17 ส.ค. 2566 | 14:37 น.
- อาโป คือ นักแสดงรุ่นเดียวกับเพื่อน ‘คณิน’ ที่เคยถูกสังคมวิจารณ์ว่าแสดงไม่ดี
- เขากลับมาอีกครั้งในฐานะนักแสดงซีรีส์วาย คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์ ที่มีแฟนคลับจากผู้ชมทั่วโลก
- ขณะที่ชีวิตนอกจอ เขายังเป็นอาโปคนเดิมที่สนใจธรรมะ รักแมว และชอบถ่ายรูป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซีรีส์วายกลายเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงที่เป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) ของไทยที่กำลังก้าวสู่เวทีโลก
แล้วถ้าพูดถึงนักแสดงซีรีส์วายที่กำลังมาแรง ชื่อ ‘อาโป’ ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ หรือ ‘พอร์ช’ ตัวละครนำจากซีรีส์คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์ (KinnPorsche The Series) คงติดอยู่อันดับต้น ๆ ในใจของใครหลายคน
ในสายตาแฟนคลับ เขาอาจเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แต่จริง ๆ แล้ว เขาคือนักแสดงหน้าเก่าที่เคยเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ เมื่อ 8 ปีก่อนจากละครหลังข่าวช่อง 3
และด้วยเสน่ห์นอกจอที่เต็มไปด้วยความเป็น Boyfriend Material ติดดิน และเข้าถึงง่าย จึงทำให้ตอนนี้ อาโปเป็นนักแสดงที่แฟนคลับปักหมุดเมนคนใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
เด็กชายที่ชอบธรรมะ แต่โตมาพร้อมคำเปรียบเทียบ
อาโปเป็นลูกชายคนเล็กของบ้าน ‘วัฒนกิติพัฒน์’ วัยเด็กของเขา คือเด็กไฮเปอร์ที่สนใจเรื่องธรรมะ
“ตั้งแต่จำความได้ คุณพ่อคุณแม่เขาก็สอนให้อยู่ในกรอบตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาที่เราซน ไม่รู้จะทำอะไร คุณแม่สวดมนต์ทุกวันอยู่แล้ว แม่ก็จะพาเราขึ้นไปห้องพระ ให้เล่นอยู่ตรงนั้น ได้ยินได้ฟังทุกวัน ตอนที่นั่งรถแม่ก็เปิดชินบัญชรตลอดเวลาจนเราท่องได้ จนวันหนึ่งได้สังเคราะห์ว่าอันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่มาเติมเต็มเรา” อาโปเคยให้สัมภาษณ์ไว้
ขณะเดียวกัน แทนที่จะได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยม แต่อาโปกลับบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาต้องการความรักและอยากได้การยอมรับ
ในงานทอล์กเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อาโปเล่าว่า เขาเติบโตมาพร้อมกับคำเปรียบเทียบ เพราะฉะนั้นช่วงหนึ่งของชีวิต เขาอยากจะพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นว่าลูกชายเก่งและทำได้
“พ่อแม่เขาหาเงินเก่งมาก แต่เขาอาจจะไม่มีเวลามาเชื่อมความสัมพันธ์ทางใจ เขาก็จะกระตุ้นเราด้วยประโยคว่า ข้างบ้านเขาดีกว่า การที่บอกว่าลูกต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้”
นั่นยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อ แม่ ลูก เริ่มห่างเหินออกไปทุกที แต่วันนี้ ทุกคนในครอบครัวหันหน้ามาคุยกันและสนิทกันมากขึ้น
และทุกการตัดสินใจของอาโปในวงการบันเทิงก็มีพ่อแม่คอยให้กำลังใจและอยู่ข้างหลังเสมอ
‘สุดแค้นแสนรัก’ ละครเรื่องแรกที่ทำให้คนรู้จัก ‘อาโป’
‘ธนา’ คือ บทบาทแรกที่อาโปได้รับจากละครน้ำดีช่อง 3 เรื่อง ‘สุดแค้นแสนรัก’ ละครที่เล่าเรื่องความไม่ลงรอยระหว่างสองครอบครัวที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
แต่ด้วยกระแสของละครเรื่องนี้ดีเกินคาด อีกทั้งนิสัยนอกจอที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น ทำให้ ‘อาโป’ เป็นบุคคลที่แฟนละครอยากรู้จัก แม้บางกลุ่มจะส่งเสียงวิจารณ์ลักษณะการแสดงของเขา
ถึงจะโดนโจมตีในหลาย ๆ ด้าน แต่อาโปก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาน้อมรับทุกคำติชมแล้วจะพัฒนาตัวเองต่อไป
“เรื่องกระแสวิพากษ์วิจารณ์ แทนที่จะนอยด์ ผมมองว่าเป็นแรงผลักดัน ตัวผมก็ยอมรับเหมือนกัน เพราะเป็นละครเรื่องแรก มันก็อาจจะเกร็ง ตีบทไม่แตก แต่ก็ทำให้พัฒนาตัวเราไปเรื่อย ๆ ครับ ถ้าไม่มีคำติชมก็คงไม่ทำให้เรารู้ว่าจะพัฒนาไปในทางไหน”
สำหรับอาโป ‘การแสดง’ เป็นสิ่งที่เขารักและอยากทำทุกบทบาทออกมาให้ดีที่สุด ในบทสัมภาษณ์ของไทยรัฐออนไลน์ เมื่อ 7 ปีก่อน เขากล่าวไว้ว่า
“ผมรักการแสดงที่สุดแล้วตั้งแต่สัมผัสมา เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นความสนุกที่เราได้ทำอะไรก็ไม่รู้ที่เราไม่เคยทำ คือเราก็ทำตามบทบาทที่ได้รับมา ก็จะทำให้ดีที่สุด และไม่ทำให้ผิดหวัง”
See you in the movie! กับชีวิตในสหรัฐอเมริกา
หลังจากโลดแล่นอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ สัญญาของอาโปกับช่อง 3 ก็หมดลง เขาเลยผันตัวไปเป็นนักแสดงอิสระ กลับมาเรียนให้จบ และบวชพระเพื่อศึกษาพระธรรม
ระหว่างนั้น เขาก็ตัดสินใจเก็บกระเป๋าเตรียมย้ายไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาถาวรด้วยการเรียนภาษาและจะสอบเข้าสถาบันสอนการแสดงวิลเลียม เอสเปอร์ (William Esper Studio) ในนิวยอร์ก
อาโปเคยเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่เขาจะต้องไปขอ VISA เจ้าหน้าที่ของสถานทูตถามถึงเหตุผลว่า ทำไมเขาอยากไปอยู่อเมริกา อาโปตอบว่า เขาไปเพื่อทำตามความฝันการเป็นนักแสดง แต่ก่อนจะจากกันไป เจ้าหน้าที่คนนั้นยื่นพาสปอร์ตแล้วบอกกับอาโปว่า “See you in the movie”
ประโยคเดียวในวันนั้น คือ แรงผลักดันที่ทำให้อาโปรู้สึกว่า เขาจะต้องพิสูจน์และทำแผนที่วางไว้ให้สำเร็จ
แต่ชีวิตต่างแดนของอาโปก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องทำงานเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนและเพื่ออิสระในการใช้ชีวิต
ตั้งแต่บริกรคอยเสิร์ฟอาหารและเก็บโต๊ะ ทำความสะอาดห้องน้ำ แคชเชียร์ ไปจนถึงการเป็นบาร์เทนเดอร์ อาโปทำมาแล้วทั้งหมด
เขาใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกา 6 เดือน ก่อนกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 แล้วนั่นก็คือการเริ่มต้นใหม่ในฐานะนักแสดงของอาโปอีกครั้ง
บทพิสูจน์ 10 ปีที่เต็มไปด้วยความทุ่มเทและความพยายาม
อาโปเคยเปิดใจบนเวที ‘Woody FM On Stage’ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า คติประจำใจของเขา คือ “There is nothing that perseverance cannot win” หรือ ไม่มีความพยายามไหนไม่สำเร็จ ถ้าเรายังพยายาม
บนเส้นทางวงการบันเทิง อาโปเดินทางมาแล้วมากกว่า 10 ปี ผ่านจุดที่สุขที่สุด ตั้งคำถาม และประสบความสำเร็จ คงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่า ความพยายามและความทุ่มเทตลอดเวลาที่ผ่านมาของอาโปไม่สูญเปล่า เพราะกระแสตอบรับจากการรับบทนำครั้งแรกในบท ‘พอร์ช’ บอดี้การ์ดหนุ่มสุดเท่จากซีรีส์คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์ ภายใต้สังกัด Be On Cloud ดีเกินคาดจนมีแฟน ๆ ติดตามทั่วโลก
รวมถึง ‘แมนสรวง’ ผลงานที่กำลังจะเข้าโรงภาพยนตร์เร็ว ๆ นี้ที่เปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2023 หนังเล่าความจริงหลังฉากสถานเริงรมย์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ตกลงการค้าท่ามกลางความบันเทิงที่หลากหลายผ่านบทบาทของ ‘เขม’ เด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเป็นนายรำ ผู้อ่อนต่อโลกและไร้เดียงสา
เช่นเคย อาโปยังคงทุ่มเทและพยายามเพื่อสวมบทบาทเขมให้ดีที่สุด เขาให้สัมภาษณ์ระหว่างการโปรโมตภาพยนต์ว่า อาโปต้องทำการบ้านหลายด้าน ทั้งเรื่องการแสดง ประวัติศาสตร์ยุครัชกาลที่ 3 และการดูแลรูปร่าง
“ข้อแรกคือฝึกรำ มันไม่ง่ายเลย เพราะทุกอย่างต้องถูกต้อง สวยงามทุกท่วงท่า สอง, คือลดน้ำหนัก สาม, คือพยายามอ่านประวัติศาสตร์ปลายรัชกาลที่ 3 ให้มากที่สุด ศึกษาว่ายุคนั้นสภาพแวดล้อมของสังคมเป็นอย่างไร ในแต่ละวันเขาใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง แล้วเราก็ลองจินตนาการต่อไปว่าถ้าเกิดมีชีวิตแบบนี้ จะใช้ชีวิตแบบไหน”
มากกว่าความสำเร็จด้านการแสดง ความชื่นชอบของแฟน ๆ ก็ดันให้เขากลายเป็นพรีเซนเตอร์หลายแบรนด์ เช่น ขนมปังฟาร์มเฮาส์ เครื่องสำอางศรีจันทร์ และกิฟฟารีน เป็นต้น รวมถึงยังเป็นตัวแทนนักแสดงไทยไปร่วมงานแฟชั่นโชว์ที่ ‘ปารีส แฟชั่นวีค’ (Paris Fashion Week) ถึงสองครั้ง และได้รับเลือกเป็น ‘House Ambassador’ ประจำประเทศไทยฝั่งผู้ชาย ของ ‘ดิออร์ ’ (Dior ) ร่วมกับมาย ภาคภูมิ อีกด้วย
ทาสแมว ช่างภาพ และลุคแฟนหนุ่มผ่านกระจก
‘มิวกุ’ คือ ชื่อแมวของอาโปที่แฟน ๆ รู้จักผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว
ถึงจะร้างรากับการโพสต์รูปคู่น้องแมวไปนาน แต่ถ้าย้อนกลับไปดูจะเห็นเลยว่า อาโปมักจะโพสต์รูปคู่กับแมวเสมอ บางครั้งก็เขียนแคปชันแซวแมวของตัวเอง
นอกจากนั้น แฟนคลับยังขนานนามว่า เขาเป็นแมว
“เหมียวใส่หน่อย!” แฟน ๆ ชอบบอกให้อาโปทำท่าแมวน้อยน่ารักแบบนั้น
ส่วนอีกหนึ่งงานอดิเรกที่อาโปชอบคือการถ่ายภาพ ‘apovision’ จึงเป็นแอ็กเคานต์อินสตาแกรมที่เขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นคลังภาพที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความทรงจำของอาโปในสถานที่ต่าง ๆ
รวมถึงเขายังมีเอกลักษณ์ในการถ่ายรูปเซลฟี่กับกระจก เหตุผลหลักที่อาโปเคยบอกไว้ในสัมภาษณ์ของ The Standard Pop ปีที่แล้ว คือ เขาอายที่จะเซลฟี่เห็นหน้าตรง ๆ การถ่ายเซลฟี่หน้ากระจกทำให้เขามั่นใจและยังช่วยบันทึกบรรยากาศรอบ ๆ ของช่วงเวลานั้นได้ด้วย
“โปเป็นคนถ่ายรูปเก็บไว้เยอะมาก บางทีเราเขินที่จะเห็นหน้าตัวเอง เลยถ่ายผ่านกระจก ตอนนี้พอส่องกระจก สิ่งที่เราเห็นคือช่วงชีวิตกับงาน ทำให้โปรู้ว่า ตอนนี้ โมเมนต์นี้ ความรู้สึกนี้อยู่ในแววตา สีหน้าท่าทางแบบนี้ แล้วโปจะจำได้ว่าวันนั้นอยู่ที่ไหน ทำอะไร
“เมื่อนานมาก ๆ เหมือนโดนบอกว่า ต้องทำแบบนี้ ต้องเป็นแบบนั้นถึงจะดี แล้วด้วยความที่เราเด็ก เราไม่รู้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ แต่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเราก็เลยเชื่อว่ามันดี แต่เรารู้ลึก ๆ ว่า อันนี้ไม่ใช่เรา ทุกครั้งที่มองเห็นตัวเองอยากร้องไห้ตลอดเวลา แล้วทุกวันนี้การที่เราได้ไปต่างประเทศ รายล้อมด้วยคนดี ๆ เราแฮปปี้มากที่เห็นตัวเองทุกวันนี้ แต่ที่ผ่านมาเรารู้สึกแย่เพราะไม่เคยจริงใจกับตัวเอง”
ระยะเวลาที่อาโปโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง เขาผ่านช่วงเวลาที่มีรอยยิ้ม น้ำตา และสัมผัสความสำเร็จในชีวิต แต่เขาเชื่อว่า ยังต้องพัฒนาต่อไปอีกเรื่อย ๆ
ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ประโยคที่อาโปยึดมั่นมาตลอดว่า “ไม่มีความพยายามไหนไม่สำเร็จ ถ้าเรายังพยายาม” ยังเป็นประโยคสำคัญและใช้ได้ผลเสมอ ต่อให้เวลาจะผ่านไปอีกนานแค่ไหนก็ตาม
เรื่อง : ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์
ภาพ : แฟ้มภาพจาก Getty Images, Be On Cloud, Instagram nnattawin
อ้างอิง