‘จิม แคร์รีย์’ เคยถูกเยาะเย้ย เพราะเขียนเช็กให้ตัวเอง 10 ล้านดอลลาร์

‘จิม แคร์รีย์’ เคยถูกเยาะเย้ย เพราะเขียนเช็กให้ตัวเอง 10 ล้านดอลลาร์

‘จิม แคร์รีย์’ ดาวตลกอัจฉริยะ ที่ซ่อนเรื่องราวแสนเศร้าไว้ใต้ใบหน้าสุดทะเล้น

  • ‘จิม แคร์รีย์’ เผชิญมรสุมชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก จนต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อทำงานช่วยเหลือครอบครัว
  • หลังจากจิมย้ายมาอยู่ที่โตรอนโต เขาได้พบจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต ซึ่งปูทางให้เขากลายเป็นสุดยอดดาวตลกในเวลาต่อมา 
  • ช่วงทศวรรษ 1990 นับเป็นยุคทองของจิม แคร์รีย์ อย่างแท้จริง ด้วยผลงานที่ออกมาอย่างมากมาย การันตีถึงความสามารถในการแสดงได้เป็นอย่างดี 

หากให้พูดถึงนักแสดงตลกที่โด่งดังในยุค 90s หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘จิม แคร์รีย์’ (Jim Carrey) ติดอยู่ในโผด้วย

และแน่นอนว่า หากพูดถึงหนังที่ทำให้เขากลายเป็นที่จดจำ คงจะหนีไม่พ้น ‘The Mask’ ที่เขาได้โชว์ความสามารถในการแสดงใบหน้าได้อย่างหลากหลาย รวมถึงการแสดงท่าทางร่างกายสุดพิศดาร 

ยังไม่นับผลงานเด่น ๆ อย่าง ‘Ace Ventura: Pet Detective’ และ ‘Dumb and Dumber’ ที่ดันให้เขากลายเป็นยอดตลกดาวเด่นแห่งปี 1994 

แต่ความสามารถด้านการแสดงของเขา ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบทตลกเท่านั้น หนุ่มสุดทะเล้นคนนี้ยังสามารถตีบทแตกและถ่ายทอดอารมณ์ในบทดรามาจนเรียกน้ำตาผู้ชมทั่วโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นการสวมบทในหนัง ‘The Truman Show’ หรือ ‘Eternal Sunshine of the Spotless Mind’

แม้เบื้องหน้าของจิมจะฉาบไปด้วยความตลกเฮฮาในเวลาที่เขาอยู่ต่อหน้าผู้ชม แต่ภายใต้หน้าตาเรียกรอยยิ้มนั้น ครั้งหนึ่งเคยเปียกชุ่มด้วยหยดน้ำตาจากเรื่องราวอันน่าขมขื่นและอุปสรรคนานับประการ 

‘จิม แคร์รีย์’ ผู้เติบโตท่ามกลางมรสุมปัญหา

‘จิม ยูจีน แคร์รีย์’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘จิม แคร์รีย์’ เกิดมาในครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา พ่อของเขาเป็นนักแซ็กโซโฟนมือสมัครเล่น ที่ต้องผันตัวมาเป็นนักบัญชีเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนแม่รับจ้างทำงานบ้าน 

จิมเป็นเด็กสมาธิสั้น และด้วยความที่ไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่ เขาจึงใช้เวลาอยู่กับตัวเองเสียเป็นส่วนมาก เวลาอยู่คนเดียวเขาชอบทำหน้าทำตาหรือแสดงท่าทางแปลก ๆ ที่หน้ากระจก 

“ผมใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอยู่หน้ากระจก และผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าควรจะเข้าสังคม”

แต่การอยู่คนเดียว ไม่ค่อยออกไปเจอใคร ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียว เพราะท้ายที่สุดมันทำให้จิมค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเองนั่นคือ ‘การแสดงตลก’ 

ผู้ชมกลุ่มแรกของจิมไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นครอบครัวอันแสนอบอุ่น ที่สนับสนุนเขาด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะระหว่างการแสดง 

แต่แล้วในวัยเพียง 12 ปี พระเจ้าก็ส่งบททดสอบสุดหินมาให้กับจิม แม่ของเขาได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการเกี่ยวกับโรคประสาทจนต้องถูกส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาล ทำให้ในเวลานั้นหนุ่มน้อยต้องทุ่มเทเวลาของตัวเองไปกับการดูแลแม่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ทิ้งความสามารถในด้านการแสดงตลก ทั้งยังใช้มันเพื่อสร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้กับแม่ที่กำลังป่วย ขณะเดียวกันก็ยังได้รับมอบหมายจากครูประจำชั้นให้แสดงตลกต่อหน้าเพื่อนเป็นเวลา 15 นาที ทุกวันก่อนเลิกเรียน 

ระหว่างนั้นเขายังพยายามหารายได้ด้วยการส่งรูปถ่ายใบหน้าของตัวเองกว่า 80 รูป ไปสมัครเป็นนักแสดงในรายการตลกชื่อดัง ‘The Carroll Burnett Show’ แต่กลับต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า “ทางรายการไม่รับนักแสดงเด็ก”

ยังไม่ทันผ่านพ้นบททดสอบแรกจากสวรรค์ พระเจ้าก็ส่งอีกบททดสอบมาให้ครอบครัวของเขา เมื่อพ่อวัย 52 ปี ซึ่งเป็นดั่งเสาหลักของครอบครัว ถูกปลดออกจากงานบัญชีกะทันหัน สภาวะทางการเงินของครอบครัวยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก นอกจากความสุขและเสียงหัวเราะที่เหลืออยู่น้อยนิดจะถูกพรากไป พวกเขายังไม่เหลือแม้แต่บ้านเอาไว้ซุกหัวนอน ทั้งครอบครัวต้องย้ายไปอยู่อาศัยอยู่ในรถโฟล์คสวาเกนเก่า ๆ  

จิมในวัยเพียง 14 ปี ใช้ชีวิตอย่างมืดมนไร้ความสดใสต่างจากเพื่อนวัยเดียวกัน ตอนเช้าเขาต้องเดินไปเรียนหนังสือ พอตกเย็นต้องเดินเข้าโรงงานเพื่อไปเป็นภารโรง กระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถทำทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ จิมจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมาทำงานเป็นภารโรงเต็มตัว 

เส้นทางสู่อาชีพนักแสดงตลก 

แม้ความฝันในเส้นทางอาชีพนักแสดงตลกจะดูห่างไกล แต่ครอบครัวก็ไม่เคยลืมว่าจิมรักการแสดงตลกและมีพรสวรรค์ในด้านนี้มากเพียงใด 

เมื่อครอบครัวย้ายจากออแทรีโอไปยังโตรอนโต ผู้เป็นพ่อที่เฝ้ามองความพยายามของลูกชายมาโดยตลอด จึงได้ขอร้องให้คลับท้องถิ่นแห่งหนึ่งชื่อ ‘Yuk Yuk’s’ มอบโอกาสให้จิมได้ขึ้นแสดงตลก 

ในวันที่จิมได้แสดงที่ Yuk Yuk’s พ่อของเขาทั้งช่วยตีกลองและคอยปรบมือให้กำลังใจลูกชาย แต่มุกตลกของจิมกลับไม่เป็นที่ถูกใจของทางร้าน จนเขาถูกเชิญลงจากเวทีพร้อมเสียงโห่ไล่ของผู้ชม 

แต่แทนที่เขาจะหมดหวังในการเล่นตลก เขากลับไม่ยอมแพ้ และกลับไปฝึกฝนทักษะการแสดงของตัวเอง โดยตั้งเป้าหมายว่าจะเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูเหล่านั้นให้ได้สักวันหนึ่ง 

กระทั่งปี 1979 จิมมีโอกาสกลับไปแสดงที่คลับเดิมอีกครั้ง คืนนั้นแตกต่างจากคืนแรกอย่างสิ้นเชิง เพราะจิมได้ได้แสดงให้ผู้ชมเห็นถึงพรสวรรค์และทักษะที่ผ่านการพัฒนามาอย่างดี จนในที่สุดเขาก็สามารถเปลี่ยนเสียงโห่ไล่เมื่อครั้งก่อนเป็นเสียงปรบมือได้สำเร็จ 

จิมเริ่มเป็นที่รู้จักในละแวกนั้น มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาดูโชว์ของเขา เพราะหวังจะได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลับไป จนเขาสามารถเปิดการแสดงโดยเก็บค่าเข้าชม และเริ่มมีรายได้มากพอที่จะดูแลครอบครัว

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ในปี 1981 เขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังลอสเองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมืองที่เปรียบเป็นดั่งเมืองหลวงแห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จิมในวัย 19 ปี ได้ร่วมแสดงเดี่ยวไมโครโฟนในรายการตลกชื่อดัง ‘An Evening at the Improv’ และการแสดงอันโดดเด่นของเขาเกิดไปเข้าตานักแสดงตลกชื่อดังของฮอลลีวูด ‘รอดนี แดนเจอร์ฟิลด์’ (Rodney Dangerfield) ซึ่งได้ชักชวนให้จิมมาเปิดการแสดงที่ลาสเวกัส และแสดงตลกในคลับ ‘The Comedy Store’

ช่วงเวลานี้ จิมก็เดินสายออดิชันตามรายการและภาพยนตร์ต่าง ๆ เช่น ‘Saturday Night Live’ ช่อง NBC จากนั้นเขาก็ได้รับโอกาสจากผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ชื่อดัง ‘โจเอล ชูมัคเกอร์’ (Joel Schumacher) ให้ไปออดิชันในหนังเรื่อง ‘D.C. Cab’ ที่ถึงแม้จะไม่ผ่านการออดิชัน แต่เขาก็ได้มาแจ้งเกิดกับรายการตลกอย่าง ‘The Tonight Show Starring Johnny Carson’ ที่เน้นมุกตลกล้อเลียนหน้าตาและบุคลิกของคนดัง 

ชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นที่ปรากฏจนถึงขั้นที่นิตยสาร People ยกย่องให้เขาเป็นนักแสดงตลกดาวรุ่งที่เก่งที่สุดในอเมริกาในปี 1984 

ปีเดียวกันนี้เองจิมยังได้แสดงเป็นตัวละครประกอบในรายการโทรทัศน์หลาย ๆ เรื่อง หนึ่งในนั้นเป็นบทนำในซิตคอมเรื่อง ‘The Duck Factory’  

เขียนเช็คล่วงหน้า 10 ล้านดอลลาร์ 

ต่อมาในปี 1985 จิมตั้งเป้าหมายของตัวเองขึ้นมา ด้วยการเขียนเช็คจำนวนเงินสิบล้านดอลลาร์ พร้อมระบุว่า “นี่คือค่าตัวของเขาอีก 10 ปีข้างหน้า” จากนั้นก็เก็บเช็คใบนี้ไว้ในกระเป๋าสตางค์ของตัวเองตลอดมา 

คนที่ได้ยินเรื่องเป้าหมายเช็ค 10 ล้านของจิม ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียงมากนัก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน” หรือ “หมอนี่มันท่าจะบ้า” ไม่ก็ “พูดอะไรเพ้อเจ้อ”

ทว่าคำสบประมาทและเยาะเย้ยทำอะไรเขาไม่ได้เลย จิมเลือกที่จะปล่อยผ่านทำหูทวนลม และมุ่งมั่นในเส้นทางนักแสดงของตัวเองต่อไป เขาเดินหน้าพัฒนาตัวเอง และหาโอกาสจากการออดิชันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย กระทั่งปี 1985 เขาก็สามารถคว้าบทนำจากหนังเรื่อง ‘Once Bitten’ มาได้

แต่ถึงจะเล่นบทนำมาแล้ว ใช่ว่าจิมจะเมินบทนักแสดงสมทบ เขายังคงเล่นบทสมทบในหนังหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงเรื่อง ‘Peggy Sue Got Married’ ที่แสดงนำโดย ‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage) จนเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น ก่อนที่ในปี 1987 จิมจะแต่งงานกับนักแสดงสาว ‘เมลิสซา โวเมอร์’ (Melissa Womer) ซึ่งทำให้เขาต้องขยันทำงานมากขึ้นอีกเพื่อสร้างครอบครัวของตัวเอง 

ยุคทองของ ‘จิม แคร์รีย์’

เข้าสู่ต้นทศวรรษ 1990 ชื่อเสียงของจิมก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผลจากซิตคอมเรื่อง ‘In Living Color’ และการจัดแสดงเดี่ยวไมโครโฟนของตัวเองในชื่อ ‘Jim Carrey Unnatural Act’ เพื่ออุทิศให้กับการจากไปของผู้เป็นแม่ ที่เสียชีวิตในปี 1991 

แล้วในที่สุดช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอก็มาถึง อาจกล่าวได้ว่ามันคือช่วงเวลาที่เป็น ‘ยุคทอง’ ของ ‘จิม แคร์รีย์’ อย่างแท้จริง

ปี 1994 จิมได้รับบทนำในหนังที่มีชื่อว่า ‘Ace Ventura : Pet Detective’ ซึ่งเขารับบทเป็นนักสืบสุดยียวนกวนประสาท นับเป็นบทที่เข้ากับทักษะการแสดงของเขาเป็นอย่างดี จึงทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังอย่างรวดเร็ว พร้อมกับได้ค่าตัวก้อนโต 350,000 ดอลลาร์ ปีเดียวกันเขายังดังสุดขีดจากการรับบทนำในหนังเรื่อง ‘The Mask’ ด้วยค่าตัวที่สูงขึ้นเป็น 540,000 ดอลลาร์

ต่อมาเขาก็มีผลงานต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่อง ‘Dumb & Dumber’ ซึ่งทำให้ค่าตัวของจิมพุ่งขึ้นสูงถึง 7 ล้านดอลลาร์ 

เมื่อรวมรายได้จากผลงานทุกเรื่อง ตอนนี้รายได้ของเขามีมูลค่าเกินกว่าเช็ค 10 ล้านดอลลาร์ ที่เขาเขียนเอาไว้เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน แล้ว 

แต่ตัวเลขเท่านี้ยังไม่ทำให้เขาพอใจ เพราะในปี 1996 จิมได้รับบทนำในหนังเรี่อง ‘The Cable Guy’ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักแสดงคนแรก ๆ ของฮอลลีวูดที่มีค่าตัวสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนที่เคยดูแคลนดาวตลกม้ามืดผู้นี้ 

ถึงกระนั้น คนก็ยังดูถูกเขาไม่หยุด บ้างก็ว่าเขาไม่น่าจะอยู่ในวงการได้นาน อีกสักพักแฟนหนังก็จะลืมเขา แต่จิมก็ไม่ได้ให้ค่ากับคำพูดเหล่านั้นอีกเช่นเคย 

แม้ปี 1994 จะเป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของจิม แต่น่าเศร้าที่พ่อผู้เป็นทุกอย่างในชีวิตของเขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ 

ในวันจัดพิธีศพ จิมนำเช็คที่เขาเขียนค่าตัว 10 ล้านดอลลาร์ ใส่ไว้ในโลงศพของผู้เป็นพ่อ เพื่อให้พ่อได้เห็นว่าในที่สุดเขาก็สามารถทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ 

จิมยังคงมุ่งมั่นบนเส้นทางอาชีพนักแสดง โดยระหว่างทางยังมีคำสบประมาทลอยเข้าหูอยู่เป็นระยะ แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จทั้งรายได้และชื่อเสียง แต่ก็ยังมิวายถูกดูหมิ่นว่าเล่นแต่ ‘บทตลก’ 

ปี 1998 จิมได้ตอกหน้าคำวิจารณ์ด้วยการรับบทนำในหนังเรื่อง ‘The Truman Show’ ที่ทำให้ผู้ชมลืมไปเลยว่า เขาเคยเป็นนักแสดงตลกหน้าทะเล้น ด้วยการแสดงที่ทำให้ผู้ชมได้เห็นอีกตัวตนของเขาที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน 

หนังเรื่องนี้ จิมได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่แค่นักแสดงตลกที่ทำหน้าตาบ้า ๆ บอ ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นนักแสดงคุณภาพที่เข้าถึงบทบาทได้อย่างสมจริง โดยมีรางวัล ‘Golden Globe Award’ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เป็นเครื่องการันตี 

ความสำเร็จของ The Truman Show ต่อยอดให้จิมได้รับบทในหนังโรแมนติกเรื่อง ‘Eternal Sunshine of the Spotless Mind’ ที่เขาได้พลิกมารับบทคนซึมเศร้า 

ช่วงเวลาที่ตกปากรับคำเล่นหนังเรื่องนี้ จิมกำลังเสียใจอย่างหนัก หลังจากเลิกลากับคนรัก ผู้กำกับจึงขอให้ทนอยู่ในภาวะซึมเศร้านั้นไปจนกว่าจะถึงเวลาถ่ายทำ ซึ่งก็กินเวลาประมาณ 1 ปี 

ปรากฏว่าจิมสามารถถ่ายทอดบทบาทของ ‘โจเอล’ ชายที่พยายามลบอดีตคนรักออกไปจากความทรงจำ ได้อย่างดีไร้ที่ติ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จากบทนี้ ซึ่งทำให้เกิดการตีความว่า สุดท้ายแล้วผู้คนก็ไม่สามารถลบภาพจำของจิม แคร์รีย์ ในฐานะนักแสดงตลกออกไปได้

แม้ปัจจุบัน จิม แคร์รีย์ จะห่างหายไปจากวงการภาพยนตร์ และหันไปทำในสิ่งที่ชอบ โดยเฉพาะการวาดภาพศิลปะ เพื่อฟื้นฟูสภาวะจิตใจหลังจากที่ต้องต่อสู้กับภาวะซึมเศร้ามาเป็นเวลานาน แต่เราก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า บทบาทด้านการแสดงของเขายังคงตราตรึงผู้ชมหลากหลายกลุ่ม ทั้งที่เป็นคอหนังตลก และคอหนังดรามา 

เรื่องราวชีวิตของ ‘จิม แคร์รีย์’ เป็นบทเรียนสอนใจที่ดี หากว่าวันนี้คุณกำลังเผชิญบททดสอบที่นำพามาซึ่งความยากลำบากในชีวิต และคำดูหมิ่นที่ตามหลอกหลอนไม่หยุดไม่ว่าคุณจะทำได้ดีขึ้นเท่าไร…

แค่ทำหูทวนลม และมุ่งมั่นต่อไป 

 

เรื่อง : กรัณย์กร วุฒิชัยวงศ์ (The People Junior)
ภาพ : Getty Images

อ้างอิง

jimcarreyonline
faroutmagazine
britannica
slashfilm
theguardian
medium
WatchMojo.com