28 พ.ย. 2566 | 10:24 น.
“ทุกวันนี้ฉันได้เห็นความเป็นไปและเรื่องราวน่าสลดใจ (เลสลี่ จาง เสียชีวิต) ทันใดนั้นฉันรู้ว่าเวลาของฉันหมดลงแล้ว ฉันตัดสินใจออกจากวงการ เพื่อไปทำสิ่งที่ฉันอยากทำ ถึงเวลาที่ฉันจะออกไปเรียนรู้ชีวิตโดยปราศจากเครื่องสำอางแล้ว”
‘หวังจู่เสียน’ กล่าวทิ้งท้ายไว้ในปี 2004 หลังจากที่เธอตัดสินใจอำลาวงการภาพยนตร์ที่เธอทำงานมาตลอด 19 ปี ตั้งแต่อายุ 18 ปี
หวังจู่เสียน เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1967 ที่ไต้หวัน ในตอนเด็ก หวังจู่เสียน เป็นเด็กที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ จวบจนโตขึ้นมา เธอค่อยเล่นบาสเกตบอล ตามพ่อของเธอ ‘หวัง เหยาหวง’ อดีตนักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติไต้หวัน
ต่อมา เธอเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนมัธยมโซโก้ เมืองซินเป่ย์ และอยู่ในทีมบาสเกตบอลของโรงเรียน และได้มีโอกาสเดินทางไปแข่งขันที่ฮ่องกง ซึ่งถือเป็นการเดินทางออกจากไต้หวันเป็นครั้งแรกของเธอ ช่วงนั้นเองมีแมวมองผ่านมาพบเข้า และชวนให้เธอมาถ่ายโฆษณารองเท้ากีฬา จากนั้นก็มีงานถ่ายโฆษณาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งโฆษณาเครื่องสำอาง และน้ำอัดลม
หลังจากชิมลางงานโฆษณามาหลายชิ้น หวังจู่เสียน เริ่มคิดเอาจริงเอาจังกับการแสดง จึงได้สอบเข้าโรงเรียนศิลปะกั๋วกวง ซึ่งเป็นแหล่งสร้างดาราดังหลายต่อหลายคน โดยคุณพ่อที่เคยหวังให้ลูกสาวเดินรอยตามนั้น ก็ให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินใจของลูกสาวว่า “ลูกสาวโตแล้ว ผมก็ควรปล่อยให้เธอตัดสินใจเอง”
ก่อนหน้านี้ หวังจู่เสียนเคยให้สัมภาษณ์ว่า เธอชอบร้องรำทำเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว อายุได้ 5 ขวบเธอก็ไปเรียนบัลเลต์ เรียนนานถึง 3 ปี ตอนอยู่ชั้นประถมเธอก็เป็นตัวแทนของโรงเรียนขึ้นไปเต้นรำและร้องเพลง โตหน่อยก็เรียนกีตาร์กับพ่อ ดังนั้น เธอจึงนับว่าค่อนข้างผูกพันกับการแสดงมากกว่า กีฬา
และแล้วประตูสู่วงการบันเทิงก็เปิดต้อนรับเธออย่างเป็นทางการเมื่อโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์เรื่อง It Will be Cold by the Lake This Year (1984) ต้องการหานางเอกหน้าใหม่ และเผอิญได้เห็นเธอจากในหนังโฆษณา หวังจู่เสียน ได้ร่วมแสดงกับพระเอกหวงหย่งเหอ และมีข่าวว่าทั้งคู่เกิดปิ๊งรักนอกจอ ในตอนนั้นเธอยังอายุไม่ถึง 20 เลยด้วยซ้ำ
จากภาพยนตร์เรื่องนี้เอง ฝีมือการแสดงและหน้าตาของเธอไปสะดุดตา โมนา ฟง โปรดิวเซอร์หนังของชอว์ บราเธอร์ส เข้า จึงชักชวนเธอมาแสดงหนังที่ฮ่องกง
ในปี 1985 หวังจู่เสียน ได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัดชอว์ และเริ่มต้นแสดงหนังฮ่องกงเรื่องแรก Lets Make Laugh 2 (再见七日情) กับเอ่อตงเซิน ตามมาด้วยเรื่อง รักนี้... ดีไหมหว่า? ( Working Class, 1985) กับ แซม ฮุย และมีข่าวว่าทั้งคู่สปาร์กกันกลางกองถ่ายเหมือนกัน ข่าวคราวความรักครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของหวังจู่เสียนเป็นที่พูดถึงมากขึ้น เพราะแซม ฮุย ก็นับเป็นนักแสดงที่กำลังโด่งดังอย่างมากในขณะนั้น
ต่อมา ในปี 1987 หวังจู่เสียน มีโอกาสร่วมงานกับ ฉีฉิน นักร้องหนุ่มอนาคตไกล ในเรื่อง ‘ฟางเฉ่าปี้เหลียนเทียน’
หวังจู่เสียน ตำนานปีศาจสาวงาม
‘โปเยโปโลเย’ เป็นเรื่องราวตอนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เนี่ย เสี่ยวเชี่ยน’ จากหนังสือ เรื่อง聊斋志异 (เหลียวไจจื้ออี้ แปลเป็นไทยคือ เรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ) ผลงานของ ผู ซงหลิง (蒲松龄) แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง (1644 – 1912) จากเรื่องเล่าของจีนปรัมปรา รวบรวมเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับคน ผี ปีศาจ เทพ หลายร้อยพันเรื่องไว้ในที่เดียว และ เนี่ย เสี่ยวเชี่ยน ก็เป็นหนึ่งในนั้น
‘เนี่ย เสี่ยวเชี่ยน’ มีเนื้อเรื่องย้อนไปสมัยราชวงศ์ถัง เล่าถึงความรักต้องห้ามระหว่างมนุษย์ที่มีนามว่า หนิงไฉ่เฉิน และปีศาจที่มีนามว่า เสี่ยวเชี่ยน (Nie Xiaoqian) ผีสาวผู้มีความงามดั่งภาพวาด เสียชีวิตตอนอายุ 18 กลายเป็นคนรับใช้ปีศาจที่วัดร้าง ใช้ความงามล่อลวงบุรุษหนุ่มจนเมื่อพลั้งพลาดเผลอก็สูบเลือดเนื้อวิญญาณนำมาเป็นพลังงานให้กับตนเอง แต่ครั้งหนึ่งเมื่อเธอพบเห็นความสุจริตบริสุทธิ์จากใจของ หนิงไฉ่เฉิน (Ning Caichen) ก็ตกหลุมรัก ใคร่ให้ความช่วยเหลือเขาเอาตัวรอดตายจากภัยเหนือธรรมชาตินี้
ฉีเคอะ มีความสนใจดัดแปลงสร้างเรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ หรือโปเยโปโลเย ผลงานประพันธ์ของผู ซงหลิง มาตั้งแต่ประมาณปี 1978 นำเสนอให้กับโปรดิวเซอร์วงการโทรทัศน์ แต่ถูกปฏิเสธเพราะมองว่าเนื้อหาไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับทำฉายช่องทางนี้เสียเท่าไหร่ กระนั้นเจ้าตัวยังไม่ยอมแพ้ ค่อย ๆ ครุ่นคิดว่าแนวทางในการนำเสนอให้แตกต่างจาก The Enchanting Shadow (1960) จนกระทั่งภาพยนตร์เรื่อง Encounters of the Spooky Kind (1980) อำให้ดี ผีชิดซ้าย และ Mr. Vampire (1985) ผีกัดอย่ากัดตอบ ของ หงจินเป่า ประสบความสำเร็จเมื่อออกฉาย ทำให้จุดประกายฉีเคอะอีกครั้งในการนำเสนอภาพยนตร์ที่มีส่วนผสมของสิ่งเหนือธรรมชาติ
สิ่งที่ทำให้ โปเยโปโลเย (1987) ประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจากเทคนิคภาพยนตร์ที่แปลกใหม่ การถ่ายภาพที่ประณีต ชุดที่สวมใส่งดงาม สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือคู่พระนางที่มีเสน่ห์และดึงดูด สร้างความประทับใจแก่ผู้ชมอย่างยิ่ง
เลสลี่ จาง ในวัย 31 ปี รับบท หนิงไฉ่เฉิน บัณฑิตหนุ่ม ผู้มีจิตใจดีงาม เลสลี่ จาง นับเป็นนักแสดงที่โด่งดังมา และเขาเพิ่งประสบความสำเร็จจาก โหด เลว ดี ที่ ฉีเคอะเป็นผู้อำนวยการสร้าง จึงดึงเขาเข้ามาเป็นดาราแม่เหล็ก ให้ผู้ชมหันมาสนใจ โปเยโปโลเย เวอร์ชั่นนี้ เมื่อได้พระเอกแล้ว ฉีเคอะก็ควานหาดาราสาวที่จะมารับบทสำคัญ ‘เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน’
‘เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน’ นับว่าเป็นโจทย์ที่ยากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องเพราะผู้ชมยังจดจำความงดงามอันเป็นอมตะของ เล่อตี้ ใน ‘วิญญาณรักปีศาจสาว’ The Enchanting Shadow (1960) ฉีเคอะเองก็ใช้เวลาเสาะหานางเอกที่จะสวมชุดจีนโบราณได้อย่างงดงาม แต่ก็ยังไม่พบ ‘ เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน’ ในความคิดของตนเสียที
หวังจู่เสียน ผู้ไม่เคยอ่าน นิยาย เรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ หรือ โปเยโปโลเย มาก่อน เพียงแต่วันหนึ่งเธออ่านข่าวแล้วพบว่า ฉีเคอะ กำลังจะสร้างภาพยนตร์แนวใหม่ ชื่อ ‘倩女幽魂’ เซี่ยนหนี่อิวหุน และกำลังหานักแสดงนำฝ่ายหญิงอยู่
เพียงแค่ชื่อภาพยนตร์กลับทำให้ดาราสาวจากไต้หวันรู้สึกสะดุดใจ และผูกพันเป็นพิเศษ
“ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่พอได้เห็นคำว่า ‘เซี่ยนหนี่’ (สาวงาม) สองคำนี้ ใจกลับรู้สึกว่าชอบมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่า เซี่ยนหนี่ หมายถึงอะไร แต่รู้ว่า ‘อิวหุน’ น่ะ มันก็คือ ผี”
หวังจู่เสียน รู้จักกับฉีเคอะ เพราะทั้งคู่เคยร่วมงานกันใน Working Class (1985) หวังจู่เสียนจึงโทรศัพท์ไปหาซือหนันเซิง (ภรรยาของฉีเคอะ)
“พอถามดูว่าเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับอะไร ก็ถึงทราบว่าเป็นหนังจีนโบราณ หนันเซิง บอกกับฉันว่า เธอไม่เหมาะหรอก สาวจีนโบราณที่ไหนจะสูงอย่างเธอ (หวังจู่เสียนสูง 173 เซนติเมตร) แต่ฉันยังยืนยันต่อหนันเซิง ว่าฉันอยากทดสอบหน้ากล้อง”
พอฉีเคอะรู้จากภรรยาว่าหวังจู่เสียน ขอทดสอบหน้ากล้อง เขาก็คิดได้ว่า
“ทุกคนรู้ดี ว่าบท ‘เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน’ ก่อนหน้านั้นแสดงโดย เล่อ ตี้ เจ้าของฉายา ‘Chinese Classic Beauty’ ตัวแทนความงามแบบหญิงสาวจีนโบราณ แล้วพอผมทราบว่า หวังจู่เสียน โทรมาหาภรรยาผมและขอเทสต์หน้ากล้อง มันดีนะในเรื่องการตลาดของหนัง ผมสามารถทำข่าวได้ว่า ดาราอย่างหวังจู่เสียน สนใจบทบาทนี้ ไม่มีใครคิดเลยว่าเธอจะเหมาะกับบทนี้ ไม่แปลกล่ะก็เธอแสดงแต่หนังวัยรุ่นสมัยใหม่มาตลอด”
รับบทคลาสสิกและผลงานอมตะตลอดกาล
ในตอนนั้น ฉีเคอะ ไม่ได้คาดหวังกับหวังจู่เสียนเลย เขาสนใจ หลอเหม่ยเว่ย (ภรรยาของจางเซียะโหย่ว ในปัจจุบัน) แต่ตอนนั้น หลอเหม่ยเว่ย ติดถ่ายภาพยนตร์เรื่องอื่นอยู่ ยังไม่มีเวลามาออดิชั่น ในเมื่อหวังจู่เสียน แสดงเจตจำนงอยากมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉีเคอะ จึงให้เธอมาลองออดิชั่น สวมเสื้อผ้าหญิงสาวจีนโบราณดู เมื่อเห็นหวังจู่เสียนในชุดโบราณ ฉีเคอะก็รู้ทันทีว่านี่แหละ คือ ‘เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน’ ที่เขาตามหา
โปเยโปโลเย เย้ยฟ้าแล้วก็ท้า (A Chinese Ghost Story, 1987) ประสบความสำเร็จเมื่อออกฉาย ทำรายได้สูงถึง 18.8 ล้านเหรียญ เข้าชิงรางวัลม้าทองคำทั้งหมด 8 สาขา คว้ามา 4 รางวัล ซึ่งอู๋หม่า ได้รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ขณะที่ Hong Kong Film Award เข้าชิง 12 จาก 10 สาขา ได้มา 3 รางวัล
โปเยโปโลเย - A Chinese Ghost Story (1987) นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่พลิกโฉมและปลุกกระแสภาพยนตร์กำลังภายในของฮ่องกงให้ฟื้นกลับมา รวมถึงการสร้างภาพจำ ‘เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน’ ปีศาจสาวแสนสวยให้กับหวังจู่เสียน อีกด้วย
“เหนือจรดใต้แห่งแยงซี จากนี้จวบรุ่นสู่รุ่น มิอาจมีเนี่ยเสี่ยวเซียน ที่งดงามได้เทียมเท่านี้อีกแล้ว”
หานซ่งหลัว นักเขียนและนักวิจารณ์ถึงกับต้องถอนหายใจลึก ๆ และกล่าวหลังดู ‘โปเยโปโลเย เย้ยฟ้าแล้วท้า’ จบ
กว่าสามสิบปี สะท้อนความเป็นจริงเช่นนี้ แม้ดาราสาวที่งดงาม หลายต่อหลายคนมาสวมบทบาทนี้ ทั้ง ต้าเอส หยางมี่ และแม้แต่ หลิวอี้เฟย เอง หากพูดถึง ‘เนี่ยเสี่ยวเชียน’ ที่งดงามที่สุดผู้คนยังกล่าวถึงชื่อหวังจู่เสียน อยู่ดี
แม้กระทั่ง King Of Pop ไมเคิล แจ็คสัน ยังต้องตะลึงในความงามของหวังจู่เสียน เมื่อเขาได้พบเธอครั้งที่มาเยือนฮ่องกงในปี 1987 ราชาเพลงป็อบถึงกับถามหวังจู่เสียนว่า “คุณสวยมาก ยังมีสาวจีนคนไหนที่สวยเหมือนคุณอีกหรือเปล่า?”
ความสำเร็จของ โปเยโปโลเย โด่งดังมากในญี่ปุ่น ส่งผลให้ชื่อของหวังจู่เสียน และ เลสลี่ จาง กลายเป็นดารายอดนิยมที่นั่น ในปี 1989 หวังจู่เสียน ได้ร่วมแสดงในซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง A Woman From Hongkong และได้ร้องเพลงเปิดตัวในซิงเกิ้ลที่ญี่ปุ่นและจีนแมนดาริน ชื่อเพลง ‘Hold You In My Arms Forever’
หลังจากปี 1997 หวังจู่เสียน ได้ย้ายไปอาศัยอยู่แคนาดา แต่ยังคงรับงานวงการบันเทิงบ้างประปราย จนปี 2003 หลังจากห่างหายจากหน้าจอภาพยนตร์ไปนานหลายปี หวังจู่เสียน กลับมารับงานแสดงอีกครั้งในเรื่อง Shanghai Story (美丽上海/2004) และภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตการแสดงของเธอโดยปริยาย สาเหตุจากการเสียชีวิตของเลสลี่ จาง ‘เกอ เกอ’ (พี่ชาย) คนสนิทของเธอ
หากปราศจาก หนิงไฉ่เฉิน เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน จะคงอยู่ได้อย่างไร
หลังจากปี 2004 หวังจู่เสียน ย้ายไปอาศัยอยู่ แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา อย่างเงียบ ๆ กับครอบครัว เธอมีลงรูปและคำอวยพรทุกเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ให้กับแฟน ๆ ของเธอผ่านทางโซเซียลมีเดียส่วนตัว ซึ่งเธอแทบจะไม่ได้แต่งหน้าเลย หวังจู่เสียน แตกต่างจากนักแสดงสาวคนอื่นที่แม้อำลาวงการแล้วแต่ก็ยังรับงานโฆษณาหรืออีเวนต์บ้าง แต่หวังจู่เสียน จะออกเพียงงานสำคัญ ๆ ของวัดที่เธอนับถือและเข้าร่วมพิธีปฏิบัติธรรมเท่านั้น
ปี 2005 เบยองจุน พระเอกชื่อดังชาวเกาหลี ได้เอ่ยปากระหว่างเดินทางทัวร์ไต้หวันว่า เขาหวังอยากจะร่วมงานกับนักแสดงสาวมากความสามารถอย่าง หวังจู่เสียน และ หลินชิงเสีย เหลือเกิน ซึ่งขณะนั้นทั้งคู่ได้ออกจากวงการบันเทิงไปแล้ว
ในตอนนั้น ผู้สื่อข่าวจีนถึงกับลงทุนบินลัดฟ้าไปสัมภาษณ์หวังจู่เสียน ที่กำลังศึกษาอยู่ที่แวนคูเวอร์ โดยหวังจู่เสียน เปิดใจว่า เธอพอใจกับชีวิตที่สงบสุขและเรียบง่ายในตอนนี้เป็นอย่างมาก ตั้งแต่แสดงภาพยนตร์มามากกว่า 50 เรื่อง ชีวิตในตอนนี้ถึงจะเป็นต้วเองที่สุด
ดังนั้น เรื่องราวต่าง ๆ ในวงการบันเทิง รวมทั้งกระแสเกาหลีที่กำลังมาแรงในขณะนี้ เธอก็ไม่กระตือรือร้นที่จะรู้อะไรมาก นอกจากนี้ แม้เธอจะไม่รู้จักเบยองจุน พระเอกดังจากเรื่อง ‘เพลงรักในสายลมหนาว’ แต่เธอกก็กล่าวขอบคุณที่เขาออกปากอยากแสดงหนังกับเธอ
หวังจู่เสียน เหมือนสลัดความเป็นดาราและชื่อเสียงออกไปจนหมดสิ้น เหมือนคำตอบที่เธอตอบเมื่อมีนักข่าวถามเธอว่า ไม่เสียดายชีวิตในวงการบันเทิงหรือ?
หวังจู่เสียน ตอบอย่างเรียบง่ายว่า
“ฉันได้ทิ้งสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ชม นั่นก็เพียงพอแล้ว”
เรื่อง: เพจ เก้ากระบี่เดียวดาย
ภาพ: แฟ้มภาพ หวังจู่เสียน เมื่อปี 2016 ภาพจาก Getty Images ประกอบกับภาพ หวังจู่เสียน ในตัวอย่างภาพยนตร์ A Chinese Ghost Story (1987)