26 เม.ย. 2568 | 17:00 น.
KEY
POINTS
/////// บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน และเรื่องที่เกิดขึ้นจริงก่อนจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Ordinary Angels (2024) ///////
ย้อนกลับไปปี 1994 ณ เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ พายุหิมะโหมกระหน่ำทั้งเมืองจนพื้นดินถูกปกคลุมด้วยหิมะสูงไม่ต่ำกว่า 16 นิ้ว และนั่นทำให้ถนนทุกเส้นถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ถึงสถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด แต่ไม่ได้ทำให้ความพยายามของ ‘นางฟ้าเดินดิน’ คนหนึ่งพังทลาย
เมื่อ ‘ชารอน สตีเวนส์’ (รับบทโดย ฮิลลารี สแวงก์ (Hilary Swank) นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ จากเรื่อง Boy’s Don’t Cry ในปี1999) เห็นข่าวของหนูน้อยวัย 5 ขวบ ป่วยด้วยโรคตับหายาก คุณแม่เพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคเวเกเนอร์ (โรคแพ้ภูมิตัวเอง) พี่สาวในวัยไล่เลี่ยก็ป่วยด้วยโรคตับเช่นเดียวกัน มีเพียงคุณพ่อ ‘เอ็ด ชมิตต์’ (รับบทโดย อลัน ริตช์สัน (Alan Ritchson)) ทำหน้าที่ดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้านด้วยความยากลำบาก
“ปกติฉันไม่อ่านข่าวหนังสือพิมพ์เท่าไหร่ แต่วันนั้นฉันบังเอิญได้อ่านมัน... เด็ก ๆ กำลังต้องการความช่วยเหลือ แม่ของพวกเธอเพิ่งเสียชีวิต แต่หนูน้อยคนนี้เธอต้องปลูกถ่ายตับ และมันทำหัวใจฉันแตกสลาย”
‘ชารอน สตีเวนส์’ เล่าย้อนกลับไปยังช่วงที่เธอเจอกับ ‘มิเชล ชมิตต์’ (รับบทโดยเอมิลี มิทเชล (Emily Mitchell)) เป็นครั้งแรก และนั่นทำให้เธอรู้สึกตัวชา ใจของเธอแทบหยุดเต้นเพราะเด็กหญิงตัวน้อยอายุ 5 ขวบ* ณ ขณะนั้น ป่วยหนักมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว และมันยิ่งสร้างความทรมานให้เด็กคนนี้มากขึ้นทุกวัน หากเธอยังไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับ หนูน้อยมิเชลจะมีชีวิตได้อีกแค่ไม่กี่เดือน
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชารอนจึงตัดสินใจไม่ยากที่จะเข้าไปช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีปัญหาหนักไม่แพ้กัน ครอบครัวของเธอไม่สมบูรณ์แบบ แยกทางกับคนรัก กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่มีปัญหาติดเหล้าอย่างหนัก* จนลูกชายหนีห่างออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
ชารอนเปิดร้านทำผมเล็ก ๆ ในเมือง โดยก่อนหน้านั้นเธอเคยทำธุรกิจหลายอย่าง และมันก็ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด เธอมีทักษะการเจรจาชั้นยอด สามารถพูดโน้มน้าวใจคนได้เก่งขั้นเทพ เมื่อตั้งธงว่าจะทำอะไรแล้ว เธอจะไม่ยอมวางมือเด็ดขาด นี่อาจเป็นข้อดีของเธอก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินตรงไปแนะนำตัวเองกับครอบครัวชมิตต์ แม้จะได้รับสายตาแห่งความสงสัยปนระแวงจากผู้เป็นพ่อบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยหยุด มีแต่จะพาตัวเองไปใกล้ชิดครอบครัวนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ภารกิจในการช่วยชีวิตหนูน้อย เริ่มจากติดป้ายประกาศเชิญชวนคนทั้งเมืองให้มาใช้บริการที่ร้านตัดผมของเธอ และสามารถบริจาคได้ตามความเหมาะสม รายได้ทั้งหมดจะมอบให้แก่ครอบครัวชมิตต์ แน่นอนว่าเธอทำลงไปโดยไม่ได้ขอความเห็นจากครอบครัวชมิตต์แม้แต่น้อย ครอบครัวชมิตต์ไม่เคยรู้ว่ามีคนคนหนึ่งอ่านข่าวแล้วเกิดอยากช่วยเหลือพวกเขา แน่นอนว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเธอเดินไปเคาะประตูหน้าบ้านชมิตต์ ก่อนลูกสาวตัวน้อยจะเดินไปเปิดประตู และตะโกนเรียกพ่อว่ามีคนมาหา
ทันทีที่เอ็ดเห็นว่าเป็นชารอน เขารู้สึกประหลาดใจ ทั้งคู่เคยเจอกันที่งานศพภรรยาของเขา (แม่ของเด็ก ๆ) แต่ตอนนั้นเขายังสับสนว่าชารอนเป็นญาติหรือเพื่อนฝ่ายไหน จึงไม่มีเวลาคุยมากนัก แถมยังมีสภาพมึนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ เมื่อมาเจอเธออีกครั้งที่หน้าบ้าน แน่นอนว่าเขารู้สึกไม่ไว้ใจ พยายามถามว่าเธอต้องการอะไร แต่เมื่อชารอนยื่นเงินบริจาคจากคนทั้งเมืองให้ เขาก็รู้สึกขอบคุณปนสับสน คิดเพียงแค่ว่านี่อาจเป็นการเจอครั้งสุดท้าย เขาจึงได้แค่กล่าวขอบคุณและบอกลาเธอไป
แต่ชารอนยังไม่หยุดแค่นั้น เธอพยายามเข้าไป ‘ช่วย’ ค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง จนแม่ของเอ็ดเริ่มไว้วางใจ ยอมรับให้เธอมาเป็นคนดูแลเด็ก ๆ ในระหว่างที่เอ็ดออกไปทำงาน
กลายเป็นว่าชีวิตประจำวันของชารอนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากติดเหล้าอย่างหนัก บางวันออกไปตัดผมให้ลูกค้าทั้งที่ไม่อาบน้ำ มีกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งไปหมด ลูกค้าและเพื่อนร่วมงานส่ายหน้าหนี แต่เมื่อมีภารกิจช่วยชีวิตหนูน้อยครอบครัวชมิตต์ ชารอนก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เธอกระตือรือร้น อยากออกไปทำแคมเปญทำให้ทุกคนรู้ว่ายังมีหนูน้อยที่น่าสงสารคนนี้อยู่บนโลก พยายามติดต่อสำนักข่าวให้มาสัมภาษณ์ กระจายข่าวออกไปให้ได้มากที่สุด และดูเหมือนว่าทุกคนก็พร้อมให้การต้อนรับเธออย่างดี ยกเว้นเอ็ด เขามองว่าเธอเข้ามาก้าวก่ายมากเกินไป ทำอะไรไม่เคยปรึกษา กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็มีสำนักข่าวมาจ่อคิวสัมภาษณ์ลูกของเขาแล้ว และนั่นทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะไม่อยากให้คนสงสารลูกตัวเอง และไม่อยากให้ลูกต้องโตมาเจอกับข่าวของตัวเองในวัยเด็ก
ความสัมพันธ์ของทั้งสองย่ำแย่ก็จริง แต่เด็ก ๆ และแม่ของเอ็ดชอบชารอนกันทุกคน เพราะชารอนเป็นคนสนุก ช่างพูดคุย แถมยังเคยตัดกระโปรงน่ารัก ๆ มาให้สองพี่น้องด้วย
หลังจากเอ็ดเห็นว่าชารอนเริ่มไม่มีพิษมีภัย เขาก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปอย่างราบเรียบ ไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยว มีเพียงเรื่องการช่วยชีวิตลูกสาวของเขาเท่านั้นที่เชื่อมโยงกัน เอ็ดออกไปทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แต่รายได้ก็ยังไม่เพียงพอ ชารอนเห็นเช่นนั้นจึงพยายามบอกเขาให้ขายบ้าน และนั่นทำให้เอ็ดระเบิด เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่เขาและภรรยามีความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน แม้จะลำบากเพียงใด เขาจะไม่ขายบ้านเพื่อนำเงินไปใช้เด็ดขาด
ถึงทั้งสองจะทะเลาะกันไม่เว้นวัน แต่ชารอนแกร่งกว่านั้น เธอไม่เคยย่อท้อ แม้จะถูกเอ็ดกีดกันอยู่บ่อย ๆ ระหว่างรอคิวปลูกถ่ายตับ เธอได้ติดต่อไปยังบริษัทเครื่องบินเจ็ต บอกจุดประสงค์ว่ามีเด็กที่น่าสงสารคนนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่ ด้วยทักษะการเจรจาชั้นยอด พวกเขาจึงตกลงว่าหากได้คิวผ่าตัดเมื่อไหร่ พวกเขาจะส่งเครื่องบินไปรับทันที
ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเด็กคนนี้แม้แต่น้อย จะทำทุกอย่างเพื่อให้ผ่าตัดได้ทันเวลา
อย่าลืมว่าในปี 1994 เวลานั้นการเดินทางไปโรงพยาบาลยังไม่สะดวกเหมือนอย่างปัจจุบัน โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไป 700 ไมล์ ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง 40 นาที แต่มิเชลจะต้องได้รับการผ่าตัดภายใน 6 ชั่วโมงหลังจากมีผู้ประสงค์บริจาคตับให้เท่านั้น จึงเป็นเหตุผลให้ชารอนติดต่อเครื่องบินเจ็ตไป หากนั่งเครื่องบินไป พวกเขาจะย่นเวลาระหว่างเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ และเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา เหลือแค่ 582 ไมล์ หรือ 1 ชั่วโมง 40 นาที
“วันนั้นไม่มีใครออกจากบ้านเลยสักคน หิมะท่วมจนหนา 16 นิ้ว ถนนถูกปิดเกือบหมดทุกเส้นทาง
“เมื่อได้รับสายโทรศัพท์ว่ามิเชลได้รับคิวผ่าตัดแล้ว ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด พายุหิมะถล่ม ฉันตัดสินใจโทรหาสำนักข่าว ให้พวกเขาช่วยกระจายข่าวให้หน่อยว่ามีทางไหนที่ยังไม่ปิดอีกบ้าง และมีลานไหนที่กว้างพอให้จอดเครื่องบินบ้าง”
หลังจากได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ ‘เทเรซา อัมชอฟฟ์’ (Teresa Amshoff) ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากครอบครัวชมิตต์ไปประมาณ 2 ไมล์ กำลังยืนปอกมันฝรั่งสำหรับมื้อเย็นในเย็นวันนั้น เธอเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างและสังเกตเห็นลานจอดรถขนาดใหญ่ของโบสถ์ Southeast Christian Church เป็นลานกว้างไม่มีต้นไม้หรือสายไฟฟ้าอยู่ใกล้ ๆ เป็นจุดที่เหมาะสำหรับเฮลิคอปเตอร์ลงจอด เธอโทรไปที่สำนักข่าว ก่อนทางนั้นจะบอกว่าลานจอดจะต้องเคลียร์หิมะออกภายใน 30 นาที
“ฉันโทรไปที่สถานีและถามพวกเขาว่าทำไมเฮลิคอปเตอร์จึงลงจอดที่นี่ไม่ได้” เทเรซา อัมชอฟฟ์ถามสถานี
“พวกเขาบอกว่าต้องตักหิมะ ฉันเลยบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก ฉันหาคนมาช่วยตักหิมะได้ทั้งถนนเลย’”
ชาวเมืองหลุยส์วิลล์ประมาณ 200 คนลงมือและนำพลั่วมาช่วยกวาดหิมะออกจากที่จอดรถของโบสถ์คริสเตียนเซาท์อีสต์ เพื่อให้เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยมีที่ลงจอดได้ นอกจากนี้ยังใช้รถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ที่เก็บไว้ในโรงรถของโบสถ์มาช่วยอีกแรง
“มันทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมากกว่าที่เคยรู้สึกมาตลอดชีวิต” คุณแม่ของเอ็ดบอกกับนักข่าว
“ฉันไม่เชื่อเลย และฉันแค่อยากจะบอกว่าขอบคุณจากใจจริง ดูเหมือนว่านั่นจะไม่เพียงพอ แต่ฉันแค่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเราซาบซึ้งใจแค่ไหน”
หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากคนทั้งเมือง เฮลิคอปเตอร์ก็สามารถลงจอดท่ามกลางพายุหิมะได้สำเร็จ ฝูงชนโห่ร้องแสดงความยินดีและบางคนก็ร้องไห้เมื่อเฮลิคอปเตอร์รับตัวมิเชลและบินจากไป
เฮลิคอปเตอร์พามิเชลไปที่ Standiford Field (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Louisville Muhammad Ali International Airport) จากนั้นจึงส่งเธอด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา
มิเชล ชมิตต์ เติบโตมาอย่างดี เธอได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน แต่หลังจากการปลูกถ่ายตับเธอยังคงต้องใช้ยาจำนวนมาก ส่งผลให้ไตได้รับความเสียหาย ทั้งมิเชลและพี่สาวเข้ารับการปลูกถ่ายไตในปี 2011 มิเชลได้รับไตจากคริสตัล เพื่อนสนิทของเธอ และได้แต่งงานกับ 'เดวิด คอบเบิล' (David Cobble) ในปี 2015 และทำงานเป็นพนักงานต้อนรับแผนกกุมารเวชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์
เธอให้สัมภาษณ์กับ Courier Journal ในปี 2019 ว่าเธอขอบคุณพระเจ้า ผู้บริจาคไต ครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเธอ และผู้คนนับร้อยที่มาร่วมกันช่วยชีวิตเธอไว้ในวันนั้น
มิเชล หรือหนูน้อยหิมะจากโลกนี้ไปในเดือนพฤษภาคม 2021 ขณะอายุ 31 ปี
*ในภาพยนตร์เรื่อง Ordinary Angels (2024) มิเชลอายุ 5 ขวบ เมื่อครอบครัวได้รับแจ้งว่ามีตับสำหรับปลูกถ่าย และเธอได้รับการปลูกถ่ายในเวลาต่อมา แต่ในเรื่องจริง มิเชลอายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น
มิเชลได้รับตับของไบรอัน ฟรีเซน (Brian Friesen) เด็กชายวัย 7 ขวบจากแคนซัสที่เสียชีวิตกะทันหันจากหลอดเลือดสมองโป่งพองในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 16 มกราคม 1994 หลังจากการผ่าตัดสำเร็จลุล่วง ในที่สุดครอบครัวชมิตต์ก็ได้พบกับครอบครัวฟรีเซน และทั้งสองครอบครัวก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
ในชีวิตจริง ชารอนไม่ได้มีปัญหาติดเหล้า เธอตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยุ่งกับเหล้าเด็ดขาด เพราะพ่อแม่เธอติดมันจนทำให้ชีวิตครอบครัวของเธอไม่เคยสงบสุข แถมแม่ก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับอีกต่างหาก เหล้าจึงเป็นสิ่งที่เธอจะไม่แตะต้องเป็นอันขาด ส่วนความสัมพันธ์กับลูกชาย เธอเขียนในหนังสือว่า เธอไม่ห่างจากลูกชายเลย เพราะลูกคือทั้งชีวิตของเธอ เป็นแหล่งพลังงานที่ทำให้เธอมีกำลังใจในการใช้ชีวิตทุก ๆ วัน
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ผู้กำกับอย่าง ‘จอน กันน์’ (Jon Gunn) เพิ่มเรื่องปัญหาติดเหล้าเข้าไปเป็นเพราะว่า เขาอยากให้คนเห็นถึงความสลับซับซ้อนของตัวละครมากขึ้นและพยายามตีแผ่ความจริงออกมาผ่านภาพยนตร์ให้ได้มากที่สุด
“ผมรู้สึกว่าผมต้องรับผิดชอบกับการนำเรื่องจริงมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ทำให้เรื่องเล่าของพวกเขาใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากที่สุด ความตั้งใจของผมจึงเป็นการแบ่งปันความจริง โดยความเจ็บปวดที่ผมได้รับจากการอ่านเรื่องราวของเธอนั้น ทำให้ผมอยากซื่อสัตย์และซื่อตรง แต่ไม่ลืมที่จะใส่ความขัดแย้งบางอย่างลงไปโดยไม่บิดเบือนจนทำลายความเป็นจริง
“ผมอยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้คนมองโลกในแง่ดีและมีกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : IMDb