27 พ.ค. 2566 | 17:23 น.
- เคต แบลนเชตต์ มักมีชื่อติดทำเนียบนักแสดงที่มีรายได้มากที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Forbes ตัวอย่างเช่น ในปี 2018 Forbes ประเมินว่าเธอรับเงินจากการทำงานไปมากถึง 12.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในปี 2010 Forbes จัดให้เคตอยู่ในอันดับ 2 ของนักแสดงหญิงที่ทำเงินได้มากสุดในธุรกิจนี้
- เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรที่มีคนมองว่าเธอเป็น ‘ไอคอนของเลสเบี้ยน’ เจ้าตัวก็ตอบว่า “ใช่ ที่รัก มันดีมาก ฉันไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร แต่ก็ดี”
‘เคต แบลนเชตต์’ (Cate Blanchett) เป็นหนึ่งในนักแสดงที่กวาดรางวัลไปครองมากที่สุดในโลก เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 7 ครั้ง และคว้ารางวัลมาได้สำเร็จ 2 ครั้ง รวมถึงยังเป็นเจ้าของ 3 รางวัลบาฟต้า, 4 รางวัลคริติกส์ชอยส์อวอร์ด และ 4 รางวัลลูกโลกทองคำ
แต่แม้จะได้ชื่อว่าเป็น ‘ดาวจรัสแสง’ ประดับฟากฟ้า (ฮอลลีวูด) มานานหลายปี เคตกลับไม่คิดจะยึดอาชีพการแสดงไปตลอด
ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของ ‘เคต แบลนเชตต์’ ตั้งแต่วัยเด็กที่ต้องโกงอายุเพื่อทำงานแลกเงิน หลังสูญเสียเสาหลักของบ้าน กระทั่งกลายเป็นนักแสดงหญิงเจ้าบทบาทที่โกยเงินได้มหาศาล แม้อายุจะล่วงเลยมาถึงวัย 54 ปี
ชีวิตต้องสู้เพราะพ่อตายตั้งแต่ยังเด็ก
‘โรเบิร์ต’ พ่อของเคต เกิดที่รัฐเท็กซัส และทำงานที่กองทัพเรือสหรัฐฯ วันหนึ่งเรือที่เขาประจำการเกิดมีปัญหาจึงต้องเข้าเทียบท่าที่เมลเบิร์น ทำให้เขาได้พบกับแม่ของเคตคือ ‘จูน’ ครูสาวชาวออสเตรเลีย
“ที่นั่นไม่ค่อยมีหนุ่ม ๆ พวกผู้หญิงเลยพากันไปที่ท่าเรือเพื่อรอพบทหารเรือ” เคตเล่าตำนานรักระหว่างพ่อกับแม่อย่างมีอารมณ์ขัน
โรเบิร์ตใช้เวลาอยู่ที่ออสเตรเลียเพียงไม่กี่สัปดาห์ เขาก็ต้องจากจูนไป แต่ทั้งคู่ก็สานสัมพันธ์ผ่านจดหมายรักนาน 3 ปีเต็ม ก่อนที่โรเบิร์ตจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับจูนที่ออสเตรเลีย
ทั้งคู่มีลูกด้วยกันสามคน เคตเป็นลูกสาวคนกลาง มีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน โชคร้ายที่โรเบิร์ตมีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายกะทันหันขณะที่เคตอายุเพียง 10 ปี เมื่อไร้เสาหลักของบ้าน ชีวิตของสี่แม่ลูกก็ต้องดิ้นรนมากขึ้น แต่แม่ก็ไม่คิดแต่งงานใหม่ โดยมียายย้ายเข้ามาช่วยเลี้ยงหลาน ๆ ซึ่งการเติบโตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยวนี่เองที่ได้หล่อหลอมแนวคิด ‘สตรีนิยม’ (feminism) ในตัวเคต
เติบโตมาแบบปากกัดตีนถีบ
เคต แบลนเชตต์ มักมีชื่อติดทำเนียบนักแสดงที่มีรายได้มากที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Forbes ตัวอย่างเช่น ในปี 2018 Forbes ประเมินว่าเธอรับเงินจากการทำงานไปมากถึง 12.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในปี 2010 Forbes จัดให้เคตอยู่ในอันดับ 2 ของนักแสดงหญิงที่ทำเงินได้มากสุดในธุรกิจนี้ พร้อมทั้งประมาณการว่าเงินแต่ละดอลลาร์ที่เธอได้จากการแสดงภาพยนตร์ สตูดิโอของภาพยนตร์เรื่องนั้นจะได้รับเงินคืนกลับไป 27 ดอลลาร์ ปัจจุบันมีการประเมินว่าเธอมีเงินมากถึง 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่อย่างที่ทราบดี เคตไม่ใช่คนที่เกิดในตระกูลร่ำรวย หลังจากพ่อของเธอจากไป เธอต้องก็เติบโตมาพร้อมกับปัญหาทางการเงินนานับประการ
“ฉันไม่อยากเล่าถึงสิ่งที่แม่ต้องเจอ แต่ฉันบอกได้เลยว่า เมื่อเราพูดถึงปัญหาเรื่องเงิน ฉันรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร”
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เคตต้องออกไปหางานทำ ทั้งที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด หนึ่งในนั้นคืองานที่บ้านพักคนชราที่เธอเริ่มทำตอนอายุเพียง 14 ปี
“ฉันโกหกเรื่องอายุ เพราะตามกฎหมายแล้ว อายุฉันยังน้อยเกินไป ฉันทำงานในช่วงหลังเลิกเรียน รับหน้าที่เป็นคนอุ่นอาหาร เสิร์ฟอาหาร นั่งคุยกับคนแก่ ล้างถ้วยล้างชาม แล้วค่อยกลับบ้าน”
แล้วชีวิตของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากที่เรียนจบสถาบันนาฏศิลป์แห่งชาติออสเตรเลียในปี 1992 เธอใช้เวลาเพียงปีกว่า ๆ ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากงานแสดง และกวาดรางวัลด้านการแสดงไปมากมายตั้งแต่ยังเป็นหน้าใหม่
ดังไปทั่วโลกจากการรับบท ‘ควีนเอลิซาเบธ’
“เคต แบลนเชตต์ ถูกกำหนดชะตาให้ต้องแจ้งเกิดบนจอภาพยนตร์ระดับโลก” เชคาร์ คาเพอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Elizabeth ในปี 1998 กล่าว พร้อมกับให้เครดิตตัวเองที่เป็น “สื่อกลาง” ระหว่างเคตกับภาพยนตร์ที่ว่าด้วยการขึ้นครองราชย์ของควีนเอลิซาเบธ
ด้านเคตเองได้พูดถึงการรับบทสุดยิ่งใหญ่นี้ว่า “สำหรับควีนเอลิซาเบธ ฉันคิดว่าการขึ้นครองบัลลังก์คือความเบ่งบาน”
เพื่อนร่วมงานต่างพากันยกย่องผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซของเธอ ไม่ว่าจะเป็น ‘เจฟฟรีย์ รัช’ ที่อุทานว่า “สิ่งมีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์นี้คือใครกันนะ?” ขณะที่ ‘คริสโตเฟอร์ เอ็กเคิลสตัน’ รำพึงว่า “เธอคือส่วนผสมที่ลงตัว” นั่นจึงไม่แปลกที่ปีนั้นเคตจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และชนะรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นการกรุยทางไปสู่ผลงานการแสดงมากมาย
แต่แม้จะได้ดีจากบทแนวพีเรียด เคตกลับพยายามหลีกเลี่ยงการรับบทแนวนี้ เธอปฏิเสธบทที่ตัวละครต้องแต่งกายคล้ายราชินีผู้ทรงพรหมจรรย์แห่งอังกฤษ ด้วยเหตุผลที่ว่า “มันไม่มีอะไรใหม่ และไร้ซึ่งความเสี่ยง” อย่างไรก็ตาม เคตได้กลับไปสวมบทเป็นราชินีเอลิซาเบธอีกครั้งในภาพยนตร์ Elizabeth: The Golden Age ในปี 2007 ด้วยความรู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำให้บทเอลิซาเบธก้าวไปข้างหน้า และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะคุ้มค่า เมื่อเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากบทบาทเดิม
จากนักแสดงละครเวทีสู่นักแสดงจอเงิน
ก่อนที่เคตจะดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกในฐานะนักแสดงภาพยนตร์ เธอเคยเป็นนักแสดงละครเวทีมาก่อน เคตเคยให้สัมภาษณ์ว่าตอนแรกเธออยากเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือไม่ก็ด้านสถาปัตยกรรม แต่เกิดจับพลัดจับผลูได้เล่นละครที่โรงเรียน ซึ่งทำให้เธอรู้ว่าตัวเองเหมาะจะไปเรียนการแสดงมากกว่า
แม้ตอนนี้จะกลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดระดับเอลิสต์ แต่เคตยังคงหาเวลากลับไปแสดงที่โรงละครเสมอ เช่น ปี 2019 ที่เธอไปแสดงละครเวทีเรื่อง When We Have Sufficiently Tortured Each Other
แน่นอนว่าการเลือกบทบาทในภาพยนตร์กับบทบาทในละครเวทีนั้นต้องใช้ชั้นเชิงพอสมควร เคตเคยอธิบายว่า เธอเห็นข้อดีและข้อเสียของการแสดงในทั้งสองรูปแบบ
“เมื่อคุณอยู่บนเวที คุณจะสามารถประเมินมันได้ แต่การสร้างภาพยนตร์เป็นเรื่องของการทำงานทีละส่วน โชคดีที่ฉันไม่ต้องหยุดเล่นละครเวทีเพื่อไปเริ่มต้นอาชีพนักแสดงภาพยนตร์”
แต่งงานกับนักเขียนบทละคร
เคต แต่งงานกับนักเขียนบทละครที่ชื่อว่า ‘แอนดรูว์ อัพตัน’ ที่รู้จักกันตอนที่ฝ่ายหญิงไปแสดงละครเวทีเรื่อง The Seagull
ทั้งคู่ไม่ชอบหน้ากันในตอนแรก เพราะเธอมองว่าเขาห่างเหิน ส่วนเขาก็มองว่าเธอแสนหยิ่งยโส กระทั่งทั้งคู่ได้เล่นเกมโป๊กเกอร์ด้วยกันในปาร์ตี้ คืนนั้นเธอก็กลับบ้านไปพร้อมกับเขา ความสัมพันธ์ทั้งคู่พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพียง 3 สัปดาห์ เขาก็ขอเธอแต่งงาน
ในวันแต่งงาน เคตเล่าว่าเธอทำอาหารได้แย่มาก “แต่สุดท้ายเขาก็ขอฉันแต่งงาน เห็นได้ชัดเลยว่าเขากำลังหลอน” เคตเล่าติดตลก
เป็นเวลาหลายปีที่เคตกับสามี ที่เธอเรียกว่า ‘พอส’ (ย่อมาจาก 'พอสซัม') ทำงานร่วมกันในฐานะซีอีโอร่วมของ Sydney Theatre Company ที่ออสเตรเลีย ทั้งคู่เลือกที่จะใช้เวลาที่นี่มากขึ้นเพื่อดูแลลูกชายทั้ง 3 คน
การใช้ชีวิตในออสเตรเลีย ทำให้เธอรับงานภาพยนตร์น้อยลง กระทั่ง ‘วูดดี้ อัลเลน’ เลือกเธอมารับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Blue Jasmine (2013) ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
ต่อมา เธอยุติงานในฐานะผู้บริหาร Sydney Theatre Company ส่วนสามีของเธอทำงานต่ออีก 2 ปี ก่อนจะลาออกเช่นกัน
ปี 2015 เคตรับลูกสาวบุญธรรมที่อเมริกามาเลี้ยง 1 คน หลังจากนั้นเธอกับสามีก็ขายบ้านในออสเตรเลียแล้วย้ายกันไปอยู่ที่อเมริกาเพื่อรับงานมากขึ้น และเพื่อสร้างความสนิทสนมกับครอบครัวฝั่งพ่อในอเมริกา ในช่วงเวลานี้เราจึงได้เห็นผลงานการแสดงที่ยอดเยี่ยมของเธอหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือการรับบทเลสเบี้ยนในภาพยนตร์เรื่อง Carol
แฮปปี้ที่ได้เป็นไอคอนของเลสเบี้ยน
หลังจากรับบทเป็นเลสเบี้ยนในภาพยนตร์เรื่อง Carol เธอยังเคยให้สัมภาษณ์เป็นนัยว่าเธออาจมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันในอดีต โดยตอบคำถามกับ Variety ว่า “เคยค่ะ หลายครั้ง” ทั้งยังกล่าวถึงตัวละคร Carol ว่า “ฉันไม่ได้คิดเรื่องรสนิยมทางเพศของแครอลมากนักในขณะที่เล่นเป็นตัวละครนี้”
ตัวละครที่เธอรับบทใน Tár ก็เป็นเลสเบี้ยนเช่นกัน ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์ว่า เธอชอบที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเพศของตัวละครมากนัก
“ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันของพวกเธอนั้น สมบูรณ์แบบ ก็แค่นั้นแหละ! มันไม่ใช่ประเด็นของหนัง และไม่ใช่เพศของตัวละครที่เป็นประเด็นของหนัง มันเป็นเรื่องของอำนาจ”
และเมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรที่มีคนมองว่าเธอเป็น ‘ไอคอนของเลสเบี้ยน’ เจ้าตัวก็ตอบว่า “ใช่ ที่รัก มันดีมาก ฉันไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร แต่ก็ดี”
คำขอบคุณจากรัฐบาลออสเตรเลีย
เคต แบลนเชตต์ เกิดและโตที่ออสเตรเลีย แต่เธอสามารถปรับเปลี่ยนสำเนียงได้ตามบทบาทที่ได้รับอย่างแนบเนียน จนบางครั้งคนดูก็ลืมไปเลยว่าเธอเป็นชาวออสเตรเลีย แต่ไม่ว่าเธอจะพูดสำเนียงอังกฤษหรืออเมริกันได้ชัดเจนขนาดไหน ดูเหมือนรัฐบาลออสเตรเลียก็ภาคภูมิใจในตัวเธออย่างมาก
ในปี 2017 เคตได้เข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Companion of the Order of Australia จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งนับเป็นเกียรติสูงสุดของชาวออสเตรเลียที่ทำคุณูปการอันล้ำค่าให้แก่ประเทศ ในฐานะที่เธอเป็นแบบอย่างของผู้หญิงและนักแสดงรุ่นใหม่ รวมถึงผู้สนับสนุนด้านมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อม
นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม
เคต ไม่เพียงแค่พอใจกับการมีชื่อเสียง แต่เธอยังต้องการใช้ชื่อเสียงของตัวเองเพื่อสร้างความแตกต่างด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอออกมาสนับสนุนนโยบายที่ลดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยระบุว่าเป็นภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญ
ระหว่างการประชุมด้านความยั่งยืนในไอร์แลนด์ เคตกล่าวว่า ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นผู้นำในการห้ามใช้ถุงพลาสติก และหล่อหลอมความคิดของเธอเกี่ยวกับแนวทางที่เป็นไปได้ในอนาคต เธอบอกกับผู้เข้าร่วมการประชุมว่า เธอพยายามทำให้แน่ใจว่าภาพยนตร์ที่เธอสร้างนั้นคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ เธอยังร่วมจัดรายการพอดแคสต์ชื่อ Climate of Change และได้สัมภาษณ์เจ้าชายวิลเลียมถึงการแก้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย
อีกสิ่งที่ทำให้รู้ว่าเธอคือตัวแม่ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคือการใส่ชุดซ้ำไปร่วมงานต่าง ๆ เช่น ในพิธีเปิดเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2018 เคตเลือกสวมชุดเดียวกับที่เธอรับรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง Blue Jasmine โดยให้เหตุผลว่า “ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าชั้นดีหรือเสื้อยืด สุดท้ายแล้วพวกมันก็ต้องถูกทิ้งในหลุมฝังกลบ เป็นเรื่องไร้สาระที่เสื้อผ้าเหล่านี้ไม่ได้รับการทะนุถนอมและสวมใส่ซ้ำไปตลอดอายุการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะอากาศปัจจุบัน”
‘เคต แบลนเชตต์’ ในบทบาท ‘โปรดิวเซอร์’
เคต แบลนเชตต์ เป็นมาแล้วทั้งนักแสดงละครเวที นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงโทรทัศน์ เป็นทั้งแม่ ภรรยา และอดีตซีอีโอ นอกจากนั้นยังเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย เธอก่อตั้งบริษัทโปรดักชั่นของตัวเองที่ชื่อว่า Dirty Films และนั่งเก้าอี้บริหารงานด้วยตัวเอง ในฐานะที่ตัวเองโตมากับกองถ่าย เข้าใจวิธีการพัฒนาบท รวมถึงวิธีการสร้างภาพยนตร์
อย่างไรก็ตาม เธอเสริมว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เพราะผู้ผลิตควรสนใจด้วยว่าภาพยนตร์จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์หรือใช้บริการสตรีมมิ่งหรือไม่ ทั้งยังต้องมีความรู้ทางการเงินและช่องทางการจัดจำหน่าย
“บทบาทนี้เป็นศิลปะที่กำลังจะตาย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักแสดงและผู้กำกับหลายคนถึงก้าวเข้ามาเล่นบทบาทนี้”
บริษัทของเคตผลิตโปรเจ็กต์ที่เธอร่วมแสดงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Carol หรือ Tár และรายการโทรทัศน์อย่าง Mrs. America และ Stateless
กำลังทบทวนเรื่องการแสดง
เคต แบลนเชตต์ อยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายทศวรรษ และยังคงประสบความสำเร็จบนเส้นทางอาชีพ ถึงกระนั้นนักแสดงหญิงมากความสามารถผู้นี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเหลือเวลาเท่าไหร่
ในปี 2019 เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันคิดว่าฉันเหลือเวลาประมาณ 6 เดือน (ในการแสดง)” ขณะที่ปีก่อนหน้านั้นเธอให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันอาจเหลือเวลาอีก 2-3 ปี ก่อนที่ฉันจะสติแตก”
เธอเคยกล่าวถึงเหตุผลที่อยากเกษียณจากการเป็นนักแสดงว่า “เมื่อคุณแก่ลง การแสดงก็ยิ่งน่าขายหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเองก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมนักแสดงรุ่นเก่าที่ฉันชื่นชอบมักพูดถึงการเลิกแสดง แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเพราะพวกเขาต้องการรักษาความเชื่อมโยงกับเสี้ยวสุดท้ายของความมีเหตุมีผลของตัวเอง”
“ฉันอยากจะไปทางนั้น หรือจริง ๆ แล้ว ฉันแค่อยากใช้ชีวิต”
อ้างอิง: