‘เหอเจียจิ้ง’ เจ้าของบท ‘จั่นเจา’ ขวัญใจผู้ชมตลอดกาล อดีตเด็กขนศพเพื่อหาเงินไปเรียน

‘เหอเจียจิ้ง’ เจ้าของบท ‘จั่นเจา’ ขวัญใจผู้ชมตลอดกาล อดีตเด็กขนศพเพื่อหาเงินไปเรียน

‘เหอเจียจิ้ง’ นักแสดงเจ้าของบท ‘จั่นเจา’ เวอร์ชั่นที่เป็นขวัญใจผู้ชมตลอดกาล วัยเด็กเคยขนศพเพื่อหาเงินไปเรียน เมื่อโด่งดังจึงนิยมทำการกุศลเกี่ยวกับเด็ก และเรื่องราวสัญญารักเมื่ออายุ ‘60 ปี’

  • ‘เหอเจียจิ้ง’ โด่งดังจากบท จั่นเจา ใน เปาบุ้นจิ้น จนกลายเป็นภาพจำของผู้ชมไปตลอดกาล
  • ในวัยเด็ก เขาเคยขนศพเพื่อหาเงินไปเรียน หลังจากมีชื่อเสียงแล้วจึงนิยมทำการกุศลเกี่ยวกับเด็ก

หลังจากช่วงปี 2013 ‘เหอเจียจิ้ง’ ค่อย ๆ ถอยห่างออกไปจากวงการบันเทิง โดยทิ้งผลงานแสดงละครเรื่อง Swallow Li San (2013) เป็นผลงานสุดท้ายในบทรับเชิญ ก่อนที่จะหันไปดูแลกิจการอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามที่เปิดขึ้นกับเพื่อนสนิทสองคนในเมืองฮุ่ยโจว มณฑลกวางตุ้ง จนปัจจุบัน ธุรกิจดังกล่าวของเขามีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านหยวน

หลังจากห่างหายจากวงการบันเทิง ‘เหอเจียจิ้ง’ แทบจะไม่ออกงานสังคม มีเพียงแค่ไปงานเลี้ยงของแฟนคลับ งานฟุตบอลการกุศล และงานการกุศลเกี่ยวกับเด็ก 

‘เหอเจียจิ้ง’ นับว่ามีความสนใจงานการกุศลที่เกี่ยวกับเด็กมากเป็นพิเศษ เนื่องจากชีวิตวัยเยาว์ของเขา ช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้เขาขาดโอกาสทางการศึกษา จนตัวของเขาเองต้องประกอบอาชีพขนศพ เพื่อหาเงินไปร่ำเรียน

‘เหอเจียจิ้ง’ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม 1959 เขาเติบโตขึ้นมากับครอบครัวที่พอมีพอกิน ในช่วงแรกนั้นเหอเจียจิ้งถูกส่งเสียให้ร่ำเรียนอย่างดี เขาจบชั้นประถมศึกษาที่ S.K.H. Good Shepherd Primary School และชั้นมัธยมที่ Moral Training English College แต่ระหว่างที่เรียนในชั้นมัธยมต้นนั้น พ่อแม่ของเขาหย่าร้างตอนเขามีอายุได้ 14 ปี ในช่วงนั้น นับว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตวัยรุ่นของเหอเจียจิ้ง และเมื่อพ่อแม่แยกทางก็เหมือนชีวิตที่เคยอยู่สบายก็ผกผัน

ในตอนแรกนั้นเมื่อพ่อแม่หย่าร้าง เหอเจียจิ้งกลายเป็นลูกที่ถูกทอดทิ้งเพราะพี่สาวและพี่ชายต่างเติบโตกันหมดแล้ว แม่ของเขาต้องทำงานหนักกว่าเดิม มีเพียงคุณยายที่รักและสงสารหลานชายคนนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงรับหน้าที่ดูแลเขา

ก่อนหน้านี้ เหอเจียจิ้งไม่ค่อยสนใจเรียนนัก เขามีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักฟุตบอล เขาได้รับเลือกให้เป็น Hong Kong Youth Army และเล่นให้กับทีม Vagrant ฟุตบอลลีก First Division ของฮ่องกง แต่เมื่อครอบครัวเริ่มมีปัญหาด้านการเงิน คุณยายของเขาก็ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินส่งเสียและดูแลให้เขาเรียน ทำให้เหอเจียจิ้ง หันมาสนใจเรียนหนักขึ้น รวมถึงเริ่มทำงานพิเศษเพื่อให้ได้ศึกษาเล่าเรียน และช่วยแบ่งเบาภาระในครอบครัว

เหอเจียจิ้ง เริ่มทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร ตัดด้ายในโรงงานผลิตยีนส์  ชีวิตแม้ยากลำบาก แต่เมื่อเห็นคุณยายที่ทุ่มเทเพื่อดูแลเขาทำให้เขาไม่เคยแม้แต่จะปริปากบ่น จนผลการเรียนของเขาดีขึ้น ทำให้เขาได้รับทุนไปเรียนต่อด้านการออกแบบโฆษณาที่ Norwich College ในสหราชอาณาจักร

ในช่วงเวลานั้น แม่ของเขามีครอบครัวใหม่ ส่วนคุณยายก็ล้มป่วยจากการทำงานหนัก สุดท้ายคุณยายจากเขาไป เหอเจียจิ้งเหมือนเคว้งคว้างขาดความหวัง ทุนการศึกษาที่เขาได้รับอาจจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น เขาจึงบากหน้าไปขอค่าตั๋วเครื่องบินกับพ่อ เมื่อได้ค่าเดินทางเขาก็เดินทางไปศึกษาต่อที่สหราชอาณาจักรทันที

ในตอนนั้นพี่สาวของเขาก็อยู่ที่นั่นกับแฟนหนุ่มเหอเจียจิ้งเมื่อย้ายไปเรียนก็ทำงานสารพัดเพื่อส่งเสียตัวเอง ทั้งล้างจาน งานทำความสะอาด คนทำถนน แต่เงินก็ไม่เพียงพอกับการอยู่อาศัยและร่ำเรียน จนเขาหันไปประกอบอาชีพเป็นคนขนศพ เพราะได้ค่าแรงดี และไม่ค่อยมีคนอยากจะทำอาชีพนี้ แต่เมื่อคำนวนค่าเล่าเรียน อย่างไรก็ไม่เพียงพอ สุดท้าย เหอเจียจิ้งใช้เวลาเรียนสองปี แล้วกลับฮ่องกง 

เหอเจียจิ้ง รักการเล่นฟุตบอลอย่างมาก เคยเป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัยในระหว่างที่เรียน หลังจากกลับมาจึงตั้งใจจะไปสมัครเป็นนักฟุตบอลทีมตัวแทนของฮ่องกง แต่ผลปรากฏว่าไม่ผ่านการคัดเลือก เพื่อนสมัยมัธยมต้นของเขา เฉินจื่อฉวน ชักชวนเขาไปสมัครเป็นนักเรียนการแสดงของทางอาร์ทีวี และได้เข้าเรียนการแสดงในปี 1981 -1982 รุ่นเดียวกันกับ เจิ้งเหว่ยฉวน 

เมื่อเรียนจบ ทั้งคู่ก็กลายเป็นคู่แข่งกันในการรับบทนำในละครชุดเรื่อง ‘ต้าเจียงจวิน’《大将军》ที่ประกบกับนางเอกสาว กวนจือหลิน แต่สุดท้ายก็เป็นเหอเจียจิ้ง ที่รับบทนี้ไป และได้ร้องเพลงประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง Long Companion Loyalty Dance(1982)

จากนั้นทั้งคู่ (เหอเจียจิ้ง และ กวนจือหลิน) ได้แสดงคู่กันอีกครั้งในละครเรื่อง ‘Goodbye Mad Cow’

เหอเจียจิ้ง นับว่าเป็นนักแสดงที่มีความเพียบพร้อมที่จะโด่งดัง เพียงแต่เขาสัญญาของเขาอยู่กับเอทีวี ซึ่งตอนนั้น มีเรตติ้งเทียบไม่ได้เลยกับทีวีบี  ชื่อเสียงของเขาจึงถูกจำกัด แต่กระนั้นเขาก็กลายเป็นพระเอกอันดับหนึ่งของทางเอทีวีในขณะนั้น

เส้นทางการแสดงของ เหอเจียจิ้งก็เหมือนกันกับนักแสดงชายคนอื่น ๆ คือต่างใฝ่หาความสำเร็จในวงการภาพยนตร์ โดยเหอเจียจิ้ง ได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Long Road to Gallantry (游俠情 /1984) เขาแสดงคู่กันกับดาราสาวคู่ขวัญทางจอแก้วของเขา คือ กวนจือหลิน 

ในยุค 80s เขาเป็นนักแสดงอีกคนที่พยายามจะสร้างชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ให้ได้ ด้วยการแสดงภาพยนตร์ของ เฉินหลง และ หลิวเต่อหัว อย่าง 7 เพชฌฆาตสัญชาติฮ้อ ภาค 2 ขอน่า อย่าซ่าส์ (Twinkle, Twinkle, Lucky Stars /1985) เอไกหว่า ภาค 2 (Project A Part II/1987) และ วิ่งสู้ฟัด 2 (Police story 2/1988) ซึ่งเขาได้แสดงเพียงบทบาทสมทบเท่านั้น เส้นทางบันเทิงของเขาในฮ่องกงค่อนข้างริบหรี่ ทางเอทีวีก็ให้ค่าตัวกับเขาเพียงน้อยนิด

ในปี 1988 ทาง China Television Company ของไต้หวัน ได้ชักชวนเหอเจียจิ้ง ไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงที่ไต้หวัน ซึ่งการรับค่าตัวสูงกว่าในฮ่องกง โดยได้แสดงละครโทรทัศน์เรื่องแรกของไต้หวันคือ งักฮุย (Eight Thousand Li of Cloud and Moon /1988) โดยเขาได้แสดงคู่กันกับ จินเชาฉวิน ที่แสดงเป็นฉินไคว่

ในปี 1989 บทบาทเกาเทียนจิน ใน ‘Endless Love’ ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวางในไต้หวัน แต่นั่นก็ไม่เท่ากันกับการที่เหอเจียจิ้ง ได้ตกหลุมรักนักแสดงสาวที่แสดงคู่กันกับเขา เกาจินซู่เหมย 

เกาจินซู่เหมย เป็นนักแสดงสาวที่โด่งดังในยุค 80s ของไต้หวัน เมื่อได้แสดงละครกับพระเอกหนุ่มชาวฮ่องกงอย่างเหอเจียจิ้ง เธอเองก็ประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษของเขา ส่วนเขาก็ชอบและรักความเป็นคนหัวก้าวหน้าของเธอ ทั้งสองคบหากันอย่างรวดเร็ว และเล่นละครด้วยกันอีกสองเรื่อง  

ทั้งคู่เปิดเผยเรื่องความรักของทั้งสองต่อสื่อมวลชน ในปี 1990 เกาจินซู่เหมย ได้เปิดร้านบริการถ่ายภาพแต่งงานในไทเป มีข่าวลือออกมาว่า เธอและเหอเจียจิ้งเตรียมการแต่งงานกันแล้ว โดยให้ฝ่ายหญิงไปเตรียมหากิจการนอกวงการไว้รองรับ ความรักของทั้งสองยังคงดำเนินเรื่อยมาจนถึงปี 1993 ซึ่งเป็นปีแห่งความสำเร็จของ ทั้งเหอเจียจิ้ง และ เกาจินซู่เหมย

ในปี 1993 เหอเจียจิ้งในวัย 34 ปี ถูกทาบทามไปแสดงละครโทรทัศน์เรื่องเปาบุ้นจิ้น ในบทจอมยุทธใต้จั่นเจา โดยร่วมแสดงกับนักแสดงชุดเดิมในงักฮุย (Eight Thousand Li of Cloud and Moon /1988) ทั้งจินเชาฉวิน(รับบทเปาบุ้นจิ้น) และฟ่านซงหวน(กงซุนเช่อ) ที่เคยแสดงเป็น ฉินไคว่ และจักรพรรดิซ่งเกาจง

อ่านเรื่อง ‘จินเชาฉวิน’ ผู้รับบท ‘เปาบุ้นจิ้น’ ฉบับฮิต จากสายตัวร้าย มารับบทที่เปลี่ยนชีวิตตลอดกาล

เปาบุ้นจิ้น (包青天/ Justice Pao) ออกอากาศทางสถานีหัวซื่อ เวลา 20.00 น. เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1993 ช่วงเวลานี้แม้จะเป็นช่วงเวลาไพร์มไทม์ของช่อง แต่ก็ยังไม่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของผู้บริหารในความสำเร็จของละครชุดนี้ ในตอนแรกที่มีการสร้าง คือผลิตเพียงแค่ 15 ตอน 3 คดีเท่านั้น ละครชุดที่ไม่มีใครคาดหมายว่าจะประสบความสำเร็จชุดนี้ แม้กระทั่งตัวเหอเจียจิ้งเอง เมื่อเรตติ้งขึ้นสูงเป็นอันดับหนึ่งจึงมีคำสั่งให้สร้างเพิ่มเป็น 236 ตอน 41 คดี

ทางทีวีบี ฮ่องกงก็ซื้อสิทธิ์เพื่อออกอากาศทันที ในเดือนสิงหาคม 1993 เมื่ออกอากาศในช่วงเวลาไพร์มไทม์ก็โด่งดังเป็นประวัติการณ์  ไม่เคยมีละครชุดจากต่างประเทศเรื่องไหนที่ทำเรตติ้งสูงเท่านี้มาก่อน จนทางทีวีบีต้องจัดทีมพากษ์ 2 ทีม คือทีมพากษ์กวางตุ้ง และทีมพากษ์จีนกลาง แมนดาริน

กระแสความโด่งดังจากฮ่องกงเริ่มลุกลาม ไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศไทย ทางช่องสามนำมาฉายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2538 ละครชุดเปาบุ้นจิ้นก็โด่งดังมากเช่นกัน

“สิ่งเดียวที่ผมปรารถนาก็คือ ผมอยากให้ยายผมเห็นผมประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าหากยายผมยังอยู่ รับรองว่ายายจะต้องติดเปาบุ้นจิ้น (1993) ที่ผมแสดงอย่างงอมแงมแน่นอน” เหอเจียจิ้งกล่าวถึงคุณยายของเขาในปี 1995 แม้ว่ายายเขาจะเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังรักและระลึกถึงคุณยายของเขาอยู่เสมอ

 

Lucky in Game Unlucky in Love

เมื่อทั้งฝ่ายชายประสบความสำเร็จจากละครโทรทัศน์ เปาบุ้นจิ้นในบทบาทของจั่นเจา แมวหลวง ยอดมือปราบ ส่วน เกาจินซู่เหมย กลับประสบความสำเร็จในผลงานแสดงในระดับโลกจาก The Wedding Banquet (1993) ของผู้กำกับ อั้งลี่ ที่เป็นตัวแทนไต้หวันเข้าชิงภาพยนตร์สาขาต่างประเทศยอดเยี่ยม ทั้งในเวทีออสการ์ และลูกโลกทองคำ

เหอเจียจิ้ง ต้องแสดงละครโทรทัศน์เปาบุ้นจิ้น รวมถึงโปรโมตละครชุดเรื่องนี้ ไปทั่วเอเชีย ส่วนเกาจินซู่เหมย ก็ต้องเดินทางโปรโมต The Wedding Banquet(1993) ไปทั่วโลก ทำให้ทั้งคู่แทบจะไม่มีเวลา และห่างไกลกันจนต้องเลิกรา 

เป็นการเลิกราที่ยังคงไว้ซึ่งความรู้สึก เหอเจียจิ้งเคยเผยข้อตกลงของทั้งคู่ว่า “ถ้าอายุ 60 แล้วเราทั้งคู่ยังไม่มีใคร ผมเคยสัญญากับเธอไว้ว่าเราจะอยู่ดูแลกันตลอดไป”

หลังจากนั้น เหอเจียจิ้ง ก็ไปแสดงละครที่ฮ่องกง และคบหากับนางเอกสาวหลี่หวั่นหัว ภายหลังจากที่เหอเจียจิ้งเลิกรากับนักแสดงสาวหลีหวั่นหัวในปี 2001 ก็ทำให้สื่อจับใจมองว่า พระเอกหนุ่มจะตกลงปลงใจกับสาวคนใดต่อไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปนับสิบปี เหอเจียจิ้งไม่มีการคบหากับหญิงสาวคนใดเป็นตัวเป็นตนอีก สื่อจึงหันมาสนใจและสัมภาษณ์เหอเจียจิ้งเกี่ยวกับคนรักเก่าเสมอ ทุกครั้งที่เขาให้สัมภาษณ์ มักจะกล่าวถึง เกาจินซู่เหมย และกล่าวถึงเธอในแง่ดีอยู่เสมอ

ในขณะที่เกาจินซู่เหมย ได้เข้าสู่สนามการเมือง เธอได้รับเลือกในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติของไต้หวันในปี 2001 และได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของไต้หวันอีกครั้งในปี 2008 ด้วยการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างโดดเด่น และจริงใจ ทำให้เธอเป็นที่นิยมของประชาชานชาวไต้หวัน

เวลาล่วงเลยไปในปี 2019 สัญญารัก 60 ปี เป็นที่จับตาของสื่อมวลชนอีกครั้ง เมื่อเหอเจียจิ้งจะมีอายุ 60 ในวันที่ 29 ธันวาคม 2019 สัญญารักของ ‘จั่นเจา’ จะเป็นจริงหรือไม่

ภาพการพบกันของทั้งคู่ถูกเผยแพร่ออกมา ‘จั่นเจา’ สมควรมีคู่รักดูแลแล้วหรือไม่ ในเมื่อทั้งเธอและเขาก็ยังไม่มีคู่ครอง

เมื่อสื่อไปถาม เกาจินซู่เหมย เธอกลับหัวเราะว่า “พวกคุณยังจำคำสัญญานั้นได้อีกหรือคะ” 

“มันคงเป็นสัญญาที่ไม่สามารถมีวันเป็นจริงได้แล้วแล้วล่ะ ในเมื่อฉันและเขา (เหอเจียจิ้ง) เราไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว”

เกาจินซู่เหมย แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าเธอคุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวและมีความสุขกับเวลาอยู่คนเดียว เธอไม่ต้องการพิจารณาความสัมพันธ์ใหม่หรือสร้างแฟน และไม่ปรารถนาความรัก

ส่วนเรื่องคำสัญญานั้น เธอบอกว่ามันเป็นคำพูดให้กำลังใจจากเขา “นี่คือกำลังใจที่เขามอบให้ฉันเมื่อฉันเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคมะเร็งตับ และฉันไม่คิดว่าสื่อมวลชนจะติดตามถามฉันเรื่องนี้ทุกปี”

แม้ว่าเกาจินซู่เหมยจะมองว่าสัญญานี้เป็นเพียงกำลังใจจากเหอเจียจิ้ง แต่สำหรับเหอเจียจิ้งเอง เขาไม่เคยตอบรับหรือปฏิเสธสัญญานี้ที่เขาเคยกล่าวไว้แต่อย่างใด แต่สำหรับแฟนคลับของทั้งสองแล้ว ก็ไม่อยากให้คำสัญญานี้เป็นเพียงแค่ ‘คำ ๆ หนึ่ง’ เพราะคำสัญญาจะมีคุณค่าเมื่อคุณรักษามันด้วยใจ

ส่วนเหอเจียจิ้ง หลังจากออกจากวงการบันเทิง เขาใช้ชีวิตไปกับการดูแลธุรกิจ การท่องเที่ยว เตะฟุตบอล และงานการกุศล จนกลายเป็นสมาชิกของ CPPCC ในเมืองฮุ่ยโจว มณฑลกวางตุ้ง ในปี 2011 เหอเจียจิ้งได้เข้าร่วมกิจกรรมบริจาคเพื่อการกุศล เพื่อครอบครัวที่ยากจน และมอบทุนการศึกษาแก่เด็กที่ขาดทุนทรัพย์ เหอเจียจิ้งแม้จะถูกเชิญให้ไปออกงานในฐานะคนที่มีชื่อเสียง แต่เขามักจะปฏิเสธการปรากฏตัวต่อหน้าสื่อเสมอ จนกลายเป็นเหมือนบุคคลลึกลับจากวงการบันเทิงไปแล้ว

แต่เพื่อน ๆ ของเขา อย่าง เริ่น เสียนฉี ที่เพิ่งพาครอบครัวไปเยี่ยมเหอเจียจิ้งที่โรงงานบอกว่า เหอเจียจิ้งยังคงเป็นเหมือนเดิม เขามีความสุขตามอัตภาพของเขา แม้ว่าจะมีโอกาสทางธุรกิจมากกว่านี้ แต่เขาก็พึงพอใจกับการเปิดโรงงานเล็ก ๆ ที่บ้านเกิด ทุกวันเขาออกกำลังกาย ท่องเที่ยว และทำงานกุศล โดยเฉพาะงานการกุศลที่เกี่ยวกับเด็กด้อยโอกาส

เหอเจียจิ้ง ยังดูเยาว์วัยกว่าอายุ 62 ปี เขายังโสดไม่แต่งงาน ในบทสัมภาษณ์หนึ่ง เขาเคยกล่าวไว้ว่า

“ถ้าคุณยายผมยังอยู่ ผมคงจะแต่งงานและมีลูก ๆ ให้กับคุณยายผมได้เลี้ยงดู คุณยายผมเธอชอบเด็ก ๆ มาก เธอคงจะเลี้ยงดูลูกของผมเป็นอย่างดีแน่ ๆ”

ชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลวของพ่อแม่เหอเจียจิ้ง เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่เขาไม่ศรัทธาในชีวิตแต่งงาน แต่ทุกวันนี้เหอเจียจิ้ง ยังคงเก็บเด็กชายคนเดิมไว้ในใจเสมอ และทุกวันนี้เขาได้แบ่งปันโอกาสที่เขาเคยขาดส่งมอบแก่เด็ก ๆ ที่ขาดโอกาสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

เพราะ ‘โอกาส’ นับว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะสามารถมอบมันให้แก่กัน

 

เรื่อง: เพจ เก้ากระบี่เดียวดาย

ภาพ: เหอเจียจิ้ง ในบทจั่นเจา