‘เชลลีย์ ดูวัล’ ตำนานเสียงกรีดร้องที่ลืมไม่ลงใน ‘The Shining’

‘เชลลีย์ ดูวัล’ ตำนานเสียงกรีดร้องที่ลืมไม่ลงใน ‘The Shining’

‘เชลลีย์ ดูวัล’ นักแสดงหญิงผู้ทุ่มสุดตัวในหนังเรื่อง ‘The Shining’ แต่กลับถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Razzie Awards

KEY

POINTS

  • เส้นทางอาชีพการแสดงของ ‘เชลลีย์ ดูวัล’
  • การรับบทสุดหินในหนังเรื่อง ‘The Shining’ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าทำให้เธอมีปัญหาสุขภาพจิต
  • แง่คิดที่ฝากไว้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ 

‘เชลลีย์ ดูวัล’ (Shelley Duvall) เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2024 หรือเพียง 3 วัน หลังวันครบรอบวันเกิดปีที่ 75 ของเธอ ด้วยโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน 

นักแสดงหญิงผู้เป็นที่จดจำจากหนังเรื่อง ‘The Shining’ ดูเหมือนจะห่างหายไปจากความสนใจของสาธารณชนตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 เมื่อเธอและคนรัก ‘แดน กิลรอย’ ย้ายจากลอสแองเจลิสไปยังเท็กซัส ทั้งที่ความจริงแล้ว เธอยังคงมีผลงานการแสดงเป็นระยะ ๆ รวมถึงบทบาทสุดท้ายในหนังสยองขวัญปี 2023 เรื่อง ‘The Forest Hills’

‘เชลลีย์ อเล็กซิส ดูวัล’ เกิดที่เมืองฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเท็กซัส เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 1949 เธอเป็นลูกคนโตในบรรดาลูก 4 คนของพ่อแม่ แม่ของเธอ ‘บ๊อบบี้’ ทำงานเป็นนายหน้าขายที่ดิน ส่วนพ่อ ‘โรเบิร์ต’ เป็นผู้ประมูลวัวที่ผันตัวมาเป็นทนายความ

หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลายเมื่อปี 1967 เธอก็เข้าเรียนต่อที่ South Teas Junior College ในด้านโภชนาการและการบำบัดด้วยอาหาร ระหว่างนั้นก็ทำงานเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางในห้างไปด้วย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่

อาชีพการแสดงของเชลลีย์เริ่มต้นโดยบังเอิญในปี 1969 ขณะที่เธออยู่ในงานปาร์ตี้ของคู่หมั้น ‘เบอร์นาร์ด แซมป์สัน’ ปรากฏว่าวันนั้นมีแมวมองของผู้กำกับ ‘โรเบิร์ต อัลท์แมน’ อยู่ในงานด้วย เธอจึงได้รับการทาบทามให้ไปแคสต์บทในหนังเรื่องใหม่ของผู้กำกับโรเบิร์ต ที่ขึ้นชื่อด้านการกำกับหนังแปลก ๆ และการคัดเลือกนักแสดงที่แหวกแนว 

ทันทีที่ได้เจอเชลลีย์ในวัย 20 ปี ผู้กำกับโรเบิร์ตรู้สึกประทับใจกับหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอมาก โดยเฉพาะดวงตาที่กลมโต รูปร่างผอมเพรียว และรอยยิ้มที่ดึงดูด เขาจึงขอให้เธอร่วมงานกับเขาทันที แม้ว่าเธอจะไม่มีประสบการณ์ด้านการแสดงเลยก็ตาม หลังจากนั้นเธอจึงมีโอกาสได้แสดงในหนังของเขาหลายเรื่อง เช่น Brewster McCloud, McCabe and Mrs.Miller, Thieves Like Us, Nashville รวมถึง ‘3 Women’ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปี 1977 และ The Guardian ยกให้บทบาทที่เธอได้รับในหนังเรื่องนี้เป็นบทบาทที่ดีที่สุดของเธอ 

ในปี 1977 ผู้สื่อข่าว The New York Times ถามเธอว่า ทำไมเธอจึงเลือกที่จะร่วมงานกับผู้กำกับโรเบิร์ต อัลท์แมน หลายเรื่อง เธอตอบว่า “เขาเสนอบทบาทดี ๆ ให้ฉัน เขามั่นใจ ไว้วางใจ และเคารพฉันมาก เขาไม่ได้จำกัดหรือข่มขู่ฉัน และฉันรักเขา” ด้านโรเบิร์ตเองก็ยกย่องเชลลีย์ว่า เป็นนักแสดงที่ครบเครื่อง ทั้งความมีเสน่ห์ ไร้สาระ ซับซ้อน น่าสงสาร และงดงาม 

เมื่อฝีมือการแสดงพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานผู้กำกับ ‘วู้ดดี้ อัลเลน’ ก็เลือกเธอมารับบทในหนังรางวัลออสการ์เรื่อง ‘Annie Hall’ นำแสดงโดย ‘ไดแอน คีตัน’ 

ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เชลลีย์จัดเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จัก เธอมีผลงานอย่างต่อเนื่อง และต่อมาในปี 1979 เธอก็กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับโรเบิร์ต อัลท์แมน อีกครั้ง ในหนังเรื่อง ‘Popeye’ เวอร์ชันคนแสดง โดยเธอได้เล่นเป็น ‘โอลีฟ’ ประกบกับ ‘โรบิน วิลเลียมส์’ ซึ่งรับบท ‘ป๊อบอาย’ ทั้งที่ตอนแรกเธอลังเลที่จะเล่นบทนี้ เพราะเคยถูกล้อว่าเหมือน ‘โอลีฟ’ มาตั้งแต่เด็ก แต่สุดท้ายเธอก็เปลี่ยนใจ และการแสดงของเธอก็มีส่วนช่วยให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

กระทั่งปี 1980 เธอเล่นหนังประกบ ‘แจ็ค นิโคลสัน’ ในหนังเรื่อง ‘The Shining’ หนังที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ ‘สตีเฟน คิง’ กำกับโดย ‘สแตนลีย์ คูบริก’ ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตการแสดงของเธอ

ในหนังเรื่องนี้ เชลลีย์ รับบทเป็น ‘เวนดี้ ทอร์รันซ์’ หญิงสาวผู้ไร้เดียงสา ที่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในโรงแรมสุดอลังการ พร้อมกับสามีและลูก เนื่องจากสามีต้องเข้าไปทำหน้าที่ดูแลโรงแรม ซึ่งจะปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว แต่หลังจากนั้นสามีของเธอก็ค่อย ๆ คุ้มคลั่ง  

เมื่อหนังเข้าฉาย นักวิจารณ์จวกเธอเละ เพราะมองว่าการแสดงของเธอดูล้นเกินจริง โดยเฉพาะเสียงกรีดร้องในฉากที่สามีใช้ขวานจามเข้าไปที่ประตูเพื่อไล่ล่าเธอ เป็นผลให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Razzie Awards สาขานักแสดงนำหญิงยอดแย่ 

แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ทุกคนขบขัน และมองว่าเป็นโอเวอร์แอคติ้ง กลับต้องแลกมาด้วยความพยายามอย่างหนักของเธอ 

เธอเล่าว่า “ฉันต้องร้องไห้วันละ 12 ชั่วโมง ตลอดทั้งวัน เป็นเวลา 9 เดือนติดต่อกัน ประมาณ 5 – 6 วันต่อสัปดาห์” ขณะที่รายงานฉบับหนึ่งระบุว่า เธอถูกบังคับให้เล่นฉากถือไม้เบสบอลอันเป็นเอกลักษณ์มากถึง 127 ครั้ง การรับบทอันแสนหินนี้เล่นเอาแจ็ค ที่เล่นเป็นสามี ถึงกับเอ่ยปากกับเธอว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณทำไปได้อย่างไร” 

มีกระแสข่าวมานานว่า การทำงานกับผู้กำกับสแตนลีย์ในครั้งนั้น เป็นเหตุผลสำคัญให้เชลลีย์ต้องระเห็จออกจากฮอลลีวูด แต่อันที่จริงแล้วเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า การได้ทำงานกับผู้กำกับสแตนลีย์ เป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและคุ้มค่าที่สุดในชีวิตการแสดงของเธอ

“การถ่ายทำในช่วง 2 – 3 สัปดาห์แรก สนุกมาก เราทุกคนเข้ากันได้ดี ดังนั้นเมื่อต้องถ่ายทำฉากจริงจัง ไม่ว่าจะดูตกใจหรือหวาดกลัว ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันจะเริ่มหัวเราะคิกคัก หลังจากนั้นไม่นาน สแตนลีย์ก็เริ่มทนฉันไม่ไหว และไม่ปล่อยให้ฉันเป็นแบบนั้น ซึ่งนั่นทำให้ฉันกลัวมาก แต่คุณต้องเข้าใจว่า บางฉากใช้เวลาถ่ายทำหลายชั่วโมง บางครั้งการถ่ายทำ 12 ชั่วโมง ก็ถูกแปลเป็นเพียง 3 นาที บนหน้าจอเท่านั้น ดังนั้นตอนเข้าฉากที่แสดงความกลัวหรือร้องไห้ พอหมดวัน คุณก็ไม่มีอะไรจะให้อีกแล้ว แต่ด้วยความอัจฉริยะของสแตนลีย์ คูบริก ยังไงเขาก็จะทำให้คุณทำได้ ซึ่งมันทั้งยากและทรหดมาก” 

แต่จะให้กลับไปทำแบบนั้นอีกหรือไม่ เธอตอบว่า “ฉันจะไม่ให้มากขนาดนั้นอีกต่อไป หากคุณอยากได้ความเจ็บปวดและเรียกมันว่าศิลปะก็ทำต่อไปเถอะ แต่ไม่ใช่กับฉัน” หลังจากนั้นเธอก็ยังมีผลงานต่อไปอีกหลายเรื่องตลอดช่วงทศวรรษ 1980 แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ถูกพูดถึงมากเท่า The Shining ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับการจดจำมากที่สุดในอาชีพการแสดงของเธอ และทุกวันนี้ภาพที่เธอกรีดร้องสุดเสียงก็กลายเป็นมีมติดตาคนในยุคปัจจุบัน 

ในมุมของคนยุคใหม่ ได้เกิดการตั้งคำถามว่า ความพยายามอันหนักหน่วงของเธอในหนังเรื่องนี้สมควรได้รับการชื่นชมมากยิ่งขึ้น หากพิจารณาในประเด็นที่ว่า ผู้กำกับสแตนลีย์ คูบริก ปฏิบัติต่อเธออย่างรุนแรงในระหว่างการถ่ายทำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทาง Razzies ที่เพิ่งมาตระหนักถึงความเครียดและความกดดันของเธอในตอนนั้น ได้ถอนชื่อเธอออกอย่างเป็นทางการในปี 2022

นอกเหนือจากงานเบื้องหน้าแล้ว เชลลีย์ยังก่อตั้งบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จ 2 บริษัท และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี 2 ครั้ง ก่อนที่จะอำลาฮอลลีวูดในช่วงทศวรรษ 1990 ย้ายกลับไปที่เท็กซัส ใช้ชีวิตช่วงเกษียณอย่างเพลิดเพลินด้วยการเลี้ยงสัตว์ และอิ่มเอมกับบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่งบทกวีไว้มากมาย อย่างไรก็ตาม The New York Time อ้างว่า การหายหน้าหายตาไปจากสื่อของเธอนั้น เป็นผลจากแผ่นดินไหวในปี 1994 ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบ้านของเธอในลอสแองเจลิส รวมถึงความเครียดจากการที่น้องชายของเธอป่วยเป็นมะเร็ง

หลังกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบ ในปี 2016 เธอก็เซอร์ไพรส์คนดูด้วยการปรากฏตัวทางทีวีโดยให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Dr.Phil’ ว่า “ฉันป่วยมาก ฉันต้องการความช่วยเหลือ” นอกจากนี้ยังแสดงพฤติกรรมและคำพูดที่ดูแปลกประหลาด หนึ่งในนั้นคือความเชื่อของเธอที่ว่า โรบิน วิลเลียมส์ (ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านั้น 2 ปี) ยังมีชีวิตอยู่ ทำเอาคนที่ได้ดูรายการในวันนั้นพากันแสดงความเป็นห่วงสภาวะทางจิตของเธอ และตั้งข้อสังเกตว่า อาการเหล่านี้มีต้นตอมาจากความรุนแรงที่ได้รับระหว่างการถ่ายทำเรื่อง The Shining หรือไม่

ด้าน แดน กิลรอย คู่รักของเธอให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่า ตอนนั้นเธอกลายเป็นคนขี้หวาดระแวง และเป็นคนหลงผิด 

หลังจากห่างหายจากจอไป 21 ปี เธอก็หวนคืนจอด้วยการกลับมาเล่นหนังสยองขวัญปี 2023 เรื่อง ‘The Forest Hills’ และไม่นานมานี้เธอยังได้ออกมาพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เธอห่างหายจากงานแสดงเป็นเวลานานว่า เธอตกเป็นเหยื่อของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ 

“ฉันเคยเป็นดาวเด่น ฉันเคยได้เล่นบทนำมาแล้วหลายเรื่อง ผู้คนคิดว่าเป็นเพราะฉันแก่ขึ้น แต่มันไม่ใช่ มันเป็นเพราะความรุนแรง” เมื่อถูกขอให้อธิบายต่อ เธอกล่าวว่า “คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าวันหนึ่งผู้คนพากันเบือนหน้าหนีจากคุณ คุณจะไม่มีวันเชื่อมันได้เลย เว้นแต่มันจะเกิดขึ้นกับคุณ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเจ็บปวด เพราะคุณไม่สามารถเชื่อได้ว่ามันคือเรื่องจริง” 

นี่คือเรื่องราวของนักแสดงหญิง ‘เชลลีย์ ดูวัล’ ที่ทุ่มสุดตัวเพื่อเข้าถึงบทบาท แต่ก็ทำให้คนในอุตสาหกรรมหนังและผู้ชมทั่วโลกเกิดคำถามว่า การสร้างผลงานที่น่าจดจำ แต่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพกาย สุขภาพใจของนักแสดงคนหนึ่ง มันคุ้มจริงหรือไม่? 

 

เรื่อง : พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ : Getty Images

อ้างอิง :
Shelley Duvall
Shelley Duvall, Robert Altman Protege and Tormented Wife in ‘The Shining,’ Dies at 75
The Shining actress Shelley Duvall dies at 75
Shelley Duvall, Star of ‘The Shining’ and ‘Nashville,’ Dies at 75