พยัคฆ์นักบู๊ ‘เจ็ท ลี’ แชมป์วูซู นักแสดงแถวหน้าของเอเชียที่ฝันจะปกป้องเพื่อนร่วมชาติ

พยัคฆ์นักบู๊ ‘เจ็ท ลี’ แชมป์วูซู นักแสดงแถวหน้าของเอเชียที่ฝันจะปกป้องเพื่อนร่วมชาติ

เรื่องราวของสุดยอดกระบวนท่าจากพยัคฆ์นักบู๊ ‘เจ็ท ลี’ เด็กหนุ่มจากครอบครัวที่ฐานะทางการเงินไม่ค่อยดี ก้าวเป็นแชมป์วูซู และนักแสดงแถวหน้าของเอเชียที่ฝันจะปกป้องเพื่อนร่วมชาติ

  • เจ็ท ลี นักแสดงบู๊ที่โด่งดังระดับเอเชีย เขาก้าวมาจากเด็กในครอบครัวฐานะการเงินไม่ดีนัก มาเป็นแชมป์วูซู ก่อนได้แสดงภาพยนตร์
  • ผลงานภาพยนตร์ต่าง ๆ ของเจ็ท ลี สร้างชื่อเสียงและทำให้เขาถูกจดจำจากคอหนัง กระทั่งมีอาการป่วยเมื่ออายุมากขึ้น

หวงเฟยหง เป็นตัวละครที่เคยผลักดันเฉินหลงให้โด่งดังไปทั่วเอเซียในช่วงปลายยุค 70s จากภาพยนตร์เรื่อง ‘ไอ้หนุ่มหมัดเมา’ (Drunken Master, 1978) ในช่วงต้นยุค 90s บทหวงเฟยหง ก็ผลักดันเด็กหนุ่มนักบู๊อีกคนจากปักกิ่งให้โด่งดังเทียบเคียงรัศมีกับเฉินหลง จากภาพยนตร์เรื่อง หวงเฟยหง หมัดบินทะลุเหล็ก (Once Upon a Time in China 1991)

ในวัยเยาว์ หลี่เหลียนเจี๋ย เกิดที่ปักกิ่ง และเป็นลูกชายคนเล็กในจำนวนพี่น้อง 5 คน พ่อที่เป็นวิศวกรของเขาเสียชีวิตตั้งแต่หลี่เหลียนเจี๋ย อายุเพียงแค่ 5 ขวบ

“ครอบครัวเรายากจนมาก สิ่งแรกที่ผมได้เรียนรู้จากชีวิตคือ จะไม่ทำสิ่งใดที่จะทำให้แม่ต้องเสียใจ”

เขากลายเป็นคนที่หัวรั้นมุ่งมั่นและคิดถึงเรื่องการหาเงินอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่เป็นผู้มีความกระตือรือร้นกระวีกระวาด เขาถูกรับคัดเลือกเข้าเรียนที่วิทยาลัยวูซู ที่ปักกิ่ง เมื่ออายุยังน้อยมาก

“เมื่ออายุเพียง 8 ขวบ ผมไม่รู้หรอกว่า ผมได้เรียนรู้อะไรบ้าง สิ่งเดียวที่ผมรู้คือว่า การได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้หมายถึงการมีอาหารกินในแต่ละมื้อ” เขากล่าว

ระหว่างอายุ 11 ถึง 16 ปี เขาได้รับ 5 เหรียญทองจากการแข่งขันแห่งชาติวูซู และได้เดินทางท่องโลกไปสาธิตศิลปะมวยจีนในที่ต่าง ๆ ครั้งหนึ่ง อดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐอเมริการู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ชมลีแสดงศิลปการต่อสู้ของเขาที่ลานหญ้าของไวท์ เฮ้าส์ ซึ่งท่านประธานาธิบดีถึงกับขอให้เด็กชายลีวัย 11 ปีเป็นบอดี้การ์ด ของเขาเมื่อเขาเติบโตขึ้น

เด็กชายหลี่เหลียนเจี๋ย กลับตอบไปอย่างห้าวหาญว่า “ไม่ครับ ผมต้องการที่จะปกป้องเพื่อนร่วมชาติของผมหนึ่งพันล้านคนมากกว่า”

ในวัย 20 ปี หลี่เหลียนเจี๋ย แชมป์วูซูระดับประเทศในตอนนั้นได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ เสียวลิ้มยี่ (Shaolin Temple, 1982) ผลงานกำกับ ‘จางซิ่งเหยิน’ โดย จงหยวน โมชั่นพิคเจอร์ คอมปานี แม้จะเป็นภาพยนตร์ของฮ่องกง แต่ทีมงานผู้สร้างเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่แทบทั้งหมด เสียวลิ้มยี่ ประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อออกฉาย ทำรายได้ไปถึง 16 ล้านเหรียญฮ่องกง จนถึงกับมาการสร้างภาคต่ออีก 2 ภาค

มังกรน่ำปั๊ก Shaolin Temple: Martial Art of Shaolin (1986) เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามของชุดเสียวลิ้มยี่ ที่ได้ยอดผู้กำกับ หลิวเจียเหลียง มากำกับ แม้ตัวหนังจะได้การยอมรับว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดในสามภาค แต่ความเหลื่อมล้ำระหว่างทีมงานฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ก็ปรากฏอย่างชัดเจน อาทิ ค่าแรงให้ทีมงานและนักแสดงทางฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่น้อยมาก เพียงคนละ 1 หยวนต่อวัน ขณะที่ทีมงานชาวฮ่องกงได้ค่าจ้างเดือนละเป็นแสนเหรียญ หลี่เหลียนเจี๋ย ที่เป็นนักแสดงนำเองยังได้ค่าจ้างน้อยกว่าทีมงานหลายคนด้วยซ้ำ

ความคิดเมื่อวัยเยาว์ที่ว่าจะปกป้องพี่น้องชาวจีนนับล้านของเขาดังก้องในใจ เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมในกองถ่ายที่ตัวเขาเองเป็นพระเอก หลังจากการร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่องนี้ หลี่เหลียงเจี๋ยก็ไม่เคยร่วมงานกับหลิวเจียเหลียงอีกเลย

ในปี 1988 หลี่เหลียนเจี๋ย จึงหันมากำกับหนังของตัวเองเป็นครั้งแรกในเรื่อง หวด ปั๊ก คั๊ก (Born to Defence) แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนหลี่เหลียนเจี๋ยตัดสินใจย้ายมาอยู่ฮ่องกง

มังกรกระแทกเมือง (Dragon Fight 1989) เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขามาแสดงในฮ่องกง แต่กลับถ่ายทำที่อเมริกา ซึ่งกำกับโดยเติ้งเยี่ยนเฉิง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้ตลกดาวรุ่ง โจวซิงฉือ มาร่วมแสดง และที่สำคัญ หลี่เหลียนเจี๋ย ก็ได้พบรักแท้ของเขา ลี่จื้อ ที่รับบทนางเอก อดีตมิสเอเชีย 1986

ในตอนนั้น หลี่เหลียนเจี๋ย แต่งงานแล้วกับดาราสาวหวงชิวเหยียน (Huang Qiu Yan) ที่เคยแสดงภาพยนตร์กับเขาด้วยกันสองเรื่อง คือ เสี่ยวลิ้มยี่ 2 (1983) และ มังกรน่ำปั๊ก Shaolin Temple: Martial Art of Shaolin 1986 แล้วตั้งแต่ปี 1987

สาเหตุจากการแต่งงานในครั้งแรก เกิดจากคำแนะนำของคุณยายของหลี่เหลียนเจี๋ย ที่เชื่อในเรื่องโชคลาง หลังจากช่วงเวลานั้น หลี่เหลียนเจี๋ย มีปัญหาเรื่องสุขภาพ และมังกรน่ำปั๊กก็ทำรายได้ไม่ค่อยดี คุณยายจึงบอกว่าการแต่งงานกับหวงชิวเหยียน จะทำให้ดวงชะตาของเขาดีขึ้น ซึ่งฝ่ายหญิงเองมีอายุมากกว่าเขาสามปี

ในตอนที่ถ่ายทำ มังกรกระแทกเมือง (Dragon Fight 1989) ในตอนนั้นหลี่เหลียนเจี๋ย เรียกได้ว่า ยังพูดภาษากวางตุ้งไม่ค่อยคล่อง และแม้จะเคยมาสหรัฐอเมริกาในตอนเด็กที่เขาบินมาแสดงศิลปะการต่อสู้ วูซู ต่อหน้าประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐอเมริกา แต่เขาแทบจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย การสื่อสารกับนักแสดงและทีมงานก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก 

ยิ่งการสื่อสารกับคนต่างชาติก็ยิ่งยากเย็น เรียกได้ว่า หลี่เหลียนเจี๋ย ในตอนนั้นทั้งเฉิ่มและเชย ในตอนนั้นมีเพียงลี่จื้อ ที่รู้สึกสงสารและเห็นใจ จึงพยายามช่วยเหลือเขาบ่อย ๆ ในด้านการสื่อสาร และสอนเขาพูดกวางตุ้งและภาษาอังกฤษ ด้วยความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น หลี่เหลียนเจี๋ย ตัดสินใจหย่าร้างกับภรรยาคนแรก และคบหากับลี่จื้อ อย่างเปิดเผย 

มังกรกระแทกเมืองนั้นนับว่ายังห่างไกลความสำเร็จของเสี้ยวลิ้มยี่ หนังทำรายได้ไปเพียง 6 ล้านเหรียญฮ่องกง เป็นอีกหนึ่งความไม่สำเร็จของหลี่เหลียนเจี๋ย จนกระทั่งเขาได้พบกับฉีเคอะ ที่กำลังต้องการนำ เรื่องราวของยอดปรมาจารย์หงฉวน แห่งฝั๊ดซาน (ฝอซาน) มานำเสนอใหม่ ด้วยแรงสนับสนุนของ เรย์มอนด์ เชา เจ้าของบริษัท Golden Harvest ลูกศิษย์หงฉวน สายหลินไซหยง (ลูกศิษย์ของหงเฟยหง) ด้วยความคาดหวังที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวของปรมาจารย์ของเรย์มอนด์ เชา ทำให้ทั้งหลี่เหลียนเจี๋ยและฉีเคอะใช้เวลารังสรรค์เรื่องราวของหวงเฟยหง ถึงสองปีก่อนออกฉายในวันที่ 15 สิงหาคม 1991

หวงเฟยหง ภาค 1 ตอน หมัดบินทะลุเหล็ก (Once Upon a Time in China 1991) ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งรายได้ 29 ล้านเหรียญฮ่องกง และรางวัลที่ส่งให้ฉีเคอะ ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ฮ่องกง ค.ศ. 1992 นอกจากนั้นยังคว้าอีกสามรางวัล ออกแบบฉากบู๊ยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในเวทีเดียวกัน

หนังเรื่องนี้แจ้งเกิดหลี่เหลียนเจี๋ย อย่างเต็มตัว ลีลาการต่อสู้กังฟูของหลี่เหลียนเจี๋ย ทั้งรวดเร็ว ต่อเนื่อง งดงาม บางครั้งอ่อน บางครั้งรุนแรงหนักหน่วง สร้างความประทับใจและน่าจดจำ ไม่เหมือนคิวบู๊หนังกังฟูยุค 3 พี่น้อง เฉินหลง หงจินเป่า หยวนเปียว ที่ยังคงต่อสู้เป็นจังหวะ ตามสไตล์หนังกังฟูยุค 80s

ทำให้ชื่อหลี่เหลียนเจี๋ย ขึ้นเป็นนักแสดงแอคชั่นอันดับต้น ๆ จ่อคอหอยรุ่นพี่อย่างเฉินหลง

เนื่องจากเฉินหลง มีบริษัทผลิตภาพยนตร์เป็นของตนเอง ดังนั้น ผู้กำกับ ผู้สร้างถ้าอยากได้เฉินหลงมาแสดง ต้องผ่านขั้นตอนเสนอโปรเจกต์กับทางเฉินหลงและบริษัท รวมถึงการเข้ามาควบคุมดูแลเปลี่ยนเนื้อหาและบทภาพยนตร์ซึ่งเป็นสิทธิ์ของทางเฉินหลง ทำให้ผู้กำกับหลายคนยินดีที่จะร่วมงานกับหลี่เหลียนเจี๋ยมากกว่า ทั้งหยวนหวูปิง (Yuen Woo-Ping) เฉิงเสี่ยวตง (Tony Ching) หยวนขุย (Corey Yuen) หง จินเป่า (Sammo Hung) หวังจิง (Wong jing) ต่างเรียกใช้หลี่เหลียนเจี๋ย มาเป็นนักแสดงนำ 

ดังนั้น ในช่วงต้นยุค 90s หลี่เหลียนเจี๋ย จึงมีผลงานมากมาย อาทิ Swordsman II (1992) หรือ เดชคัมภีร์เทวดา ภาค 2, The Master (1992) หรือ ฟัดทะลุโลก, หวงเฟยหง ภาค 2 หรือ Once Upon a Time in China II (1992) , หวงเฟยหง ภาค 3 หรือ Once Upon a Time in China III (1993)

 

สงครามมาเฟีย เหตุการเปลี่ยนตัวหวงเฟยหง รอยร้าวระหว่างหลี่เหลียนเจี๋ย และฉีเคอะ

1997 คือปีที่ทางสหราชอาณาจักรต้องคืนฮ่องกงกลับสู่จีน ความหวาดหวั่นของนักธุรกิจ นักลงทุน ทุกกิจการ และรวมไปถึงแก๊งมาเฟีย ซึ่งแก๊งมาเฟียที่ว่านั้นก็ต้องการนำเงินจากธุรกิจสีเทามาใช้และสร้างผลกำไรให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการสร้างภาพยนตร์ เงามืดของกลุ่มมาเฟียเริ่มแผ่เข้ามาในวงการภาพยนตร์ฮ่องกงอย่างชัดเจนในช่วงปี 1992 ซึ่งมีเหตุการณ์ต่างมากมาย 

อย่างเช่นการเข้าไปปล้นฟิล์มภาพยนตร์ กระทิงซู่ปู้เลี่ยวฉิง All s Well End s Well (1992) เพื่อไม่ให้ออกฉายได้ทันในช่วงตรุษจีน การลักพาตัวหลิวเต๋อหัว ไปแสดงภาพยนตร์ เฉินหลง ต้องพกระเบิดติดตัวพร้อมลุยกับกลุ่มมาเฟียที่จะมาป่วนกองถ่ายของเขา รุนแรงจนกระทั่งดารานักแสดงและเหล่าคนวงการบันเทิงต้องรวมตัวเดินประท้วงยื่นหนังสือแก่กรมตำรวจฮ่องกง ให้เข้าปราบปรามและตรวจสอบการเข้ามาเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ของกลุ่มแก๊งมาเฟีย ซึ่งสุดท้ายจบลงด้วยการที่แก๊งมาเฟียจัดการกันเองจนเลือดนอง

เรื่องราวของกลุ่มมาเฟียเริ่มเข้ามามีปัญหาในกองถ่ายหวงเฟยหง ภาค 2 ตอน ถล่มมารยุทธจักร (1992) เนื่องจากหลี่เหลียนเจี๋ย เกิดปัญหาเมื่อพบว่า เดวิด หลอ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้จัดการของเขา ยักยอกเงินส่วนตัวของเขาไปเป็นจำนวนมาก จนหลี่เหลียนเจี๋ย ต้องขอพักการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ และก็เป็นไซ่จื่อหมิง (ผู้มีอิทธิพลในวงการมาเฟีย) มาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย จนทำให้หวงเฟยหง ภาค 2 ถ่ายทำสำเร็จและออกฉาย ในวันที่ 16 เมษายน 1992 ตัวหนังทำรายได้มากกว่าภาคแรก ไปถึง 30,399,676 เหรียญฮ่องกง และหลี่เหลียนเจี๋ยก็เซ็นสัญญาแสดงต่อเป็นภาคสามในปักกิ่ง

ระหว่างการถ่ายทำหวงเฟยหง ภาค 3 ตอน ถล่มสิงโตคำรามที่ปักกิ่งนั้น ข่าวการเสียชีวิตของ ไซ่จื่อหมิง ก็มาถึงเขา นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เดวิด หลอ กำลังจะถอนฟ้องไซ่จื่อหมิง แต่ไซ่จื่อหมิง ดันมาเสียชีวิตเสียก่อน หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง หวงเฟยหง ภาค 3 ตอน ถล่มสิงโตคำราม เสร็จ หลี่เหลียนเจี๋ยก็ปักหลักอยู่ปักกิ่งอย่างไม่มีกำหนดไปฮ่องกงอีก

ซึ่งช่วงเวลาที่หลี่เหลียนเจี๋ย หายไปจากวงการภาพยนตร์นั้น เป็นช่วงที่วงการภาพยนตร์ฮ่องกงมีปัญหามาเฟียเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีคนพูดถึงหลี่เหลียนเจี๋ยว่า “เขาก็แค่เด็กหนุ่มจ้าวกังฟูจากจีนคนหนึ่ง ที่เราจะกำจัดเขาเมื่อไหร่ก็ได้” นั่นทำให้หลี่เหลียนเจี๋ย ยิ่งต้องหลบซ่อนตัว แม้กระทั่งที่อยู่ของหลี่เหลียนเจี๋ยในปักกิ่ง ก็จะมีเพียงคนสนิทของเขาเท่านั้นที่ทราบ

หวงเฟยหง ภาค 3 ตอน ถล่มสิงโตคำราม ออกฉายช่วงตรุษจีน ชนกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของทั้งเฉินหลง และโจวซิงฉือ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1993 แต่ก็ยังทำรายได้สูงถึง 27,540,561 เหรียญฮ่องกง แต่หลี่เหลียนเจี๋ย ก็ไม่ได้อยู่ฮ่องกงอีกแล้ว

ฉีเคอะจึงต้องสร้างหวงเฟยหงต่อในภาคที่ 4 โดยไม่มีหลี่เหลียนเจี๋ย และได้นักวูซูจากจีนอีกคนมารับบทหวงเฟยหงแทน ก็คือ จ้าวเหวินจั๋ว

ส่วนหลี่เหลียนเจี๋ย ทางเรย์มอนด์ เชา เจ้าของ โกลเด้น ฮาวเวสต์ ได้สยายปีกมาปกป้อง หลังจากนั้น ก็ไม่มีกลุ่มแก๊งมาเฟียไหนในฮ่องกงกล้าแตะเขาอีก หลี่เหลียนเจี๋ย เปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์เองในชื่อ Eastern Production Ltd. และสร้างภาพยนตร์เรื่อง ฟงไสหยก สู้บนหัวคน(1993)  ที่กำกับโดย หยวน ขุย ตัวหนังยังได้นักแสดงแอ็คชั่นหน้าใหม่อย่าง จ้าวเหวินจั๋ว มาแสดงเป็นตัวร้าย และออกฉายในวันที่ 4 มีนาคม 1993 ทำรายได้สูงถึง 30,666,842 เหรียญฮ่องกง

นับตั้งแต่ปี 1991 นับตั้งแต่หลี่เหลียนเจี๋ย ประสบความสำเร็จจาก Once Upon a Time in China : หวงเฟยหง ภาค 1 ตอน หมัดบินทะลุเหล็ก เขาได้แสดงภาพยนตร์ในฮ่องกงจนถึงปี 1998 ไปถึง 19 เรื่อง โดยมีเรื่อง Hitman : ลงขันฆ่า ปราณีอยู่ที่ศูนย์ (1998) เป็นเรื่องสุดท้ายก่อนที่จะไปแสดงภาพยนตร์เรื่อง Lethal Weapon 4 : ริกก์ส คนมหากาฬ 4 (1998) ที่ฮอลลีวูด และเปลี่ยนชือเป็น เจ็ท ลี (Jet li)

Lethal Weapon 4 : ริกก์ส คนมหากาฬ 4 สร้างชื่อเสียงให้กับเจ็ท ลี เป็นอย่างมาก ในฮอลลีวูด ระหว่างนั้นเจ็ท ลี ถูกทาบทามให้แสดงเป็นหลี่มู๋ไป๋ ในภาพยนตร์ พยัคฆ์ระห่ำ มังกรผยองโลก (Crouching Tiger, Hidden Dragon) ที่กำกับโดย อั้งลี่ (Ang Lee) แต่กลับปฏิเสธโอกาสนั้นไป 

เนื่องจาก เจ็ท ลี ได้สัญญากับภรรยาไว้ว่าจะไม่ทำงานในขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์ บทจึงตกเป็นของ โจวเหวินฟะ แทน หลังจากภรรยาคลอดลูกแล้ว เจ็ท ลี กลับมารับบทนำในภาพยนตร์อีกสามเรื่อง Romeo Must Die : ศึกแก็งค์มังกรผ่าโลก(2000) Kiss of the Dragon : จูบอหังการ ล่าข้ามโลก(2001) และ The One : เดี่ยวมหาประลัย (2001) ที่ทำรายได้ระดับกลาง ๆ

ก่อนที่จะกลับมาแสดงภาพยนตร์กำลังภายในอีกครั้งที่ประเทศจีนในภาพยนตร์เรื่อง Hero (2002) หนังสัญชาติจีนทุนสร้าง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยรัฐบาลของจีน กำกับการแสดงโดย จางอี้โหมว นำแสดงโดยดาราชื่อดังหลายคน อย่าง เหลียงเฉาเหว่ย  จา ม่านอวี้ เฉินเตาหมิง จางจื่ออี๋ และดอนนี่ เยน เจิ้นจื่อตัน ภาพยนตร์เรื่อง Hero ทำรายได้ทั่วโลกถึง 177.3 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

Hero (2002) นับเป็นภาพพยนตร์จีนที่เจ็ท ลี หลี่เหลียนเจี๋ย ฝันใฝ่มาแต่เยาว์ นอกจากเนื้อหาของภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวของจักรพรรดิองค์แรกของจีนที่แฝงไปด้วยอภิมหาปรัชญาผ่านการบอกเล่าโดยผู้กำกับชาวจีนที่เก่งกาจอย่าง จางอี้โหมว นั่นคือความภูมิใจในฐานะคนจีน อีกประเด็นก็คือความเท่าเทียม

“ผมต้องการที่จะปกป้องเพื่อนร่วมชาติของผมหนึ่งพันล้านคนมากกว่า” เป็นคำที่หลี่เหลียนเจี๋ย เคยกล่าวไว้ต่อหน้า ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แต่วันที่เขาเป็นดารานำในหนังชุด เสียวลิ้มยี่ ทั้งสามภาค เขาไม่สามารถสร้างความเท่าเทียมให้กับเพื่อนร่วมชาติในกองถ่ายของเขาได้เลย จนเวลาผ่านไป ประเทศจีนเข้มแข็งขึ้น ภาพยนตร์ที่เขานำแสดง พร้อมกับทีมสร้างเพื่อนร่วมชาติได้รับค่าจ้างอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่คือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เริ่มแรกเข้าวงการ และวันนี้มันก็เป็นจริง

ในปี 2013  เจ็ท ลี พบว่าตนเองเป็นโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ หรือภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบเผาผลาญในร่างกาย และอัตราการเต้นของหัวใจบวกกันกับอาการที่กระดูกสันหลัง หลังจากการแสดงบทแอ็คชั่นมาหลายปี ทำให้เขามีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและงดรับงานแสดงไปในช่วงเวลานึง

จนกระทั่งในปี 2016 เจ็ท ลี ได้ประกาศว่า อาการจากโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ของเขาหายดีแล้ว แต่เขายังคงรับงานแสดงน้อยลง เพื่อทุ่มเทกับงานด้านการกุศลของเขาให้มากขึ้น ก่อนที่จะกลับมารับบทฮ่องเต้ในภาพยนตร์เรื่อง มู่หลาน (MuLan, 2020) 

สำหรับอาการเจ็บป่วยของเจ็ท ลี นั้นมีความเชื่อที่ต้องใช้วิจารณญาณ อันเกี่ยวข้องกับภรรยาของเขาเอง ลี่จื้อ 

 

อาการป่วย 

ลี่จื้อ มิสเอเชียคนที่สอง ปี 1986 นับว่าเป็นมิสเอเชียอีกคนที่โดดเด่นมาก ขนาดเหง่ยคัง(นีควง) กรรมการตัดสินในปีนั้นถึงกับเอ่ยปากบอกว่า นี่คือนางงามที่หายากยิ่งในรอบห้าสิบปี และหากลี่จื้อ ไม่ได้ตำแหน่งมิสเอเชียในปีนั้นเขาจะเผาเวทีประกวดมิสเอเชียทิ้ง ส่วนสื่อมวลชนขนานนามลี่จื้อว่า 

“มีใบหน้างดงามดุจเทพธิดา แต่มีเรือนกายยวนยั่วดั่งปีศาจสาว” 

ในวงการภาพยนตร์ ความงดงามเซ็กซี่ของเธอนั้นสะกดใจผู้ชม จนกลายเป็นหนึ่งสาวในฝันของผู้ชมชายในยุคนั้นเลยทีเดียว และหนึ่งในชายที่หลงใหลในลี่จื้อ อีกคนก็คือ สแตนลีย์ โฮ ราชาแห่งคาสิโนในมาเก๊า 

สแตนลีย์ โฮ เป็นคนที่ชอบเต้นรำมาก เขามักจะชักชวนให้ลี่จื้อเต้นรำกับเขาเสมอ แม้จะมีวัยถึง 65 ปีแล้วก็ตาม แต่ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่หนุ่มกว่าวัย เสน่ห์ของหนุ่มใหญ่ความร่ำรวยของเขาต่างทำให้สาว ๆ หลงใหลในตัวของเขา แม้ว่าเขาจะมีภรรยาแล้วสามคนก็ตาม

สแตนลีย์ โฮ มอบคฤหาสน์ราคา 200 ล้านให้เป็นของกำนัลให้แก่ลี่จื้อ หลายคนต่างมองว่า ลี่จื้อ จะต้องกลายเป็นภรรยาคนที่สี่ของราชาคาสิโนแห่งมาเก๊าแน่นอนแล้ว แต่กลายเป็นว่า บรรดาภรรยาของสแตนลีย์ โฮไม่ยินยอม 

การมีภรรยาคนที่สี่หมายถึงการมีครอบครัวเพิ่มอีกหนึ่งครอบครัว ซึ่งในตอนนั้น สแตนลีย์ โฮ มีลูกกับภรรยาทั้งสามแล้วรวม 12 คน แต่การจะมีภรรยาใหม่และมีลูกเพิ่มย่อมไม่ใช่ปัญหาของมหาเศรษฐีอย่างเขาอยู่แล้ว แต่ที่รู้ใจสามีมากที่สุดก็คือลูซินา ลาม ( Lucina Laam ) ภรรยาคนที่สองที่โน้มน้าวใจสามีว่า ลี่จื้อ นั้นมีเรือนร่างยั่วยวนเกินไป บวกกับโหงวเฮ้งใบหน้าที่จะทำให้สามีลุ่มหลง หากไม่ใช่ชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายแข็งแรงมากเพียงพอจะไม่สามารถรองรับความงามเช่นนี้ได้ หากสแตนลีย์ ยืนยันจะแต่งงานกับเธออาจจะทำให้เขาอายุสั้นลง

สแตนลี่ย์ รู้ดีว่าภรรยาคนที่สองตักเตือนไม่ได้ด้วยอารมณ์หึงหวงแต่ห่วงใยเขาอย่างแท้จริง เพราะซินแสประจำตัวของเขาก็ตักเตือนเรื่องนี้เช่นกัน จึงทำให้ท้ายที่สุด สแตนลี่ย์ โฮ ไม่ได้สานสัมพันธ์กับลี่จื้อ ต่อ แต่ก็ยังคงยกทรัพย์สินบางส่วนให้กับเธอ

และต่อมา เขาก็แต่งงานกับแอนเจลา เหลียง หญิงสาวที่เป็นพนักงานดูแลเงินของคาสิโนให้กับเขาในปี 1988 แม้ว่าสแตนลีย์จะมีวัยถึง 67 ปีแล้วก็ตาม แต่ทั้งคู่มีลูกร่วมกันอีก 5 คน และเสียชีวิตด้วยวัย 98 ปี เมื่อปี 2020 จึงมีการกล่าวว่า การที่เจ็ท ลี ต้องมาป่วยในช่วงอายุที่มากขึ้นเพราะดวงมิอาจต้านทานแรงดึงดูดหยางของภรรยาได้

สำหรับตัวละคร หวงเฟยหง ที่เขาแสดงนั้น จะมีกระบวนท่า ‘บาทาไร้เงา’ เป็นท่าไม้ตาย เมื่อมีนักข่าวถามเขาว่า

“คุณคิดว่าวิชากังฟูวิชาใดเป็นวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด?”

หลี่เหลียนเจี๋ย ยิ้มและตอบนักข่าวว่า “รอยยิ้ม”

“เพราะหากว่าคุณมีรอยยิ้ม คุณก็จะไม่มีศัตรู” สอดคล้องกับตำราพิชัยสงครามของซุนวูที่ว่า

“ชนะโดยไม่ต้องรบ คือยอดกลยุทธ์”

 

เรื่อง: เพจเก้ากระบี่เดียวดาย

ภาพ: แฟ้มภาพจาก Getty Images