โจวไห่เม่ย : จิวจี้เยียกที่กิมย้งถึงกับจะเปลี่ยนบทประพันธ์เพื่อเธอ

โจวไห่เม่ย : จิวจี้เยียกที่กิมย้งถึงกับจะเปลี่ยนบทประพันธ์เพื่อเธอ

‘โจวไห่เม่ย’ ดาราสาวที่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการประกวดนางงามฮ่องกง ผู้สวมบาท ‘จิวจี้เยียก’ ในดาบมังกรหยก The Heaven Sword and Dragon Saber ที่ ‘กิมย้ง’ เอ่ยปากว่า จะเปลี่ยนบทประพันธ์เพื่อเธอ

  • โจวไห่เม่ย เป็นดาราดังในยุค 80s และ 90s  
  • เธอเริ่มต้นบนถนนสายบันเทิงด้วยการเข้าประกวดนางงามฮ่องกงในปี 1985
  • โจวไห่เม่ย เป็นหนึ่งในผู้สวมบทบาท ‘จิวจี้เยียก’ ในดาบมังกรหยก ที่กิมย้งเอ่ยปากว่า จะเปลี่ยนบทประพันธ์เพื่อเธอ

จากข่าวลือในเว่ยป๋อ (Weibo) เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (12 ธันวาคม 2023) ที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตของดาราสาว ‘โจวไห่เม่ย’ ในวัย 57 ปี มีการประกาศออกมาแล้วว่าข่าวลือนั้น ‘ไม่เป็นความจริง’ แต่อย่างใด โดย ‘ถายเฟย’ โปรดิวเซอร์ชื่อดังของจีน ทำให้ข่าวลือในเว่ยป๋อเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเธอถูกทยอยลบลงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 20.39 น. ตามเวลาประเทศไทย ทาง Zhou Haimei Studio สตูดิโอของโจวไห่เหม่ย ได้โพสต์บนเว่ยป๋อว่า เธอได้เสียชีวิตแล้ว เนื่องจากการรักษาอาการป่วยของเธอไม่ได้

สำหรับโจวไห่เม่ยนับว่า เป็นนางเอกสาวที่โด่งดังมากคนหนึ่งในยุค 80s และ 90s  

“ข้า, จิวจี้เยียก ขอสาบานต่อฟ้าดินว่า ถ้าข้ามีความรู้สึกเสน่หาใด ๆ ต่อผู้นำของพรรคมาร (นิกายเม้งก่า) เตียบ่อกี้ หรือถ้าข้าแต่งงานกับเขา วิญญาณของพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้วของข้าจะไม่สงบสุข มิกจ๊อซือไท่อาจารย์ของข้าจะตามพยาบาท และหลอกหลอนข้าทั้งกลางวันและกลางคืน และหากข้ามีลูกหลานกับเตียบ่อกี้ ผู้ชายจะกลายเป็นทาส ในขณะที่ผู้หญิงจะกลายเป็นโสเภณีในทุกชั่วอายุคน”

ตัวละคร ‘จิวจี้เยียก’ หรือ ‘โจวจื่อยั่ว’ นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครแห่งความสำเร็จในงานเขียนของ ‘ท่านกิมย้ง’ ที่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะความคิดและนิสัย อันเกิดจากความจำเป็นบังคับ ดังนั้นตัวละครตัวนี้จึงมีความเปลี่ยนแปลงในตัวละครค่อนข้างสูง เป็นตัวละครที่ผู้อ่านรักไม่ได้แต่ก็เกลียดไม่ลง แม้จะทำความผิดต่าง ๆ นานาก็ตาม

สำหรับตัวละครเด่น ๆ ฝ่ายหญิงของท่านกิมย้งนั้น เมื่อมีการดัดแปลงมาเป็นละครโทรทัศน์มักจะมีนักข่าวไปสอบถามท่านกิมย้งผู้เขียน และมีโอกาสในการคัดเลือกนักแสดงในบางบทบาทเอง ซึ่งท่านกิมย้งเคยให้สัมภาษณ์ว่า ‘หมีเซียะ’ นับว่าเป็น ‘อึ้งย้ง’ ที่ท่านเองวาดภาพเอาไว้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘องเหม่ยหลิง’ คือคนที่ทำให้อึ้งย้งประสบความสำเร็จสูงสุด ‘เซียวเหล่งนึ่ง’ นั้นท่านกิมย้งชมชอบการแสดงของ ‘เฉินอวี้เหลียน’ ใน มังกรหยก ภาค 2 ตอนจอมยุทธอินทรี (The Return of the Condor Heroes - 1983) มากที่สุด

แต่สำหรับตัวละครจิวจี้เยียก ที่แม้ว่าจะมีนักแสดงอย่าง ‘จ้าวหย่าจือ’, ‘เติ้งชุ่ยเหวิน’ และ ‘เกาหยวนหยวน’ เคยแสดงบทบาทนี้ แต่กลับเป็นโจวไห่เม่ยที่ท่านกิมย้งมองว่าเธอถ่ายทอดบทบาทจิวจี้เยียกออกมาได้อย่างน่าประทับใจที่สุด ในดาบมังกรหยก The Heaven Sword and Dragon Saber ปี 1994 ของ TTV ไต้หวัน ที่นำแสดงโดย 'หม่าจิ่งเทา', 'เยี่ยถง' และ 'โจวไห่เม่ย'

ดาบมังกรหยก The Heaven Sword and Dragon Saber ปี 1994 ของ TTV ไต้หวันนั้น ตอนแรกวางตัวนักแสดง ‘หยวนเจี๋ยอิง’ มารับบท ‘เตี๋ยเมี่ยง’ ซึ่งตอนหลังได้มีการนำ ‘เยี่ยถง’ มาแสดงแทน และให้ ‘หยวนเจี๋ยอิง’รับบท ‘ฮึงซู่ซู่’ แทน ในเวอร์ชันนี้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหามากกว่านวนิยาย ซึ่งเป็นเพียงผลงานการดัดแปลงไม่กี่เรื่องที่ท่านกิมย้งชื่นชม รวมถึงการแสดงของโจวไห่เม่ยกับบทบาทจิวจี้เยียก

ถึงขนาดท่านกิมย้งบอกเองว่า “หากโจวไห่เม่ยเป็นจิวจี้เยียก ข้าพเจ้าอาจจะเปลี่ยนตอนจบให้กับเธอ และให้ตัวละครนี้สุขสมหวังกับเตี่ยบ่อกี้ (พระเอกในนวนิยายดาบมังกรหยก)”

นั่นสะท้อนให้เห็นว่าท่านกิมย้งชมชอบโจวไห่เม่ยในบทบาทนี้สักเพียงใด

โจวไห่เม่ย หรือ Kathy Chau เกิดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1966 เธอเริ่มก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการประกวดนางงามฮ่องกงในปี 1985 ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่ง บวกกับหน้าตาที่สวยหวาน ทำให้โจวไห่เม่ยเข้าสู่รอบ 30 คนสุดท้ายอย่างง่ายดาย แต่ด้วยความที่เธออายุแค่ 18 ปีในตอนนั้น จึงยังไร้เดียงสา ตอบคำถามไม่โดนใจกรรมการ จึงทำให้เธอพลาดมงกุฎนางงามในปีนั้นไปอย่างน่าเสียดาย แต่เธอก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงของ TVB

โจวไห่เม่ยประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดงกับงานละครเป็นอย่างมาก และเคยได้รับความนิยมถึงจุดสูงสุดมาแล้ว สวนทางกับงานทางด้านภาพยนตร์ที่เธอกลับไม่พบกับความสำเร็จ ชีวิตเธอมักจะพลาดโอกาสดี ๆ หลายครั้ง และเหมือนมีโชคหลังจากเกิดความผิดหวังมาโดยตลอด 

ในปี 1992 ‘ฉีเคอะ’ ผู้กำกับชื่อดังเตรียมเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง เดชคัมภีร์เทวดา 2 (Swordsman II 1992) และคิดจะทาบทามโจวไห่เม่ยมาร่วมแสดงในบทงักเล้งซัง แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นโจวไห่เม่ยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียก่อนจึงไม่ได้ร่วมงานกัน

บนเส้นทางสายบันเทิง

บรรพบุรุษดั้งเดิมของดาราสาวโจวไห่เม่ย เป็นขุนนางฝ่ายทหารชาวแมนจูผู้รับใช้ราชวงศ์ชิงในแปดกองธง ซึ่งเป็นกองกำลังทหารในยุคราชวงศ์ชิงในประวัติศาสตร์จีน ต่อมาพ่อและแม่ของโจวไห่เม่ยซึ่งแต่เดิมอาศัยอยู่ที่กวางโจวอันเป็นเมืองเอกของมลฑลกวางตุ้งในประเทศจีนได้ย้ายครอบครัวมาตั้งรกรากในฮ่องกง

โจวไห่เม่ย เกิดที่ฮ่องกงในครอบครัวฐานะดี เธอมีชื่อเล่นว่า ‘อาเม่ย’ (Amei) เป็นลูกคนกลางของครอบครัว โดยมีพี่ชายและน้องสาวอีกอย่างละ 1 คน ในวัยเด็กสุขภาพของเธอไม่ค่อยดีนัก เพราะเธอมีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้หรือไซนัส (Sinusitis) แต่เธอใฝ่ฝันที่จะเข้าวงการบันเทิง เพราะเธอชอบการเต้นรำเป็นอย่างมาก และมีกีฬาโปรดคือบาสเกตบอล 

เธอมักใช้เวลาว่างจากการเรียนไปเล่นบาสเกตบอลอยู่เป็นประจำ จึงทำให้เธอตัวสูงกว่าเด็กสาวในวัยใกล้ ๆ กัน แต่ด้วยปัญหาสุขภาพที่มีมาแต่เกิดทำให้เธอไม่สามารถเล่นบาสเกตบอลได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความที่เธอสนิทกับพี่ชายและมักจะไปเล่นคลุกคลีกับเด็กผู้ชายเป็นประจำ จึงทำให้เธอมีนิสัยเหมือนเด็กผู้ชายที่ทั้งห้าวและซุกซนเป็นอย่างมาก 

ดังนั้นพ่อของเธอซึ่งมีเชื้อสายบรรพบุรุษเป็นขุนนางเก่ามาก่อนจึงคอยอบรมเลี้ยงดูโจวไห่เม่ยอย่างเข็มงวดตั้งแต่วัยเด็กจนโตเป็นวัยรุ่น เพื่อที่จะปลูกฝังให้เธอมีนิสัยที่อ่อนหวานเรียบร้อยและเป็นกุลสตรีมากขึ้น

ด้วยวัย 18 ปี สุขภาพของเธอเริ่มดีขึ้นหลังจากเรียนจบในระดับชั้นมัธยมปลาย แล้วในขณะที่เธอกำลังมองหามหาวิทยาลัยที่จะเข้าไปศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาตรี พ่อของเธอได้ชวนเธอไปสมัครลงแข่งขันประกวดนางงามฮ่องกงในปี ค.ศ. 1985 (Miss Hong Kong Beauty Contest 1985) แต่ด้วยปัญหาสุขภาพที่เธอมีและเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเธอจึงลังเล 

ต่อมาพ่อของเธอจึงแอบไปสมัครให้กับเธอและบอกเธอในภายหลังเมื่อถึงวันคัดเลือกรอบแรก เธอไม่มีความมั่นใจเลย แต่พ่อของเธอสนับสนุนลูกสาวของเขาอย่างเต็มที่ และพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตัวเธอ และบนเวทีการประกวดด้วยหน้าตาที่จิ้มลิ้มน่ารักและสูงยาวเข่าดี ทำให้ในตอนแรกที่ลงเข้าแข่งขัน เธอเป็นหนึ่งในตัวเก็งที่คาดว่าจะสามารถคว้ามงกุฎชนะเลิศของปีนั้น และเธอก็สามารถฝ่าด่านผู้สมัครหลายร้อยคนเข้าสู่รอบ 30 คนได้อย่างง่ายดาย 

แต่พอมาถึงวันคัดเลือกรอบชิงชนะเลิศจริง เธอกลับตกรอบและไม่มีรายชื่อติดใน 15 คนสุดท้ายที่เข้าชิงมงกุฎ สาเหตุเพราะด้วยบุคลิกของเธอที่ดูไม่ฉลาด โดยเฉพาะการตอบคำถามที่ขาดไหวพริบ ไม่โดนใจคณะกรรมการ จึงทำให้เธอไม่สามารถฝ่าด่านผู้สมัครคนอื่น ๆ ที่ตอบคำถามดีกว่าได้ 

อย่างไรก็ตาม ด้วยความสวยพร้อมที่เธอมี ทำให้โชคเข้าข้างเธออยู่บ้าง เพราะหลังจากการประกวดเสร็จสิ้น เธอก็ได้รับการติดต่อจากฝ่ายโปรดิวเซอร์ของทางสถานีโทรทัศน์ TVB ให้เข้าไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดง 2 ปีกับทางช่องทันที และต้องเข้าฝึกอบรมการแสดงกับทางค่ายในหลักสูตรระยะสั้น 6 เดือน 

เมื่อแม่ของเธอรู้ว่าเธอเลือกที่จะเข้าสู่วงการบันเทิงและไม่คิดจะเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ถึงกับโกรธมากและไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดแม่ของเธอก็ยินยอมโดยทั้งสองมีข้อตกลงกันว่า

“ภายในสองปีนี้ถ้าเธอไม่สามารถเป็นดาราที่มีชื่อเสียงได้ เมื่อหมดสัญญากับทางช่องทีวีบีให้เธอถอนตัวออกจากวงการและกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีให้จบ” และโจวไห่เม่ยรับปากตกลงกับเงื่อนไขนี้

เมื่อเธอได้เข้าชั้นเรียนในโรงเรียนการแสดงของ TVB เพียง 3 เดือน และขณะที่เธอยังคงเรียนการแสดงอยู่นั้น ทางช่อง TVB ก็ได้ให้เธอประเดิมบทบาทการแสดงครั้งแรกในชีวิตกับบท ‘หยางจิ่วเม่ย’ น้องเล็กแห่งตระกูลหยาง ซึ่งเป็นบทตัวประกอบเล็ก ๆ ออกไม่กี่ฉากในละครดังเรื่องขุนศึกตระกูลหยาง (The Yang’s Saga - 1985) ซึ่งเป็นละครโปรเจกต์ใหญ่ประจำปีที่สร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษครบรอบ 18 ปีของทางสถานีโทรทัศน์ TVB (ความจริงแล้วเป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่ที่สุดในวงการละครฮ่องกงเลยก็ว่าได้)  อีกทั้งยังเป็นละครที่สามารถเอานักแสดงดัง ๆ ในค่ายเกือบทั้งหมดมาร่วมแสดงด้วยกัน โดยมีดาราชายกลุ่ม 5 พยัคฆ์ TVB แสดงนำ นับได้ว่าเป็นผลงานละครเรื่องแรกในชีวิตการแสดงของเธอ

ด้วยบุคลิกที่ดูอ่อนหวานไม่ฉลาดทันคนบนเวทีการประกวดนางงาม กลายเป็นคาแรกเตอร์ที่ทางช่องมอบให้กับเธอในการแสดง ซึ่งบทที่เธอได้รับมักจะเป็นหญิงสาวซื่อไร้เดียงสาไม่ทันคน โดนหลอกและถูกข่มขืนอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการร่วมแสดงในผลงานละครเรื่อง คู่ทรนง (The Feud of Two Brothers - 1986) ที่แจ้งเกิดให้กับได้เธออย่างเต็มตัวกับบทบาทสมทบที่น่าเห็นใจ และค่าของคน (The Price of Growing Up - 1987) ที่เธอได้รับบทคล้าย ๆ กัน แต่โดดเด่นมากขึ้น 

รวมไปถึงผลงานละครสากลเรื่อง เจ้าแม่ฮ่องกง (The Upheaval - 1986) ที่นางเอกในเรื่อง คือ ‘เฉิน อวี้เหลียน’ ละครเรื่องนี้ทำให้เธอได้พบรักกลางกองถ่ายกับพระเอกของเรื่องนี้คือ ‘หลี่เหลียงเหว่ย’ ซึ่งตอนนั้นโจวไห่เม่ยเพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน และฝ่ายชายคอยดูแลเอาใจใส่เธออย่างมากในช่วงที่ถ่ายทำละครเรื่องนี้ด้วยกัน ทำให้โจวไห่เม่ยตกหลุมรักเขาและตัดสินใจคบหากับเขาในเวลาต่อมา 

และในช่วงนี้เธอมีผลงานเด่นเรื่องอื่น ๆ ตามมา เช่น ลิขิตฮ่องเต้ (Heir to the Throne Is - 1986) ที่มีนางเอกคือ ‘หลันเจี๋ยอิง’ โดยหลายต่อหลายเรื่องที่ผ่านมาเธอจะได้เป็นแค่นางรองเท่านั้น จนเธอรู้สึกน้อยใจและคิดว่าถ้าภายใน 2 ปีนี้เธอยังไม่ได้รับบทเป็นนางเอกเต็มตัว เธอจะถอนตัวออกจากวงการบันเทิงไปทำอย่างอื่น

และก็มาถึงโอกาสที่ทางช่องยื่นบทนางเอกเต็มตัวให้กับเธอเป็นครั้งแรก โดยให้เธอประกบกับดารานักร้อง ‘หลี่ฟาง’ ในละครกึ่งสากลย้อนยุคเรื่อง คนเหนือคน (The Superlative Affections 1986) เมื่อละครได้ออนแอร์ ปรากฏว่าเรตติ้งละครเรื่องนี้ติด 10 อันดับแรกของละครที่มีเรตติ้งสูงสุดของปีนั้น ส่งให้โจวไห่เม่ยมีชื่อเข้าชิง 10 นักแสดงยอดนิยมสูงสุดแห่งปี 

จากความสำเร็จของละครเรื่องนี้ทำให้ทางช่องได้ยื่นบทนางเอกให้กับเธออีกครั้งกับละครแนวสากลยุคใหม่เรื่อง รักของคนเมือง (Love in a Decadent City - 1987) แต่เรตติ้งของละครเรื่องนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จเลย ทำให้เธอต้องกลับมารับบทนางรองหรือนางเอกร่วมในละครเรื่องอื่น ๆ ตามเดิม เช่น ตู้ชินอู๋ ดร.ซุนยัดเซ็น (Fate Takes A Hand - 1987) นางเอกหลักคือ ‘หลิวเจียหลิง’, ไฟรัก ไฟลวง (Flame of Fury - 1988) นางเอกหลักคือ ‘หลอฮุ่ยเจียน’

อิทธิฤทธิ์เจ้ายุทธภพ (The Saga of the Lost Kingdom - 1988) และเกิดมาเฮง (The Legend of Master Chan - 1989) ทั้ง 2 เรื่องหลังนางเอกหลักในเรื่องคือ ‘เจิ้ง หัวเชียน’ ซึ่งในตอนนั้นทางช่อง TVB รู้สึกว่าโจวไห่เม่ยจะไปได้ดีกับบทตัวเอกที่เป็นนางรองหรือนางเอกร่วมมากกว่า 

และในช่วงของปลายปีนั้นเอง ทางช่องได้คัดเลือกเธอให้เข้าร่วมแสดงนำกับบทนางรอง ประกบกับนางเอกหลักคือ ‘หลิวเจียหลิง’ ในละครสากลแนวดราม่าฟอร์มใหญ่ 50 ตอนจบที่กำลังจะเปิดกล้องและจะออนแอร์ลงจอโทรทัศน์ในปีหน้าเรื่อง ‘คู่แค้นสายโลหิต’ โดยมี ‘หวงเย่อหัว’ แสดงนำเป็นพระเอก และดาราชายดาวรุ่ง ‘เวินเจ้าหลุน’ รับบทนำเป็นตัวร้าย รวมถึงดาราสาวสวย ‘เส้าเหม่ยฉี’ ได้เข้ามาร่วมแสดงในบทสมทบด้วยอีกคน

ในช่วงกลางปี 1989 ผลงานละครสากลฟอร์มใหญ่แห่งปีเรื่อง คู่แค้นสายโลหิต (Looking Back in Anger - 1989) ได้ออนแอร์ลงสู่จอโทรทัศน์และได้สร้างปรากฏการณ์เป็นละครสากลแนวดราม่าที่มีเรตติ้งผู้ชมสูงสุดประจำปี ทำให้เหล่านักแสดงนำทั้ง 5 คนในเรื่องนี้ ได้แก่ หวงเย่อหัว เวินเจ้าหลุน หลิวเจียหลิง เส้าเหม่ยฉี และเธอ ต่างมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากกับบทบาทที่แต่ละคนได้แสดง และจากความสำเร็จของละครเรื่องนี้ได้ทำให้หวงเย่อหัว กลับมาเป็นพระเอกเบอร์หนึ่งแห่งค่ายทีวีบีอีกครั้ง หลังจากที่เขาได้เสียแชมป์ความนิยมทางด้านเรตติ้งละครให้กับ ‘เหลียงเฉาเหว่ย’ มานาน 

และยังทำให้นักแสดงชายที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักอย่าง เวินเจ้าหลุน โด่งดังเป็นพลุแตกทั่วเอเชียกับบทบาทตัวร้ายที่แสดงได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังส่งให้ หลิวเจียหลิง เส้าเหม่ยฉี และเธอได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงหญิงเบอร์แรกของทางค่ายทีวีบีอีกด้วยซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีกับเหล่านักแสดงหญิงแถวหน้าของทางช่องหลายคนได้ทยอยออกจากสถานีโทรทัศน์ TVB เช่น เฉิน อวี้เหลียน เติ้งชุ่ยเหวิน เจิ้ง หัวเชียน ชิเหม่ยเจิน 

หรือแม้กระทั่งหลิวเจียหลิง ที่ดังสุด ๆ กับเรื่องคู่แค้นสายโลหิตเช่นกัน ก็หันไปเอาดีทางด้านเล่นภาพยนตร์ จึงเป็นโอกาสดีที่ทั้งโจวไห่เม่ย กับเส้าเหม่ยฉี ได้ขยับขึ้นมาเป็นนักแสดงหญิงเบอร์แรกได้อย่างง่ายดายหลังจากที่ทั้งสองดาราสาวเป็นนักแสดงเบอร์รองมานานหลายปี

ถัดมาในปี  1990 - 1991 หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดกับการแสดงในละครเรื่อง คู่แค้นสายโลหิต แล้วนับตั้งแต่นั้นทางช่อง TVB ก็ได้ยื่นบทนางเอกให้กับเธอแทบทุกเรื่อง จนเธอกลายเป็นนางเอกคิวทองและมีผลงานยอดนิยมมากมาย ได้แก่ ละครสากลความยาว 30 ตอนเรื่อง เพลิงรักเพลิงแค้น (Where I Belong - 1990) โดยเธอเล่นประกบ ‘ว่านจื่อเหลียง’ และ ‘จางเจ้าฮุย’ 

ตามต่อด้วยละครยาวแนวสากลเรื่อง เลือดนักสู้ (Rain in the Heart - 1990) ที่เธอได้แสดงนำร่วมกับกัวจิ้นอันและหลินเจียหัว ซึ่งเรื่องหลังนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมากเรื่องหนึ่งของปีนั้น ว่ากันว่าเพราะมีโจวไห่เม่ยเล่นด้วย ปีนี้โจวไห่เม่ยได้มีโอกาสแสดงนำร่วมกับดารานักร้องชายชื่อดัง หลี่หมิง ในเรื่อง ย้อนรักรอยอดีต (Cherished Moments - 1990) และยังเป็นผลงานที่ทำให้ทั้งคู่พบรักกันในระหว่างการถ่ายละครเรื่องนี้

หลังจากที่โจวไห่เม่ยเพิ่งเลิกรากับหลี่เหลียงเหว่ยมาได้สักพัก จนมาถึงละครที่ทำให้ทั้งสองยิ่งดังระเบิดกับผลงานเรื่องถัดมาที่ทั้งคู่ได้แสดงร่วมกันอีกครั้งในเรื่อง เพื่อนรักเพื่อนแค้น (The Breaking Point - 1991) หลังจากละครเรื่องนี้ส่งให้หลี่หมิงได้ก้าวขึ้นเป็นพระเอกยอดนิยมแถวหน้าคนหนึ่งของทางช่องทีวีบี ผลงานอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ฤทธิ์กระบี่ฟ้าคำรณ (The Sword of Conquest - 1991)

หลังจากละครเรื่องนี้ในราวกลางปี 1991 โจวไห่เม่ยเกิดรู้สึกเบื่อกับคาแรกเตอร์หญิงสาวผู้อ่อนหวาน ซึ่งเป็นบทเดิม ๆ ที่ทางสถานีโทรทัศน์ TVB มอบให้เธอเล่น เมื่อหมดสัญญากับทางช่อง เธอจึงตัดสินใจออกจากค่ายไปเพื่อจะหันไปรับงานแสดงทางด้านอื่น ๆ ดูบ้าง เช่น งานทางด้านภาพยนตร์หรืองานละครกับค่ายอื่น ที่สามารถยื่นบทตัวละครที่แตกต่างบทตัวละครเดิม ๆ ที่เคยเล่นกับช่อง TVB เพราะเธออยากจะพัฒนาฝีมือการแสดง

ช่วงนี้เกิดกระแสข่าวว่าเธอได้รับการติดต่อทาบทามจาก ฉีเคอะ ผู้กำกับชื่อดังให้เธอเข้าร่วมแสดงนำในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่กำลังจะเปิดกล้องเรื่อง เดชคัมภีร์เทวดา 2 (Swordsman II 1992) โดยมีนักแสดงชื่อดังมากมาย ได้แก่ ‘หลี่ เหลียนเจี๋ย’ รับบท ‘เล่งฮูชง’ พระเอกของเรื่อง และสามนักแสดงสาวสวยชื่อดังที่จะได้แสดงประชันบทบาทกันในเรื่อง คือ ‘หลินชิงเสีย’ รับบท ‘ตงฟางปุ๊ป้าย’, ‘กวนจือหลิน’ รับบท ‘เยิ่นอิ๋งอิ๋ง’ และบท ‘งักเล้งซัง’ ที่ได้วางตัวให้โจวไห่เม่ยแสดง 

ซึ่งเธอเองก็ได้ตอบตกลงรับแสดงบทนี้ไปแล้ว เพราะการได้ร่วมแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นโอกาสแจ้งเกิดของเธอในวงการภาพยนตร์ แต่น่าเสียดายที่ในเวลานั้น โจวไห่เม่ยเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นมาจนได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือและเท้า เธอเลยต้องพักรักษาตัวจึงไม่ได้ร่วมงานกัน ทำให้บทบาทนี้ตกไปเป็นของดาราสาวสวย ‘หลี่ เจียซิน’ เข้ามาแสดงแทน

อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันขณะที่โจวไห่เม่ยได้พักรักษาตัวจนหายดีแล้ว เธอก็ได้รับการติดต่อให้เข้ามาร่วมแสดงภาพยนตร์ตลกฟอร์มใหญ่เรื่อง คนเล็กนักเรียนโต 3 (Fight Back to School III) ที่มี ‘โจวซิงฉือ’ แสดงนำ โดยในเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นการพลิกบทบาทการแสดงของเธอมารับบทร้ายเป็นครั้งแรก และสร้างความฮือฮาในตอนออกฉายเป็นอย่างมาก ถือเป็นโอกาสให้โจวไห่เม่ยได้มีโอกาสพัฒนาฝีมือทางการแสดง และได้เปลี่ยนแปลงคาแรกเตอร์ในผลงานเรื่องต่อ ๆ มาอย่างที่เธออยากจะให้เป็น

ในปี 1998 โจวไห่เม่ยตัดสินใจออกจาก TVB ช่วงนั้นเธอรับงานภาพยนตร์ฮ่องกง 4 เรื่องและญี่ปุ่นอีก 1 เรื่อง อีกทั้งยังกลายเป็นพรีเซนเตอร์ชาวเอเชียคนแรกให้แก่นาฬิกายี่ห้อดัง EBEL (คนที่ 2 คือ จางม่านอวี้) สื่อฮ่องกงและไต้หวันถึงขนาดยกให้เธอเป็น ‘ชารอน สโตนแห่งเอเชีย’

ความรักระหว่าง ติงลี่ (หลี่เหลียงเหว่ย) และหลี่หมิง

ย้อนกลับไปในยุคทศวรรษ 1980 เป็นที่ทราบกันดีว่าดาราสาว โจวไห่เม่ยเป็นแฟนกับดาราชายชื่อดัง หลี่เหลียงเหว่ย ตั้งแต่เธอเพิ่งเข้าวงการใหม่ ๆ ทั้งสองพบรักกันเมื่อตอนถ่ายละครด้วยกันในเรื่อง เจ้าแม่ฮ่องกง (The Upheaval - 1986) เมื่อปี พ.ศ. 2529 ว่ากันว่าตอนนั้นฝ่ายชายตกหลุมรักเธอทันทีตั้งแต่แรกเห็น และพยายามดูแลเอาใจเธอเป็นอย่างมากจนทำให้ดาราสาวโจวไห่เม่ยที่เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นานรู้สึกประทับใจและรับรักเขาทันทีเช่นกัน 

หลังจากถ่ายทำละครเรื่องนี้เสร็จ ฝ่ายชายได้เปิดตัวกับสื่อว่ากำลังคบหาดูใจกับดาราสาวดาวรุ่งคนนี้ ซึ่งเป็นที่ฮือฮาในตอนนั้นเป็นอย่างมาก และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสื่อ เพราะทั้งคู่มีอายุที่ห่างกันนับสิบปี และในช่วงแรก ๆ ที่ทั้งสองคบกันดูหวานชื่นมาก และดูเหมือนกับว่าทุกอย่างราบรื่นและกำลังไปได้ด้วยดี

จนกระทั่งในปี1988 ความรักของทั้งสองสุกงอม และในช่วงเวลานั้นฝ่ายหญิงมีชื่อเสียงมากขึ้น และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของเธอ ทั้งคู่ได้ตัดสินใจแอบไปจดทะเบียนสมรสกันแบบเงียบ ๆ ที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันเกิดของฝ่ายชายพอดี โดยที่สื่อไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

“ฉันไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักและการแต่งงานเลย พอมีชายหนุ่มอย่างหลี่เหลียงเหว่ยมาขอแต่งงาน มีหรือจะไม่ตอบตกลงไป”

หลังจากแต่งงานทั้งสองได้อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาแบบจริง ๆ จัง ๆ และแน่นอนด้วยนิสัยที่แตกต่างกันมากย่อมมีปากเสียงทะเลาะกันประจำ จนความสัมพันธ์ของทั้งคู่แย่ลง และช่วงนี้เองที่พ่อของหลี่เหลียงเหว่ยเกิดป่วยหนักขึ้นมา ฝ่ายชายต้องการให้โจวไห่เม่ยออกจากวงการบันเทิงเพื่อมาทำหน้าที่ภรรยาเต็มที่และดูแลพ่อของเขา แต่ในตอนนั้นฝ่ายหญิงโด่งดังเป็นพลุแตกกับผลงานละครเรื่อง คู่แค้นสายโลหิต (Looking Back in Anger - 1989) และอยู่ในช่วงที่ชื่อเสียงพีคสุด ๆ และก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกเบอร์หนึ่งของทางช่อง 

แน่นอนเธอไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ และกลายเป็นจุดแตกหักของทั้งสอง ประจวบกับช่วงนั้นที่ฝ่ายหญิงกำลังถ่ายทำละครร่วมกับหลี่หมิงในเรื่อง ย้อนรักรอยอดีต (Cherished Moments - 1990) อยู่พอดี การแสดงร่วมกันในครั้งนี้ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้นเวลาที่ฝ่ายหญิงมีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับความรัก เธอก็จะมักไปปรับทุกข์ให้หลี่หมิงฟังอยู่เสมอ จนต่อมามีข่าวฉาวว่าทั้งคู่ปิ๊งกันในกองถ่าย แต่ต่อมาโจวไห่เม่ยให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกสบายใจเมื่อได้คุยกับหลี่หมิง เขาเป็นผู้ชายที่สุภาพ อบอุ่น แต่เราทั้งสองอยู่ในฐานะเพื่อน

ถัดมาในช่วงปี 1990 หลังจากแต่งงานไม่ถึงปี ทั้งหลี่เหลียงเหว่ย และโจวไห่เม่ยได้ตัดสินใจแยกทาง และในวันที่ทั้งคู่ไปดำเนินการทำเรื่องหย่าร้าง ปรากฏว่ามีปาปารัสซี่สามารถถ่ายภาพของคนทั้งสองเอาไว้ได้ จนทำให้ความลับเกี่ยวกับการแต่งงานของคนทั้งคู่ที่อุตส่าห์ปกปิดถูกสื่อนำไปโยงจนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวในตอนนั้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าทั้งคู่ได้แต่งงานกันจริงหรือไม่ 

แต่ทั้งสองคนก็ออกมาปฏิเสธในตอนนั้นว่าข่าวการแต่งงานไม่ใช่ความจริง เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น แต่เราทั้งสองคนได้เลิกรากันจริงเพราะนิสัยเข้ากันไม่ได้ จนข่าวลืออื้อฉาวต่าง ๆ เงียบหายไป ท่ามกลางความฉงนของผู้คน ภายหลัง 20 ปีต่อมา โจวไห่เม่ยถึงกล้าออกมายอมรับกับสื่อเองเลยว่า ข่าวลือเมื่อ 20 ปีก่อน ที่ว่าเราทั้งสองคนได้บินไปแอบแต่งงานกันที่สหรัฐอเมริกาในตอนนั้นที่จริงแล้วไม่ใช่ข่าวลือ แต่มันเป็นเรื่องจริง

แต่ความเจ็บปวดในครั้งนั้นสร้างความเสียใจให้กับทั้งหลี่เหลียงเหว่ย และโจวไห่เม่ยมาก และช่วงเวลานั้นก็ดันมีข่าวลือไปทั่วว่า จริง ๆ แล้วที่ทั้งสองเลิกกันไม่ได้เกี่ยวกับฝ่ายหญิงเข้ากับพ่อแฟนไม่ได้ แต่เป็นเพราะมีมือที่สามเข้ามา นั่นคือหลี่หมิง เพราะทั้งโจวไห่เม่ยและหลี่หมิงเพิ่งมีข่าวว่าปิ๊งกันในตอนถ่ายละครด้วยกันในเรื่องย้อนรักรอยอดีต 

ต่อมาก็มีข่าวลือว่าในงานเฉลิมฉลองครบรอบวันเกิดของสถานีโทรทัศน์ TVB ประจำปี 1989  หลี่เหลียงเหว่ยทะเลาะถึงขั้นลงมือลงไม้กับหลี่หมิงด้านหลังเวที กลายเป็นข่าวฮือฮาในตอนนั้นมาก แต่ต่อมาทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดี เพราะที่เธอเลิกกับหลี่เหลียงเหว่ยไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลี่หมิงแต่อย่างใด

เมื่อเลิกรากับหลี่เหลียงเหว่ยแล้ว เธอได้แอบคบหาดูใจกับหลี่หมิงอย่างเงียบ ๆ ถึงแม้จะมีข่าวถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ออกมาเป็นระยะ ๆ ก็ตาม แต่คนทั้งสองก็ได้แต่ยอมรับกลาย ๆ แค่นั้น เพราะในตอนนั้นฝ่ายชายอยู่ในช่วงที่กำลังโด่งดังสุดขีด และเป็นถึงหนึ่งในสี่จตุรเทพฮ่องกง โดยเฉพาะเขาจะมีแฟนคลับเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ และทางค่ายเพลงต้นสังกัดของหลี่หมิงเองก็ไม่ต้องการให้เขาเปิดเผยความสัมพันธ์ของคนทั้งสองมากนัก เพราะกลัวเสียฐานแฟนคลับที่เป็นผู้หญิง ทำให้สร้างความอึดอัดใจไม่น้อย โดยเฉพาะกับโจวไห่เม่ย ยิ่งเวลาจะไปไหนมาไหนกันสองต่อสองก็ลำบากเพราะกลัวเป็นข่าว จนเข้าสู่ปีที่ 3 ที่ทั้งสองได้คบหาดูใจกัน ในที่สุดความสัมพันธ์รักครั้งนี้ก็มีอันต้องจบลง โดยที่คนทั้งคู่ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงสาเหตุที่เลิกกัน

หลังจากปี 2000 ด้วยสุขภาพที่อ่อนแอทำให้เธอไม่ค่อยรับงานเหมือนก่อน แต่ในยุคหลัง ๆ เธอยังคงมีผลงานละครกับทั้งทางฝั่งฮ่องกง ไต้หวันและจีน แต่ส่วนใหญ่จะเน้นรับงานแสดงละครกับทางประเทศจีนและไต้หวันเป็นหลัก และละครต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะดังเฉพาะในประเทศที่ตนเองผลิต

ผลงานในยุคหลังของเธอที่โดดเด่นและพอจะเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง ได้แก่ละครกำลังภายในรีเมคเรื่อง มังกรหยก ฉบับปี 2008 ของไต้หวัน ที่เธอได้รับบท ‘เปาเซียะเยียก’, ละครแนวราชวงศ์เรื่อง บูเช็คเทียน ฉบับไต้หวัน 2014 โดยเธอรับบทเป็น ‘หยางซูเฟย’ (พระชายาลำดับที่ 2 ในองค์จักรพรรดิ) โดยเรื่องนี้เธอได้ประชันบทบาทเข้มข้นกับดาราสาวชื่อดัง ‘ฟ่านปิงปิง’

และในปี 2019 เธอก็กลับมาเป็นที่เกรียวกราวอีกครั้งกับการสวมบทบาท ‘แม่ชีมิกจ้อ’ ในละครกำลังภายในรีเมคเรื่อง ดาบมังกรหยก และ มธุรสหวานล้ำ สลายเป็นเถ้าราวเกล็ดน้ำค้าง (Ashes of Love - 2018) โดยเฉพาะเรื่องหลังนี้เธอแสดงแบบสุดชีวิต ถึงขนาดคนดูละครมากมายอินกับการแสดงของเธอจนพาลเกลียดเธอเลยจริง ๆ จนมีข่าวว่ามีผู้ชมจำนวนหนึ่งอินกับการแสดงบทนี้ของเธอมากจนถึงขนาดล็อกอินเข้าไปต่อว่าเธออย่างรุนแรงในเว็บไซต์ที่เธอได้เปิดบัญชีไว้กับ ซินล่างเวย์ปั๋ว (Sina Weibo) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เหล่าคนดังของทางจีน ไต้หวันและฮ่องกงนิยมใช้กันมากที่สุด 

หลังจากถูกคนดูละครเข้ามาโจมตีเธอและบอกให้เธอปิดบัญชีทิ้งไปซะ ต่อมา โจวไห่เม่ยตัดสินใจทำการบล็อกการส่งข้อความเข้ามาหาเธอเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการปะทะ จากเหตุการณ์ที่เกิดในครั้งนี้ ถ้ามองในมุมมองของนักแสดงแล้วถือได้ว่าเธอพบกับความสำเร็จอย่างมากอีกครั้งจากการสวมบทบาท

การสวมบทบาทแม่ชีมิกจ้อ ในดาบมังกรหยก 2019 ทำให้เธอเป็นมิกจ้อซือไท้ ที่สวยที่สุดตลอดกาล

 เนื่องจากโจวไห่เม่ยนั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพมาโดยตลอด ทำให้มีข่าวลือเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเธอบ่อยครั้ง ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็มีผลงานแสดงต่าง ๆ ให้แฟน ๆ ได้เห็นมาโดยตลอด ปัจจุบันนอกจากงานแสดงแล้ว เธอได้เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของเธอมานาน

 *บทความนี้มีการอัพเดทเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2023 เวลา 21.49 น. 

.

ภาพ : Getty Images