แอชลีย์ พาร์ค : นางเอกหน้าเอเชียผู้เผชิญหน้ากับโรคโรคมะเร็งตอนอายุ 15 ปี

แอชลีย์ พาร์ค : นางเอกหน้าเอเชียผู้เผชิญหน้ากับโรคโรคมะเร็งตอนอายุ 15 ปี

ชีวิตนักสู้ของนางเอกหน้าเอเชีย ‘แอชลีย์ พาร์ค’ (Ashley Park) สาวสวยเสียงเพราะในบท ‘มินดี้ เฉิน’ (Mindy Chen) จาก Emily in Paris กับบททดสอบชีวิตสุดหินในวัย 15 ปี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ‘โรคมะเร็ง’

ฉันเป็นมะเร็งและต้องเข้าห้องฉุกเฉินตอนนี้เลยเหรอ?

โอเค ได้ แต่เอาไว้หลังฉันซ้อมละครวันนี้เสร็จแล้วกันนะ

 

หากคุณเคยได้ชมซีรีส์ Emily in Paris ที่ฉายทาง Netflix แล้วหลงใหลความเฟียสไม่ว่าจะเป็นบุคลิก การแต่งกาย หรือเสียงร้องอันไพเราะของ ‘มินดี้ เฉิน’ (Mindy Chen) ที่สวมบทบาทโดยนักแสดงสาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีนามว่า ‘แอชลีย์ พาร์ค’ (Ashley Park) ในบท ‘นาโอมิ’ (Naomi) จากซีรีส์เรื่อง Beef (2023) แม้ว่าเธอจะเริ่มปรากฏตัวบนจอเงินช่วงหลังมานี้มากขึ้น เธอก็ได้เดินสายเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเฉิดฉายฝีมือของเธอตั้งแต่ในตอนที่เธอแสดงละครเวทีแล้ว

ความสามารถและเอกลักษณ์ของเธอถูกถ่ายทอดออกมาชัดผ่านผลงานของเธอหลายเรื่อง จึงไม่แปลกที่ความถี่ที่เราจะได้เห็นใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นนั้นจะมีบ่อยครั้งขึ้น และอาจไม่ใช่เรื่องเกินฝันมากนักว่า แอชลีย์ พาร์ค อาจจะเป็นดาวดวงใหม่ที่จะขยายจุดยืนและที่ทางให้กับนักแสดงเชื้อสายเอเชียบนเวทีฮอลลีวูด ไม่ต่างอะไรกับ ‘มิเชล โหย่ว’ (Michelle Yeoh) หรือ ‘คี ฮุย ควน’ (Ke Huy Quan)

แต่สำหรับใครหลายคน กว่าจะฝ่าฟันก้าวเดินมาถึงจุดนี้ได้ย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมที่มีผู้คนมากมายพร้อมฉายแสงแข่งกัน อุปสรรคที่แต่ละคนต้องเจอย่อมเป็นบทท้าทายและพิสูจน์ตัวตนของพวกเขาเหล่านั้น

แอชลีย์ พาร์ค เองก็คืออีกหนึ่งคนที่ต้องเผชิญกับบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ ไม่ใช่บทพิสูจน์ในการทำหน้าที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่จะมาเฉิดฉายในวงการ แต่เป็นบทพิสูจน์ในฐานะการก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางชีวิต ด้วยโรคมะเร็งที่เดินเข้ามาในชีวิตของเธอ ไม่ใช่ในวัยชรา ไม่ใช่ในวัยร่วงโรยอ่อนล้า แต่เป็นในวันที่เธออายุเพียง 15 ปี ในวันที่ฝันของเธอเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

และบทพิสูจน์ในวันนั้นจะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล…

 

ตอนกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยม ฉันได้ตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง

 

ในช่วงวัย 15 ปี ถ้าจะให้นึก คนส่วนใหญ่กำลังทำอะไรกันอยู่ บ้างก็เที่ยวสนุกกับเพื่อนฝูง บ้างก็มุ่งมั่นกับการทำการบ้าน บ้างก็เล่นเกมอย่างสนุกสนาน ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวจากเด็กที่กำลังจะก้าวไปสู่ช่วงวัยรุ่นที่จะสามารถสนุกได้อย่างเต็มที่ และในขณะเดียวกันก็ได้ใช้โอกาสนั้นค้นหาตัวเองไปด้วย พาร์คเองก็เป็นเช่นนั้น ต่างกันตรงที่ว่า ในตอนนั้นเธอตรวจพบโรคร้ายที่จะทำให้เธอต้องใช้เวลากว่า 8 เดือนไปกับการรักษาให้หายดี

ในช่วงหนึ่งก่อนถึงฤดูกาลคริสต์มาส แอชลีย์ พาร์ค ไม่สามารถเต้นได้กระฉับกระเฉงเท่าเดิม เธอไม่สามารถปีนบันไดได้แบบเดิม เธอจึงตัดสินใจไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล และเธอก็ได้ตรวจพบว่าเธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute Myeloid Leukemia - AML) ในตอนที่เธออายุเพียง 15 ปี และเมื่อกล่าวถึงการตรวจพบโรคร้ายอย่างมะเร็ง แน่นอนว่าใจของใครหลายคนคงตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่อาจไม่ใช่กับเธอ แน่นอนว่ามันอาจจะเกิดอาการตกใจและช็อก แต่ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตของเธอพังทลาย

ในวันที่หมอแจ้งกับเธอว่าเธอเป็นมะเร็ง เป็นวันเดียวกับที่เธอมีนัดไปซ้อมละครในอีกไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งในตอนนั้นหมอได้บอกเธอว่าเธอควรเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อได้รับการรักษาในทันที แต่เธอกลับบอกหมอว่า ได้ แต่ขอไปซ้อมละครก่อน ซ้อมเสร็จเดี๋ยวมาเข้าห้องฉุกเฉิน และหลังจากที่เธอก้าวเข้าไปในห้องฉุกเฉินในวันนั้น เธอก็ไม่ได้ออกมาจากโรงพยาบาลอีกเลยเป็นเวลากว่า 8 เดือน…

ในช่วงเวลานั้นเธอต้องต่อสู้กับมะเร็งอย่างหนัก เธอต้องได้รับการให้คีโมบำบัด เธอต้องสูญเสียเส้นผมไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดเมื่อการรักษาสำเร็จลุล่วง พาร์คก็สามารถกลับมาเป็นคนเดิมที่พร้อมเฉิดฉายบนเวทีละครได้ดังเดิม… แกร่งกล้ากว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

 

ฉันต้องการให้ผู้คนมองฉันเป็นแอชลีย์คนเดิม แอชลีย์ก่อนที่จะเป็นมะเร็ง

ไม่ใช่ ‘แอชลีย์ผู้สามารถเอาชนะมะเร็งได้

 

“ถ้าคุณเป็นฮีโร่ คุณคือแรงบันดาลใจ คุณเป็นผู้รอดชีวิต ผู้คนก็จะยึดเอาคุณเป็นแบบอย่างแนวทาง

ถามจริงนะ... ฉันจะมาเป็นแบบอย่างอะไรให้พวกคุณได้

ในขณะที่ฉันเป็นแค่เด็กอายุ 16 ปี ที่ไม่เคยมีจูบแรกเลยเสียด้วยซ้ำ”

 

แม้ว่าเธอจะรักษาโรคมะเร็งมาได้จนสามารถกลับมาแสดงและเดินตามฝันได้ดังเดิม แต่เธอไม่ได้มองว่าตัวเธอคือคนพิเศษที่อยากจะโปรยกำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนในสังคม เธอไม่อยากให้ผู้คนมองเธอด้วยภาพจำที่ว่าเธอคือผู้ที่สามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้ เธออยากให้คนมองเธอที่ตัวเธอและเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในของเธออย่างแท้จริง

ชีวิตของเธออาจจะเปลี่ยนไปบ้างหลังจากการเผชิญกับโรคมะเร็ง เธออาจจะมีผลกระทบบางประการที่รักษาไม่หาย แต่ก็ไม่ใช่ข้อกังวลใหญ่ที่จะกระทบชีวิตของเธอ แต่ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เธอดูแลสุขภาพของเธอยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือการเลือกสรรอาหารในการรับประทานเข้าสู่ร่างกาย

นอกจากนั้นเธอยังเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า การเผชิญหน้ากับมะเร็งคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธออยากเดินหน้าตามฝันในการเป็นนักแสดงละครเวที เพราะเธออยากถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน เพราะช่วงที่เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เธอแทบจะไม่ได้เจอใครเลย ท้ายที่สุดเธอย้ำกับผู้คนรอบกายและตัวเธอเสมอว่า เธอไม่ใช่คนที่วิเศษวิโสอะไรจากการที่เธอชนะมะเร็งได้ เธอก็แค่คนคนหนึ่งที่อยู่รอดได้เหมือนคนทั่วไป

 

เราทุกคนก็ต้องอยู่รอดจากอะไรบางอย่างกันทุกวัน

เราทุกคนก็ล้วนเอาชนะบางสิ่งของตัวเองกันทุกคน

 

ท้ายที่สุด ขณะที่ แอชลีย์ พาร์ค กำลังจะกลับมาเฉิดฉายอีกครั้งผ่านภาพยนตร์เรื่อง Joy Ride ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2023 ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้ ซึ่งเธอจะได้รับบทเป็นทนายสาวที่ต้องบินจากสหรัฐอเมริกาไปพร้อม ๆ กับเพื่อน ๆ ชาวเอเชีย-อเมริกัน ไปตะลุยประเทศจีน และเผชิญกับเรื่องราววายป่วงบ้าระห่ำเกินบรรยาย