‘จอช โอ’คอนเนอร์’ และ ‘ไมค์ ไฟสต์’ สองหนุ่ม ‘หูใหญ่’ ผู้ท้าชิงหัวใจใน ‘Challengers’

‘จอช โอ’คอนเนอร์’ และ ‘ไมค์ ไฟสต์’ สองหนุ่ม ‘หูใหญ่’ ผู้ท้าชิงหัวใจใน ‘Challengers’

สองหนุ่ม ‘หูใหญ่’ ได้แก่ ‘จอช โอ’คอนเนอร์’ และ ‘ไมค์ ไฟสต์’ ที่ต้องหมางใจกันเพราะผู้หญิงในภาพยนตร์ ‘Challengers’

KEY

POINTS

  • การพบกันระหว่าง ‘จอช โอ’คอนเนอร์’ นักแสดงหนุ่มอังกฤษสุดฮอต หัวใจศิลปิน กับ ‘ไมค์ ไฟสต์’ นักแสดงหนุ่มโอไฮโอ สายเลือดการละคร 
  • ‘Challengers’ ภาพยนตร์ที่ทำให้เกิดเทรนด์ ‘หลงรักผู้ชายหูกาง’ 
  • ฉาก ‘ชูโรสพิศวาส’ ที่กลายเป็นฉากไวรัลของหนัง เป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่หลายคนดูแล้วทั้ง ‘จิ้น’ ทั้ง ‘ฟิน
     

‘Challengers’ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับ ‘ลูกา กัวดาญิโน’ นำเสนอเรื่องราวสุดเซ็กซี่ในแบบฉบับเราสองสามคน แซ่บซี้ดสุดปังจนได้ขึ้นอันดับ 1 Box Office อเมริกา และใช้เวลาเพียง 5 วันก็กวาดเงินไป 19 ล้านดอลลาร์ เอาชนะผลงาน ‘Call Me By Your Name’ (2017) ที่ทำรายได้ในอเมริกาไป 18 ล้านดอลลาร์ ไปแล้วเรียบร้อย 

Challengers ถูกหลายสื่อยกให้เป็นหนังสุดเซ็กซี่ ที่ Gen Z จะต้องคลั่งไคล้ เพราะนอกจากเนื้อหาจะจี๊ดจ๊าดโดนใจวัยรุ่นแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่บทโศกสไตล์รักสามเส้าทั่ว ๆ ไป เพราะเนื้อหามาพร้อมกับการแข่งขันเทนนิสอันแสนดุเดือด เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่ขับเคี่ยวกันระหว่างตัวละครทั้งสามที่มีการเดิมพันกันด้วยความรัก ความใคร่ และจุดมุ่งหมายสุดยิ่งใหญ่ของชีวิต 

หนังเรื่องนี้ยังได้ ‘สยมภู มุกดีพร้อม’ ผู้กำกับภาพชาวไทยที่ผลงานยอดเยี่ยมในระดับอินเตอร์ ซึ่งเขาถือว่าเป็นผู้กำกับภาพคู่บุญกับกัวดาญิโน เพราะร่วมงานกันมาแล้วหลายครั้ง ทั้ง Antonia (2015), Call Me By Your Name (2017), Suspiria (2018)  

หนังเรื่องนี้นำแสดงโดย ‘เซนเดย์อา’ ที่นอกจากแสดงเป็น ‘ทาชิ ดันแคน’ นักเทนนิสสาวดาวรุ่งที่ชีวิตพลิกผันหลังจากได้รับบาดเจ็บระหว่างแข่งแล้ว เธอยังเป็นโปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แถมยังมีสองหนุ่มหล่อสองสไตล์ ‘จอช โอ’คอนเนอร์’ จากซีรีส์ ‘The Crown’ และ ‘ไมค์ ไฟสต์’ จาก ‘West Side Story’ ซึ่งเรียกได้ว่าบทบาทโดดเด่นตีคู่กันมาแบบกินกันไม่ลง สมกับรับบทนักเทนนิสคู่หูที่เกิดเรื่องหมางใจจากการหลงรักผู้หญิงคนเดียวกันที่ทำให้พวกเขาต้องแยกจากกัน

‘จอช โอ’คอนเนอร์ หนุ่มอังกฤษสุดฮอต หัวใจศิลปิน

จอช โอ’คอนเนอร์ รับบทเป็น ‘แพทริค ซไวก์’ นักเทนนิสมากพรสวรรค์ แต่ด้วยอีโก้และความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสูง ทำให้เขาเป็นคนที่เหมือน ‘เล่นไปเรื่อย’ และปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม แม้ว่าแท้จริงแล้วเขาก็มีสิ่งที่่เขา ‘ต้องการ’ และ ‘ขาดไปไม่ได้’ ที่เขาอยากจะได้คืนกลับมา 

หลายคนอาจจะรู้จักเขาจากการรับบทเป็น ‘ชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์’ ในซีรีส์ The Crown ที่ส่งให้เขาได้รับรางวัล ‘Primetime Emmy Award’ และ ‘Golden Globe Award’ แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสร้างปรากฏการณ์มาแล้วในหนังอินดี้ชั้นดีอย่าง ‘God’s Own Country’ (2017) ที่ทำให้เขาได้รางวัล ‘British Independent Film Award’

จอช โอ’คอนเนอร์ เติบโตมาจากครอบครัวศิลปิน คุณตาของเขาเป็นประติมากร และคุณยายของเขาก็เป็นช่างเซรามิก ตัวเขาเองก็มีหัวทางศิลปะ เขามักจะใช้เวลาว่างในการถ่ายภาพและทำ scrap book เพื่อบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งการทำงานในหนังแต่ละเรื่อง และไอเดียที่สร้างแรงบันดาลใจลงใน scrap book ของเขา

จอชพูดถึงการรับบทเป็นแพทริคว่า “มันเป็นเรื่องดีที่ได้รับบทเป็นใครสักคนที่มีพลังงานเปิดเผยแบบของแท้ ผมจำได้ตอนที่ผมอ่านบทนี้ ผมคิดว่าหมอนี่มันเป็นคนแบบเก๋าสุด ๆ แบบพี่น้องกัลลาเกอร์ แต่ก็จำได้ว่ามันจะต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งผมเชื่อว่าเขาจำเป็นจะต้องยิ้ม ดังนั้นผมเลยจะยิ้มนิด ๆ ทุกครั้งเวลาที่เขาโกรธ”  

การแสดงของ จอช โอ’คอนเนอร์ ทำให้กัวดาญิโน ประทับใจมาก “นักแสดงที่ยอดเยี่ยมทุกคนทำหน้าที่ได้อย่างดีในวันที่ถ่ายทำ แต่มีเพียงนักแสดงที่เจนจัดเท่านั้นที่จะทำให้คุณค้นพบรายละเอียดต่าง ๆ และความละเอียดอ่อนในการแสดงออกทางร่างกายของเขา เมื่อคุณได้มานั่งอยู่ในห้องตัดต่อและได้ดูสิ่งที่ถ่ายทำมาแล้ว”  

‘ไมค์ ไฟสต์’ หนุ่มโอไฮโอ สายเลือดการละคร 

ไมค์ ไฟสต์ รับบทเป็น ‘อาร์ต โดนัลสัน’ นักเทนนิสคู่ซี้ของแพทริค พวกเขาเล่นเทนนิสคู่กันมาตลอด และเป็นดาวรุ่งฝั่งนักเทนนิสชาย เขาตกหลุมรักทาชิในความสามารถและเสน่ห์อันร้อนแรงของเธอ และคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอในช่วงเวลาที่เธอต้องการมากที่สุด ทาชิพาเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพ แต่ไฟในตัวเขากลับค่อย ๆ มอดลง   

ไมค์ ไฟสต์ เป็นหนุ่มสายการละครของแท้ เขาหลงใหลการเต้นตั้งแต่ยังเด็กหลังจากได้ดูผลงานของ ‘จีน เคลลี’ และ ‘เฟรด เอสแตร์’ โดยเฉพาะผลงานของเคลลี ในเรื่อง ‘Singin’ in the Rain’ (1952) และเขาจริงจังกับการเต้นถึงขั้นให้พ่อแม่พาไปเรียนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และจริงจังถึงขั้นได้ไปเข้าเรียนที่ American Musical and Dramatic Academy และเริ่มต้นอาชีพทางด้านละครเวทีมาตั้งแต่ปี 2011 เขาได้แสดงหนังอินดี้มากมาย รวมถึงละครเวที และเป็นที่รู้จักจากการแสดงละครเวทีมิวสิคัลเรื่อง ‘Dear Evan Hansen’ (2015 - 2018) ในบท ‘คอนเนอร์ เมอร์ฟี’ ที่ทำให้เขาได้ชิงรางวัล ‘Tony Award’ และได้รางวัล ‘Grammy Award’ สาขา ‘Best Musical Theater Album’ นอกจากนี้เขายังมีผลงานเด่นในการแสดงละครเวที ‘Brokeback Mountain’ คู่กับ ‘ลูคัส เฮดเจส’

แต่สำหรับวงการภาพยนตร์แล้ว เรื่อง ‘West Side Story’ (2021) คือเรื่องที่ทำให้เขาเป็นที่จับตาจากคนในวงการ และได้มารับบทใน Challengers 

ไมค์ ไฟสต์ เผยว่าเหตุผลที่เขาเลือกมารับบทนี้เพราะความจริงแล้วเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังถามตัวเองอยู่ว่ายังสนุกกับการแสดงอยู่ไหม ซึ่งตรงกับตัวละครในเรื่องพอดี 

“สำหรับเราทุกคนที่เติบโตมารักในการแสดง อย่างผมก็เล่นละครเยาวชนมาตลอด แต่พอมาเล่นละครเพื่อเป็นอาชีพมันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างกันไปเลย แล้วมันก็ทำให้กลับมานั่งคิดว่า นี่เราสนุกกับมันเท่ากับที่เคยเป็นหรือเปล่า ทำไมเรายังแสดงอยู่ แล้วมันก็เกิดคำถามขึ้นในใจให้คิดอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แล้วทั้งสามตัวละครในเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้น เขาพยายามที่จะกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เขายังสนุกกับสิ่งที่เป็นแรงผลักดันในชีวิตของพวกเขา และความรัก”

ลูกา กัวดาญิโน พูดถึงเหตุผลที่เลือกไมค์ ไฟสต์มารับบทอาร์ต ว่า “ผมค้นพบไมค์ ไฟสต์จากการดู West Side Story ของ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ แล้วผมรักการแสดงของเขาในเรื่องนั้นมาก ผมหมายถึงผมชอบมาก แบบมากจริง ๆ ผมเห็นว่าเขาเป็นศิลปินตัวจริง เขาทั้งร้องเพลงได้ เต้นได้ แสดงได้ เขาสุดยอดในทั้งสามด้าน สำหรับผมแล้วผมไม่ต้องลังเลเลย ผมคิดทันทีว่า นี่มันอาร์ตของเรา มีบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เราอาจทำให้สมบูรณ์แบบได้ด้วยการแสดงออกถึงความเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริงที่เราจะต้องทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวละครอาร์ต เขาเป็นแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังเผชิญกับความบีบคั้นและความถดถอย ไมค์เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากจนผมรู้ว่าเขาจะนำเสนอความขัดแย้งเหล่านั้นออกมาได้” 

แปลงร่างจากเด็กหนุ่มวัยรุ่นสู่ชายมากเสน่ห์ 

หนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมได้เห็นการเติบโตของตัวละคร 3 คนทั้ง ทาชิ, แพทริค และ อาร์ต ทั้ง 3 คนล้วนแต่มีความเชื่อมโยงถึงกันและกัน ทั้ง เซนเดย์อา, จอช และไมค์ ต่างต้องใช้เวลาเตรียมการแสดงด้วยการฝึกเทนนิสอย่างหนัก 3 เดือนก่อนจะถ่ายทำ โดยได้ ‘แบรด กิลเบิร์ต’ โค้ชมืออาชีพที่เป็นโค้ชให้กับอังเดร อากัสซี, แอนดี เมอร์เรย์ และโคโค กอฟฟ์ มาสอนให้พวกเขา ไมค์เคยเล่นเทนนิสตอนช่วงไฮสคูล แต่เซนเดย์อากับจอชไม่เคยเล่นเลย 

แบรด กิลเบิร์ตเผยว่า “ถึงจะมีเวลาเพียงแค่ 3 เดือน ไม่อาจจะทำให้พวกเขาที่มือใหม่หัดเล่นเป็นนักเทนนิสมือโปรได้ แต่มันเป็นการพยายามทำให้ดีที่สุดในระยะเวลาอันสั้นเพื่อให้การแข่งขันของพวกเขาดูน่าเชื่อถือในส่วนนั้น ๆ”  

แต่พวกเขาก็ฝึกกันโหดมาก เซนเดย์อามาฝึกก่อนหนุ่ม ๆ โดยแบรด กิลเบิร์ต ฝึกให้กับเธอเป็นเวลา 6 สัปดาห์ก่อนที่จะฝึกกันทั้ง 3 คนเป็นเวลา 3 เดือนในบอสตัน 3 นักแสดงต้องใช้เวลาฝึกเทนนิสวันละ 2 - 3 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ จากนั้นก็ต้องต่อด้วยการเข้ายิมวันละ 2 ชั่วโมง หลังจากที่พวกเขาฝึกเทนนิสและหลังจากซ้อมการแสดงเสร็จแล้ว 

คนเดียวที่ไม่ได้ระบุไว้ในบทถึงสไตล์การเล่นเทนนิสก็คือบทของเซนเดย์อา โดยระบุไว้เพียงว่าเธอเป็นนักเทนนิสเยาวชนที่เก่งกาจระดับท็อปของโลก ซึ่งเซนเดย์อาตีความบทของเธอเองและได้แรงบันดาลใจสไตล์การตีเทนนิสจากวีนัสและเซเรนา วิลเลียมส์ ส่วนบทของไมค์ เป็นสไตล์การเล่นแบบคลาสสิก ใช้มือเดียวในการตีลูก สไตล์คล้ายคลึงกับ ‘โรเจอร์ เฟเดอเรอร์’ หรือ ‘พีท แซมพราส’ ส่วนสไตล์ตัวละครของจอช เป็นการเล่นที่มีสีสันฉูดฉาด

และทั้งสองหนุ่มจอชและไมค์ยังต้องอัปหุ่นเพิ่มกล้ามให้เติบโตตามตัวละครที่ในเนื้อเรื่องอายุมากขึ้นด้วย จากทั้งสองหนุ่มที่มีรูปร่างผอมเพรียว โดยเฉพาะไมค์ ที่ต้องเพิ่มน้ำหนักราว ๆ 30 ปอนด์ เพราะเขาเพิ่งจะมาจากบทใน West Side Story ที่ผอมมาก ทำให้เขาต้องกินอาหารให้ได้วันละ 8,000 ถึง 10,000 แคลอรี ส่วนจอชเองก็ต้องเพิ่มน้ำหนักเช่นกัน โดยเพิ่มประมาณ 10 ปอนด์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างชื่นชมซึ่งกันและกันในความพยายามเพื่อบทบาทนี้ 

‘ชูโรสพิศวาส’ 

ฉากหนึ่งที่กลายเป็นฉากไวรัลของหนังคือฉากการกินชูโรสของแพทริคกับอาร์ต ที่เป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เป็นฉากที่หลายคนดูแล้วทั้ง ‘จิ้น’ ทั้ง ‘ฟิน’ และถ้าดูรายละเอียดการแสดงของทั้งสองคนในฉากนี้จัดได้ว่าเป็นคำบอกใบ้ถึงเนื้อหาของทั้งเรื่อง Challengers เพราะเป็นฉากของคู่หูที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีมือที่สามเข้ามาข้องเกี่ยว พวกเขามีการแข่งขันกันในเกมชิงหัวใจ ทาชิ ดันแคน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะหึงหวงและห่วงใยอีกฝ่ายด้วย และพวกเขาเอง ‘รู้ตัว’ ไม่ใช่ไม่รู้ 

การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการที่แพทริคใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้เลื่อนมาให้กับอาร์ตนั่ง และอาร์ตที่ปัดน้ำตาลออกจากใบหน้าของแพทริคออกอย่างอ่อนโยน รวมถึงอากัปกิริยาระหว่างพูดคุยไปด้วยกินไปด้วยของทั้งคู่มันยิ่งแสดงออกถึงทั้งความหึงหวงและความต้องการในตัวของกันและกัน เป็นฉากที่ลูกา กัวดาญิโน ชื่นชมการแสดงของทั้ง 2 คนมากว่าทั้งจอชและไมค์แสดงออกมาได้อย่างงดงาม 

โดยฉากนี้ยังเป็นการได้กินชูโรสเป็นครั้งแรกในชีวิตของหนุ่มอังกฤษ จอช โอ’คอนเนอร์ ด้วย และพวกเขาถ่ายทำฉากนี้กันแค่ 2 เทคเท่านั้น และเป็นการเก็บภาพ 2 รอบแค่เพื่อเก็บมุมกล้องโคลสอัป ดังนั้นเท่ากับว่าพวกเขาตีบทแตกโดยที่ไม่ต้องแสดงหลายรอบ 

ด้านผู้เขียนบท ‘จัสติน คูริทซ์เกส’ เผยว่าเหตุที่ต้องเป็นชูโรส ก็เพราะว่ามันเป็นขนมที่อร่อยและเป็นที่นิยมในแคลิฟอร์เนีย แต่การแสดงของทั้ง 2 คนเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับการกินขนมบ้าน ๆ ให้กลายเป็นซีนที่ประทับใจ 

“พวกเขามักจะหาทางใหม่ ๆ ในการแสดงออกทางร่างกาย สิ่งใหม่ ๆ อย่างสิ่งที่ไม่ต้องใช้คำพูด พวกเขามักจะหาช่วงเวลาดี ๆ ได้เสมอ ดังนั้นฉากนี้ผมก็รับเครดิตเอาไว้ทั้งหมดไม่ได้ครับ”

ดูฉากกินชูโรส พร้อมคำอธิบายจาก ลูกา กัวดาญิโน 
https://youtu.be/01ZXMrPGMyA?si=nBzwTzdh7Ed38Kyf 

‘Challengers’ ทำให้เกิดเทรนด์ ‘หลงรักผู้ชายหูกาง’ 

ทั้ง จอช โอ’คอนเนอร์ และไมค์ ไฟสต์ ต่างเป็นคนที่หูใหญ่และหูกางหน่อย ๆ แต่บทความ “The ‘Challengers’ Boys Are Making Everyone Horny for Big Ears” ของ ‘The Daily Beast’ เผยว่านั่นแหละคือจุดเด่น ‘ยั่วเพศ’ ที่ทำให้พวกเขากลายเป็นนักแสดงสุดฮอตในตอนนี้ โดยยกเครดิตความดีความชอบให้กับการถ่ายภาพของ สยมภู มุกดีพร้อม ที่ทำให้พวกเขากลายเป็นชายหนุ่มสุดฮอตโดยจับภาพใบหน้าของพวกเขาในระยะโคลสอัปบ่อยครั้ง และยังมีการเลือกมุมที่จับใบหน้าของเขา โดยเฉพาะมุมเสยที่ไม่ค่อยมีใครเลือกใช้นัก เพื่อสื่อความหมายทำให้เห็นชัดว่าหูของพวกเขากางรับกับใบหน้าของพวกเขาเป็นอย่างดี 

ด้วยโครงหน้าที่มีเอกลักษณ์ สีหน้า แววตา การแสดงของพวกเขายิ่งส่งให้เสน่ห์เย้ายวนใจออกมา ประกอบกับเสียงครางแบบนักเทนนิสเวลาตีลูกบนคอร์ต มันทำให้ผู้ชมหลายคนต้องเผลอจิกเบาะด้วยความวาบหวาม นอกจากนี้ยังจัดพวกเขาเข้าทำเนียบหนุ่มหูกางสุดฮอตร่วมกับหนุ่ม ๆ หูเด่นอีกหลายคน เช่น คัลลัม เทอร์เนอร์, นาธาน เบย์ลีย์, โจ ล็อค, แชนนิ่ง เททัม และ อดัม ไดรเวอร์ 

ผลงานต่อไปของจอช โอ’คอนเนอร์ คือเรื่อง ‘The History of Sound’ ของผู้กำกับ ‘โอลิเวอร์ เฮอร์มานัส’ ที่แสดงร่วมกับอีกหนุ่มดาวรุ่ง ‘พอล เมสคัล’ เป็นเรื่องราวความรักของชาย 2 คนที่ตกหลุมรักกันระหว่างออกเดินทางเพื่อบันทึกเสียงต่าง ๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่หลายคนกำลังจับตามอง โดยทั้ง 2 คนเคยรับบทเกย์มาแล้ว จอช โอ’คอนเนอร์ เคยรับบทใน ‘God’s Own Country’ ในปี 2017 และ พอล เมสคัล เพิ่งจะมีผลงานเด่นอย่างเรื่อง ‘All of Us Strangers’ (2023) 

ด้านไมค์ ไฟสต์ มีผลงาน ‘The Bikeriders’ ที่แสดงร่วมกับออสติน บัตเลอร์, ทอม ฮาร์ดี้ และโจดี้ โคเมอร์ เตรียมเข้าฉายในอเมริกาเดือนมิถุนายนนี้ และได้เซ็นสัญญากับ ‘WME’ และ ‘Brillstein Entertainment Partners’ เอเจนซียักษ์ใหญ่ที่ดูแลนักแสดงชั้นนำมากมาย คาดว่าน่าจะได้เห็นผลงานดี ๆ ของเขาอีกต่อไปในอนาคต

 

เรื่อง : เพจผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้ 

ภาพ : IMDB