09 มี.ค. 2567 | 09:11 น.
KEY
POINTS
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานเท่าไร ประมาณปี 2004 มีสาวน้อยวัยรุ่นวัย 16 ปี ชื่อ ‘เอมิลี จีน สโตน’ (Emily Jean Stone) อยากเป็นนักแสดงฮอลลีวูดมาก ๆ เธออยากให้ชื่อเป็นที่จดจำ
แต่โชคชะตาเล่นตลก เธอไม่สามารถใช้ชื่อจริง ‘เอมิลี สโตน’ ลงทะเบียนชื่อตัวเองกับ ‘Screen Actors Guild’ เพราะมีคนใช้ชื่อนี้ไปแล้ว เธอลองใช้ชื่อ ‘ไรลีย์’ (Riley) ในช่วง 6 เดือนแรกของการเป็นนักแสดง แต่สุดท้ายเลิกใช้เพราะจำชื่อตัวเองเวลาคนเรียกในกองถ่ายไม่ได้
สุดท้ายเธอเกิดปิ๊งไอเดียที่จะใช้ชื่อ ‘เอ็มมา’ แทน ‘เอมิลี’ เพราะเพื่อน ๆ เรียกเธอว่า ‘เอ็ม’ และได้แรงบันดาลใจจาก ‘เอ็มมา บันตัน’ (Emma Bunton) หนึ่งในสมาชิกวง ‘Spice Girl’ เกิร์ลกรุ๊ประดับตำนาน และเป็นสมาชิกวงที่เธอชอบมากที่สุด ทั้งคู่มีผมสีบลอนด์เหมือนกัน และคิดว่าชื่อนี้แหละมงคลสุด ๆ น่าจะดังได้สมใจ
แต่วงการบันเทิงอะเนอะ ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น เอ็มมาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะทำให้คนจำเธอได้ว่าเธอไม่ใช่ ‘เอ็มมา วัตสัน’ (Emma Watson) สาวน้อยคนดังจากหนัง ‘Harry Potter’
ด้วยความมุ่งมั่นพยายาม ในที่สุดตอนนี้ทุกคนจดจำเธอในฐานะ ‘เอ็มมา สโตน’ (Emma Stone) นักแสดงหญิงมากฝีมือเจ้าของรางวัล ‘ออสการ์’ หนึ่งในนักแสดงสาวที่มีค่าตัวมากที่สุดในฮอลลีวูด และเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของวงการ เพราะ ‘เอ็มมา’ คนนี้มีชื่อการันตีไปแล้วว่าแสดงเรื่องไหน เรื่องนั้นทั้ง ‘ดัง’ และเป็นหนัง ‘ดี’ แน่นอน
นอกจากจะไม่ได้ชื่อจริงว่าเอ็มมาแล้ว นามสกุล ‘สโตน’ (Stone) ของครอบครัวก็ไม่ใช่ชื่อต้นฉบับจากต้นตระกูล เพราะจริง ๆ แล้วบรรพบุรุษของเธอ ‘คอนราด ออสต์เบิร์ก สเติน’ (Conrad Ostberg Sten) มาจากครอบครัวชาวสวีเดนที่เปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘สโตน’ เมื่อย้ายมาอยู่อเมริกา ครอบครัวเธอมีเชื้อสายหลากหลายชาติทั้งเยอรมัน อังกฤษ สกอตแลนด์ และไอริช ทำให้เธอมีความสวยแบบไม่อเมริกันจ๋าและมีใบหน้าที่ออกไปทางโซนยุโรปมากกว่า
สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ เอ็มมา สโตน ก็คือเสียงห้าวและแหบ ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนี้เธอเล่าว่าเป็นเพราะตอนเด็กเธอมีอาการโคลิก (Baby Colic) อาการจุกเสียดช่องท้องและร้องไห้บ่อย ๆ แม่เธอเล่าว่าเธอร้องไห้แหกปากไม่หยุดแบบนี้ตลอดระยะเวลา 6 เดือนแรกของชีวิต ทำให้เส้นเสียงของเธอมีก้อนเนื้อและหนาขึ้นในขณะที่เธอยังเป็นเด็ก เสียงก็เลยห้าวแบบนี้เรื่อยมาแบบแก้ไม่ได้ พังไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนเด็ก ๆ เธอเกลียดเสียงของเธอมากเพราะมันดูโตเกินวัย แถมยังห้าวเหมือนผู้ชาย เอ็มมาบ่นเรื่องนี้กับแม่บ่อย ๆ แม่เลยพาไปหานักบำบัดสอนการพูด สอนวิธีที่จะพูดด้วยโทนเสียงที่แหลมขึ้น เสียงเธอจึงดีขึ้นนิดหน่อย แต่ด้วยอาการเส้นเสียงบาดเจ็บตั้งแต่เด็กก็ยังมีผลเสียต่อการใช้ชีวิตจนถึงปัจจุบัน
ตอนเด็ก ๆ เอ็มมามักโดนเพื่อนแกล้งทำเสียงดังให้ตกใจจนเธอกลายเป็นคนมีอาการ ‘Panic attacks’ โรคตื่นตระหนกวิตกกังวลตลอดเวลาระดับตื่นตูมไปว่าฟ้าจะถล่มลงมาตอนอายุประมาณ 8 ปี และไม่กล้าที่จะเข้าสังคมจนเธอได้มารู้จักกับการแสดงตอนอายุ 11 ปี
เธอได้ลองแสดงละครเวทีที่โรงละครแถวบ้าน บทแรกในชีวิตที่เธอได้แสดงคือเป็น ‘ตัวนาก’ ในเรื่อง ‘The Wind in the Willows’ เธอได้เรียนรู้วิธีที่จะจัดการหายใจที่ดีขึ้น ได้เรียนการควบคุมสภาวะจิตใจตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกดีมาก ๆ และติดใจในการแสดง เธอได้รู้สึกถึงจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิต เธออยากจะทำให้ผู้คนหัวเราะ เธอได้เรียนการเป็นนักแสดงตลก ซึ่งต้องมีทั้งมุกที่แป้กและมุกที่ปัง ซึ่งมันทำให้เธอเคยชินกับความล้มเหลว รู้จักที่จะไม่กังวลกับอะไรไปล่วงหน้า
พออายุ 14 ปี เอ็มมาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าเธอจะเอาดีต่อด้านการแสดงและไม่อยากไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนแล้ว เธอจึงทำพรีเซนเทชั่นวางแผนอนาคตตัวเองด้วย PowerPoint เอาไปเสนอพ่อกับแม่ของเธอ โดยตั้งชื่อโปรเจกต์นี้ว่า ‘Project Hollywood’ แถมใส่เพลงฮิตของ ‘Madonna’ ปี 2003 ชื่อ ‘Hollywood’ เป็นเพลงประกอบ
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นเอาจริงนี้ พ่อและแม่ของเธอก็สนับสนุนเต็มที่ พาเธอไปฝึกเรียนการแสดงกับโค้ชส่วนตัว ให้เธอเรียนหนังสือแบบโฮมสคูล และในที่สุดตอนอายุ 16 ปี เธอกับแม่ก็ย้ายไปอยู่ลอสแอนเจลีส เพื่อค้นฟ้าคว้าดาวกันอย่างจริงจัง
ในช่วง 3 ปีแรกเอ็มมาบอกว่าเธอแทบจะหาบทอะไรดี ๆ แสดงไม่ได้เลย ออดิชั่นอะไรก็ไม่ผ่านโดยเฉพาะงานของ Disney Channel เธอชวดหมดทุกรายการเนื่องจาก “ไม่มีใครอยากจ้างเด็กผู้หญิงเสียงต่ำห้าวแหบแบบผู้ชาย” ที่เสียงล้ำหน้าดูโตเกินวัยไปมาก เอ็มมาเลยต้องทำงานพิเศษหาเลี้ยงตัวเองไปพลาง ๆ ด้วยการทำงานในเบเกอรีสำหรับสุนัข และอยากโตเร็ว ๆ เสียงจะได้เหมาะกับตัว
จนกระทั่งบทชะตาฟ้าลิขิตที่ทำให้เธอได้เป็นดาราก็มาถึงในปี 2007 เธอได้แสดงหนังเรื่องแรกในชีวิตในเรื่อง ‘Superbad’ ได้แสดงกับนักแสดงวัยรุ่นดาวรุ่งอย่าง ‘ไมเคิล เซร่า’ (Michael Cera ) และ ‘โจนาห์ ฮิลล์’ (Jonah Hill) ซึ่งหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทางรายได้อย่างดีและทำให้เธอได้รับรางวัล ‘Young Hollywood Award’ สาขา ‘Exciting New Face’
อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้เอ็มมาจะก้าวข้ามปัญหาเรื่องเสียงห้าว และ Panic attacks มาได้แล้ว แต่อาการเหล่านี้ก็ไม่ได้จะหายไปถาวร โดยเรื่องเสียงเธอเผยว่าทุกวันนี้หากเธอใช้เสียงเยอะ เช่นฉากกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำอีก มันจะทำให้เธอไม่มีเสียงพูดไปเลยประมาณหนึ่งสัปดาห์ เธอจึงต้องคอยระมัดระวังและถนอมการใช้เสียงเสมอ ส่วนเรื่องอาการตื่นตระหนกเธอกลับมาเป็นอีกครั้งตอนแสดง ‘The Amazing Spider-Man’ (2012) เพราะเป็นหนังที่มีแฟน ๆ เฝ้ารอเยอะมากความกดดันสูง แต่เธอก็ผ่านช่วงเวลานั้นไปด้วยการอบขนมอย่างต่อเนื่อง มันทำให้ใจไม่ว่างฟุ้งซ่าน และกังวลว่าสิ่งที่ทุ่มเทให้ไปจะไม่ออกมาแบบที่คิด
แม้จะไม่ได้เกิดมาเป็นสายมูเตลูเชื่อในสีมงคล แต่เอ็มมาก็ยอมรับว่าการทำผมสีแดงนี้มันทำให้แจ้งเกิดในฮอลลีวูดได้อย่างไม่น่าเชื่อ กลายเป็นเหมือนสีผมประจำตัวไปเลยจนคนเข้าใจผิดไปแล้วว่าเธอผมแดงธรรมชาติ และสาเหตุที่ทำให้ได้ทำผมแดงครั้งแรกในเรื่อง Superbad เป็นเพราะเหตุผลง่าย ๆ ‘จัดด์ อะพาโทว’ (Judd Apatow) นักแสดงตลกมากความสามารถซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ของเรื่องนี้ขอให้เธอลองย้อมผม เพราะไม่อยากให้ตัวละครหญิงในเรื่องผมสีเหมือนกัน กลัวคนดูจะจำไม่ได้
ปรากฏว่าผมแดงเข้ากับเอ็มมาแบบสุด ๆ เพราะช่างทำผมเลือกสีที่ดูคล้ายกับผมของคุณแม่ของเอ็มมา ซึ่งเป็นสาวผมแดงของแท้ ผมสีนี้จึงออกมาธรรมชาติเนียนตา และเธอก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในผมแดงมาตลอด พอแสดงหนังเรื่องอื่นที่ทำให้เธอต้องเปลี่ยนสีผมเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นสีทอง สีน้ำตาล หรือสีดำ เธอก็มักจะย้อมกลับเป็นสีแดง สีนำโชคของเธอเสมอ
เห็นได้จากหนังที่เอ็มมาทำผมเป็นสีแดงมักจะดังเปรี้ยงทุกเรื่องนับตั้งแต่ ‘Easy A’ อีนี่....แร๊งงงส์ (2010) ซึ่งเป็นการรับบทบาทตัวนำเรื่องแรกของเธอกับบท ‘โอลีฟ’ เด็กสาวที่ไม่ปล่อยให้ข่าวลือสุดฉาวมาทำลายชีวิต แต่กลับใช้ประโยชน์สร้างรายได้สร้างตัวตนจากเรื่องที่คนอื่นเมาท์กันซะเลย
หนังเรื่องนี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ‘BAFTA Rising Star Award’ และรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกในชีวิต ตามด้วยหนังโรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง ‘Crazy, Stupid, Love’ (2011) ซึ่งทำให้เธอได้เจอกับนักแสดงคู่บุญ ‘ไรอัน กอสลิง’ (Ryan Gosling) ต่อด้วย ‘The Help’ (2011) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วงการหนังน้ำดีหวังรางวัล
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเอ็มมาก็ไม่ได้ยึดติดกับผมสีแดงอีกต่อไปแล้ว เพราะเธอได้มุ่งสู่สายนักแสดงคุณภาพที่ไม่ต้องถือเคล็ด วัดกันที่ฝีมือล้วน ๆ ผลงานที่ทำให้เธอรู้จักในวงกว้างสำหรับผู้ชมทั่วไปเรื่องหนึ่งคือการรับบทเป็น ‘เกว็น สเตซีย์’ (Gwen Stacy) คนรักของไอ้แมงมุม ‘ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์’ ใน ‘The Amazing Spider-Man’ (2012) แม้ว่าเธอจะไม่เคยอ่านคอมิคเรื่องนี้มาก่อน และความรู้เกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่เป็นศูนย์ แต่เธอก็พยายามอย่างหนัก ทำการบ้านเพื่อมารับบท และทำได้อย่างดีเยี่ยม เคมีที่เข้ากันของเธอกับ ‘แอนดรูว์ การ์ฟิลด์’ (Andrew Garfield) ทำให้หนังได้รับความนิยมมาก รวมถึงทั้งคู่ก็ได้คบหากันจริง ๆ นอกจอเป็นอีกหนึ่งคู่รักที่แฟน ๆ ชื่นชอบมาก แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะเลิกรากันไป แต่ว่าทั้งสองก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา
การเป็นเพื่อนเป็นคนดังเป็นเรื่องที่ดี แต่เพื่อนที่ช่วยเหลือกันจนเติบโตและสนับสนุนให้อีกฝ่ายมีชื่อเสียงไปในแนวทางของตัวเอง แถมยังรักกันเหมือนวันแรกเจอมีไม่มาก แต่คู่ของ ‘เอ็มมา สโตน’ และ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ นักร้องสาวระดับโลกเป็นหนึ่งในนั้น
ทั้งสองเจอกันครั้งแรกเมื่อปี 2008 ในงาน ‘Young Hollywood Awards’ ของนิตยสาร ‘Hollywood Life’ ซึ่งทั้งคู่ได้เข้าชิงรางวัลในปีนี้ สองสาวที่เพิ่งจะอายุ 17 - 18 ปี ใส่ชุดสีม่วงมางานเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย เลยโดนตากล้องเรียกให้มาถ่ายภาพคู่ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ได้คุยกัน
เอ็มมาเล่าเรื่องนี้ให้สื่อ Vanity Fair ฟังแบบติดตลกหลังจากไปดูคอนเสิร์ต ‘Taylor Swift: The Eras Tour’ ปี 2023 ว่า “การได้เป็นเพื่อนกับเทย์ตั้งแต่ตอนเด็กมันเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ เพราะฉันรู้ว่าต่อจากนั้นตั๋วชมคอนเสิร์ตของเธอคงจะได้มายากมาก ๆ”
แต่เอ็มมาไม่ได้คบกับเทย์เพราะหวังตั๋วคอนเสิร์ตฟรี นับจากเจอกันวันแรกเธอกลับบ้านไปฟังเพลงอย่างตั้งใจและส่งอีเมลไปชมเทย์เลอร์อย่างจริงใจว่าชอบเพลงมาก ๆ ทำให้ทั้งสองติดต่อกันเรื่อยมา และเทย์เลอร์ก็ได้มาเชียร์เอ็มมาในงานเปิดตัวหนัง Easy A เมื่อปี 2010
การที่มีนักร้องขวัญใจวัยรุ่นมางานในวันนั้นทำให้เอ็มมาได้พื้นที่สื่อไปตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย ซึ่งการสนับสนุนงานเพื่อนแบบนี้เทย์ไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียวจบ เธอพยายามหาเวลาไปงานพรีเมียร์หนังของเอ็มมาแทบทุกเรื่องจนถึงปัจจุบันเรื่องล่าสุดอย่าง ‘Poor Things’
ทางด้านเทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็เคยให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นเพื่อนซี้กับเอ็มมาว่า เธอเป็นหนึ่งในเพื่อนสาวไม่กี่คนที่เธอไว้ใจมาก ๆ และเล่าให้ฟังแทบทุกเรื่องในชีวิต เอ็มมาเป็นคนที่เธอไว้ใจให้ฟังเพลงอัลบั้ม ‘Speak Now’ ก่อนใคร ๆ ในปี 2011 ซึ่งเอ็มมาดีใจมาก ๆ จนเอาไปเล่าขิงให้ทุกคนฟัง
นอกจากจะเป็นคนแรกที่ได้ฟังเพลงก่อน เทย์เลอร์ยังได้แต่งเพลงหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘When Emma Falls in Love’ ซึ่งเพลงนี้เพิ่งจะปล่อยออกมาเมื่อปี 2023 กับในอัลบั้ม ‘Speak Now (Taylor’s Version)’ จากชื่อเพลงทำให้แฟน ๆ เดากันว่าเพลงนี้เทย์เลอร์น่าจะแต่งให้เอ็มมา สโตน อย่างไรก็ตาม แม้เทย์เลอร์จะไม่ได้คอนเฟิร์มเรื่องนี้ แต่เธอก็ยอมรับว่าแต่งให้เพื่อนสนิทคนหนึ่ง แฟน ๆ จึงคาดเดาต่อว่าเนื้อหาในเพลงนั้นน่าจะได้แรงบันดาลใจจากความรักของเอ็มมา กับ ‘คีแรน คัลกิ้น’ (Kieran Culkin) ซึ่งเคยออกเดตกันในปี 2010 ถึงปี 2011 ซึ่งการที่เทย์และเอ็มมารู้เรื่องราวกันและกันตลอด จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นที่มาของเพลงนี้ได้
แม้หน้าตาจะไม่ได้คล้าย ไม่มีอะไรเหมือน แต่เอ็มมา สโตน ก็เคยถูกคนจำสับสนกับเอ็มมา วัตสัน ซึ่งเรื่องนี้มาจากวิดีโอคลิปปี 2018 ของ ‘Billy on the Street’ ของพิธีกร ‘บิลลี่ ไอชเนอร์’ ( Billy Eichner) ซึ่งพาเอ็มมาไปเดินท้องถนนนิวยอร์กแล้วถามคนที่เดินข้างทางว่ารู้จักเธอไหม ซึ่งก็เกิดเรื่องฮาขึ้นจนได้เมื่อคนที่ตอบกลับบอกว่าผลงานที่ชอบมากที่สุดของเอ็มมา สโตน คือ Harry Potter เรื่องนี้เลยถูกเอามาล้อเลียนอย่างสนุกสนาน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสองสาวจะไม่เคยทำงานด้วยกันแต่เส้นทางของทั้งคู่ก็เคยเฉียด ๆ กันอยู่บ้าง เพราะเอ็มมา วัตสันเคยได้รับเสนอบท ‘มีอา’ ในเรื่อง ‘La La Land’ (2016) ก่อนเอ็มมา สโตน แต่เธอปฏิเสธไปเพราะรับงานเรื่อง ‘Beauty And The Beast’ (2017) เอาไว้แล้ว แต่หลังจากนั้น เอ็มมา สโตน ก็ปฏิเสธงานเรื่อง ‘Little Women’ (2019) ซึ่งต่อมา เอ็มมา วัตสันก็ได้รับงานนี้ไปแทน
เอ็มมา สโตน ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกปี 2015 จาก ‘Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance)’ (2014) แม้ว่าเรื่องนี้เธอจะแสดงได้ดีเป็นที่น่าจดจำ แต่เธอก็โดนค่อนขอดไม่น้อยว่า จริง ๆ แล้วการแสดงก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากมาทำตาโต ๆ พูดบทโมโนล็อกคำคมเท่านั้น แต่เอ็มมาก็ไม่ปล่อยให้คำครหานี้อยู่นาน เธอได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 2017 จาก La La Land หนังซึ่งเธอทุ่มเทสุดชีวิตทั้งร้องทั้งเต้น ทำการบ้านอย่างหนักในการดีไซน์ตัวละครมีอา โดยอิงจากประสบการณ์ตรงของเธอเองในช่วงแรกของการพยายามหางานทำในฐานะนักแสดง ความลำบากนี้เธอรู้ดีกว่าใคร จึงแสดงออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ
จนกระทั่งวันที่เอ็มมาได้รับรางวัลออสการ์ มีหลายคนที่ซึ้งอินยิ่งไปกว่าเดิม เมื่อแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ อดีตคนรักของเธอที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีเดียวกันจากหนัง ‘Hacksaw Ridge’ (2016) ได้นั่งน้ำตาซึมแสดงความยินดีกับเธอจากใจจริง จนเกิดกระแสว่านี่แหละ La La Land ของแท้ และทั้งสองยังคงสนับสนุนผลงานของกันและกันเสมอมา ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม
เอ็มมากลับมาลุ้นรางวัลออสการ์อีกครั้งกับ Poor Things (2023) ผลงานการทำงานครั้งที่สองกับผู้กำกับ ‘ยอร์กอส ลานธิมอส’ (Yorgos Lanthimos) หลังจากทำงานร่วมกันมาแล้วใน ‘The Favourite’ (2018) ซึ่งเรื่องนี้ก็ส่งให้เอ็มมาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่สามในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ใน Poor Things มีบทบาทมากกว่าการเป็นนักแสดงนำ เพราะเธอยังเป็นโปรดิวเซอร์อีกด้วย ทำให้เธอได้ชิงออสการ์ถึง 2 สาขา ทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ด้วยวัย 35 ปี ซึ่งปัจจุบันเธอเป็นคุณแม่แล้ว ทำให้เอ็มมาตัดสินใจยกระดับการแสดงไปอีกขั้น เธอแสดงฉากนู้ด และฉากเซ็กซ์ซีนด้วยตัวเอง แบบที่ใครก็คิดไม่ถึง
แม้ว่าจะมีกระแสติว่า เรื่องนี้นำเสนอฉากเซ็กซ์เยอะเกินไปไหม จำเป็นไหมที่เอ็มมาจะต้องเข้าฉากเปลือยเยอะขนาดนั้น แต่เอ็มมาได้เผยว่า สิ่งที่ปรากฏในหนังคือ ‘การตื่นรู้ทางเพศ’ (sexual awakening) เธอได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ Radio 4’s Front Row ว่า การนำเสนอเซ็กซ์กับตัวละคร ‘เบลลา’ มันเป็นการนำเสนอส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตมนุษย์
“เซ็กซ์เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประสบการณ์และการเติบโตของเธอ ฉันคิดว่าสำหรับในชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน แต่ฉันมองมันว่ามันก็แค่เป็นหนึ่งแง่มุมจากอีกหลาย ๆ ด้านเท่านั้น เธอได้ค้นพบอาหาร, ปรัชญา, การเดินทาง และการเต้น เซ็กซ์ก็เป็นแค่หนึ่งในมุมเหล่านั้น เบลลาเป็นอิสระอย่างแท้จริงโดยปราศจากความละอายต่อรูปร่างของเธอ”
เอ็มมาอธิบายอีกว่าเป็นเพราะตัวละครเบลลานั้นไม่ได้เรียนรู้มาก่อนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องอายหรือว่าปกปิด “การที่จะตัดกล้องไปเพื่อที่ว่า โอเค เราจะตัดภาพออกมาแค่นี้ก็เพราะว่าสังคมของเรามันดำเนินมาแบบนี้ ฉันรู้สึกว่ามันจะขาดความซื่อตรงต่อตัวละครเบลลา ฉันไม่ใช่คนที่อยากจะแก้ผ้าตลอดเวลาหรอกนะ แต่ฉันเป็นคนประเภทที่อยากจะให้เกียรติกับตัวละครอย่างเต็มที่ที่ฉันจะทำได้ มันคือส่วนหนึ่งของการเดินทางของเธอ”
แต่ถึงอย่างไร เอ็มมาบอกว่าการที่ต้องโป๊เปลือยต่อหน้ากล้องไม่ใช่สิ่งที่ท้าทายที่สุดของหนังเรื่องนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่เธอคิดว่ายากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบวิธีการเดิน การพูด การเคลื่อนไหว การเต้นที่ต้องใช้เวลาถ่ายทำนานถึง 12 ชั่วโมง ที่นักออกแบบท่าเต้น ‘คอนสแตนซา มาครัส’ (Constanza Macras) ได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากตำนานพื้นบ้านของโปรตุเกส
ฉากนี้ถ่ายทำกันมากกว่า 60 คัต แต่ปรากฏบนจอไม่ถึง 2 นาที และยังมีพฤติกรรมการกินของเบลล่าที่ต้องกินอาหารอย่างมูมมาม เบื้องหลังฉากที่เธอต้องกินทาร์ตโปรตุเกส เธอกินไปกว่า 60 ชิ้นจนอยากจะอ้วกออกมา และสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการแสดงอารมณ์ความรู้สึกพังทลายเมื่อได้เห็นสัจธรรมของชีวิต ได้เห็นคนอดอยากตายต่อหน้าโดยที่เธอทำอะไรไม่ได้เลย
ไม่ว่าผลรางวัลออสการ์ที่จะประกาศในวันที่ 10 มีนาคมนี้จะเป็นอย่างไร บทเบลล่าจะทำให้เอ็มมา คว้า ‘มง’ ออสการ์อีกครั้งหรือไม่ เอ็มมา สโตนก็มีงานทำกับ ยอร์กอส ลานธิมอส ถึง 2 เรื่องได้แก่ ‘Kinds of Kindness’ และที่ประกาศล่าสุดกับ ‘Save the Green Planet!’ ซึ่งรีเมคจากภาพยนตร์เกาหลีปี 2003 ซึ่งมีทั้งความตลกร้าย มีความไซไฟ แปลก ๆ เหมาะกับการลองของใหม่ของทั้งสองคน เรื่องราวว่าด้วยชายหนุ่มคนหนึ่งที่ลักพาตัวนักธุรกิจมากักขังไว้ เพราะเชื่อสุดใจว่าเป็นเอเลี่ยนปลอมตัวมา
เรื่อง : เพจผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง :
How Emma Stone and Mark Ruffalo’s Delightfully Weird Dance in Poor Things Came Together
How ‘Poor Things’ Cinematographer Filmed Emma Stone’s Viral Dance Scene
The 'Poor Things' choreographer breaks down that mesmerizing dance scene, which took over 12 hours to shoot
Emma Stone: Sex scenes in Poor Things are 'honest'