ นักแสดงผู้ด่ำดิ่งกับบทบาทตัวร้าย ในภาพยนตร์ ‘Black Panther’ ก่อนจะกลับมาทุ่มสุดตัวอีกครั้งใน ‘Creed III’ ที่เขาทั้งเล่นเองกำกับเอง

  • ความสำเร็จของ ‘ไมเคิล บี จอร์แดน’ ส่วนหนึ่งมาจากการเอาใจใส่ของครอบครัว ซึ่งทำให้เขาไม่ออกนอกลู่นอกทางเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน 
  • ‘ไมเคิล บี’ วนเวียนอยู่ในอาชีพการแสดงมานานหลายปี แต่นอกจากการเป็นคนดัง เขายังใฝ่ฝันอยากเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อย่าง ‘วิล สมิธ’
  • เขาเคยด่ำดิ่งกับบท ‘อีริค คิลมองเกอร์’ ตัวร้ายใน ‘Black Panther’ จนต้องพบจิตแพทย์

‘ไมเคิล บี จอร์แดน’ (Michael B. Jordan) เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1987 ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นลูกคนกลาง มีพี่สาวหนึ่งคนและน้องชายหนึ่งคน พ่อของเขาขายอาหาร ส่วนแม่เป็นครูวิชาแนะแนวในโรงเรียนมัธยมปลาย

ต่อมาทั้งครอบครัวย้ายมาอยู่ที่เมืองนิวอาร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาได้เข้าเรียนที่ ‘Newark Arts High School’ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่แม่ของเขาทำงานอยู่ ในขณะที่เรียนอยู่ที่นั่น ไมเคิล บี มีความสนใจด้านกีฬาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบาสเก็ตบอล 

ส่วนชีวิตนอกรั้วโรงเรียนนั้น ย่านที่เขาอาศัยอยู่ ดูไม่ค่อยเป็นย่านที่เหมาะจะให้เด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่นสนุกสนาน

ไมเคิล บี เคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า เขาเองก็มีเพื่อนที่ทำเรื่องผิดกฎหมายอยู่บ้าง ทั้งขายยาเสพติด จนไปถึงขโมยรถยนต์เลยก็มี แต่ด้วยความเอาใจใส่และกำลังใจจากครอบครัว ทำให้ ไมเคิล บี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง และประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ 

ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่คงรู้จัก ไมเคิล บี เป็นอย่างดี จากบทบาทในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) และบทนักมวยอาชีพเจ้าของแชมป์มวยรุ่น Heavy Weight ใน ‘Creed’ ขณะที่ก่อนหน้านั้น ไมเคิล บี ก็มีผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น ‘Hardball’ (2001) ทำให้ต่อมาเขาได้มาเล่นในทีวีซีรีส์เรื่อง ‘The Wire’ 
 

ไมเคิล บี ยังเคยเล่นละครแนว Soap Opera อยู่นานถึง 3 ปี แถมยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ‘Soap Opera Digest Awards’ ด้วย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ออกจากวงการนี้ในปี 2006 ก่อนจะมีผลงานในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง ‘Blackout’ (2007) 

ปี 2009 เขามีผลงานซีรีส์เรื่อง ‘Friday Night Lights’ ซึ่งทำให้เขาได้โชว์ความสามารถด้านการแสดงจนเป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนซีรีส์เป็นอย่างมาก กระทั่งสามารถแจ้งเกิดในฐานะนักแสดงที่ทุกคนจับตามอง

หลังจากที่แจ้งเกิดไปแล้ว เขาก็สร้างชื่อเสียงด้วยการรับบทตัวละครที่ให้ตัวเองกลายเป็นที่จดจำไปทั่วโลก นั่นคือ ‘อโดนิส ครีด’ (Adonis Creed) ในภาพยนตร์กีฬาบนสังเวียนมวยอย่างเรื่อง ‘Creed’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม 

ไมเคิล บี ไม่หยุดเส้นทางอาชีพไว้ที่การเป็นนักแสดงเท่านั้น เขายังมีความฝันที่จะเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ให้ได้อย่าง ‘วิล สมิธ’ (Will Smith) เป้าหมายที่เขาตั้งเอาไว้จึงทอดยาวออกไปมากกว่าที่เห็นอยู่มาก

ในปี 2023 นี้ ภาพยนตร์กีฬาเรื่อง ‘Creed III’ ได้สานฝันให้เขาสำเร็จ เพราะมันทำให้เขาได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรก 

ผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นส่วนผสมระหว่างความเข้าใจในบทตัวเอกที่เขาแสดงมา 8 ปี กับงานอดิเรกที่เขารัก

ตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ที่เขากับเพื่อนมักจะไปห้างเพื่อหาหนังมาดูกัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รู้จักกับ ‘อนิเมะ’ 

การได้เห็นฉากต่อสู้ในอนิเมะเรื่อง ‘Dragon Ball Z’ ทำให้เขาเกิดความหลงไหลอย่างมาก จนถึงปัจจุบันอนิเมะที่เขาติดตามก็เพิ่มจำนวนเรื่องเพิ่มขึ้นไปตามกาลเวลา 

 

งานอดิเรกนี้ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของเขา โดยแฟน ๆ ส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่า ฉากต่อสู้ของตัวละครหลักและมุมกล้องในการเล่าเรื่อง มีความเป็นอนิเมะแฝงอยู่มากเลยทีเดียว 

เจ้าตัวยังให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ฉากต่อสู้สุด iconic ใน Creed III นั้น เขาได้แรงบันดาลใจมาจากอนิเมะเรื่อง ‘นารูโตะ’ นั่นเอง 

ความสำเร็จในอาชีพอีกครั้งในชีวิตของ ไมเคิล บี คือการได้รับบทตัวร้าย ‘อีริค คิลมองเกอร์’ (Erik Killmonger) ในภาพยนต์ฮีโร่เรื่อง ‘Black Panther’ ที่กวาดรายได้ราว 1 พันล้านเหรียญทั่วโลก

นอกจากความโด่งดังที่เพิ่มขึ้น ไมเคิล บี ยังเป็นแรงกระเพื่อมสำคัญในการลบภาพจำการเหมารวมของนักแสดงผิวสีอีกด้วย

แต่ในทางกลับกัน การรับบท อีริค คิลมองเกอร์ ก็ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเขา ถึงขั้นต้องเข้าพบจิตแพทย์ 
 
ด้วยความที่ตัวละครนี้นั้นมีภูมิหลังที่โดดเดี่ยวและน่าเศร้า ทำให้ ไมเคิล บี ที่มีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร เริ่มที่จะแยกตัวออกจากเพื่อนฝูงในชีวิตจริง

“ผมเข้าใจว่าอีริคนั้นมีชีวิตวัยเด็กที่ต้องเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว เขาไม่มีใครที่พร้อมจะรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งไม่มีอยู่จริงอย่างวาคานด้า”

การก้าวข้ามผ่านตัวละครนี้เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับ ไมเคิล บี เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการหนีจากความรู้สึกดิ่งลึกที่ตัวละครมอบให้เขาเลยแม้แต่น้อย 

“ผมต้องปรับตัวใหม่กับการที่มีผู้คนคอยเป็นห่วงเป็นใย และมอบความรักที่ผมไม่ต้องการมาให้ ผมไม่ได้ต้องการความรัก ผมต้องการเพียงแค่ได้จมอยู่กับความรู้สึกเดียวดายนี้ให้นานที่สุดเท่านี้จะทำได้” ไมเคิล บี กล่าว

ท้ายที่สุด จากความคิดความอ่านที่เปลี่ยนไปจนคนรอบข้างสังเกตได้ เขาก็ต้องเข้าพบจิตแพทย์เพื่อรับการรักษาอยู่ดี 

“บอกตามตรงนะครับ การบำบัดเนี่ย แค่ได้พูดคุยกับใครสักคนก็ช่วยผมได้มากเลยครับ” 

และก็อย่างที่เห็นกันในปัจจุบันว่าช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยวของ ‘อีริค คิลมองเกอร์’ ในตัวของ ไมเคิล บี นั้น ได้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้ว

 

อ้างอิง:

biography

thefamouspeople

wmagazine