5 เหตุผล ชวนดู ‘Love Scout’ (2025) ซีรีส์เกาหลีโดนใจคนวัยทำงาน

5 เหตุผล ชวนดู ‘Love Scout’ (2025) ซีรีส์เกาหลีโดนใจคนวัยทำงาน

5 เหตุผล ชวนดู ‘Love Scout’ (2025) ซีรีส์เกาหลีที่กล้าก้าวข้ามบทบาททางเพศ ด้วยเรื่องรักในออฟฟิศ ที่สะท้อนแนวคิดในการทำงาน

KEY

POINTS

  • จากพล็อต ‘เจ้านายหนุ่ม’ และ ‘เลขาสาว’ ที่เห็นกันจนชินตาและรับประกันความโด่งดัง แต่ Love Scout กลับเลือกที่แตกต่างด้วยการก้าวข้ามบทบาททางเพศ ด้วยเรื่องราวความรักในออฟฟิศที่เกิดขึ้นระหว่าง ‘ซีอีโอสาว’ และ ‘เลขาหนุ่ม’ ที่ถึงแม้จะไม่สดใหม่ แต่เรตติ้งกลับสดใส จนสามารถครองอันดับ 1 ในใจ ผู้ชมอายุ 20-49 ปี
  • ซีรีส์เรื่องนี้จะพาทุกคนไปสำรวจโลกของ Head Hunter ว่าพวกเขามีวิธีการทำงานกันอย่างไร ความสนุกของจึงอยู่ที่ภารกิจตามหา ทาบทาม และแย่งชิง ‘คนทำงาน’ ไปทีละเคส ๆ ซึ่งนับเป็น ‘ไอเดีย’ ใหม่ในการดำเนินเรื่องที่หาได้ยากในซีรีส์โรแมนติกคอเมดี้
  • นอกจากนี้ ยังชวนให้เราตั้งคำถามในการสร้าง Work Life Balance สร้างสมดุลระหว่างงาน ครอบครัว และตัวเรา พร้อมกับทำให้เราย้อนคิดว่าเราทำงานเพื่ออะไร ขณะเดียวกันก็ให้กำลังใจ ‘คนทำงานทุกคน’ ว่าเวลาที่สูญเสียไประหว่างทาง ล้วนเป็นค่าประสบการณ์ที่แสดงถึงความทุ่มเทของพวกเราทุกคน
     

เพียงแค่ผ่านปี 2025 มา 3 สัปดาห์ ‘Love Scout’ (2025) ก็สามารถขึ้นแท่น ‘ลูกรัก’ คอซีรีส์ได้เป็นผลสำเร็จ ไม่ต่างจากที่ ‘Queen of Tear’ (2024) ทำได้ในต้นปีก่อน ด้วยการคว้าเรตติ้ง ‘สองหลัก’ ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ที่ออกฉาย แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งนั่นคงต้องยกประโยชน์ให้กับพล็อตเรื่องที่ถึงแม้ ‘ไม่สดใหม่’ แต่กลับดู ‘สดใส’ เสียอย่างนั้น  

Love Scout เล่าเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นในออฟฟิศระหว่าง ‘คังจียุน’ ซีอีโอสาวคนเก่งแห่ง Peolplez บริษัท Head Hunting ดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่พูดถึงในวงการ นำแสดงโดย ‘ฮันจีมิน’ (Han Ji-min) และ ‘ยูอึนโฮ’ เลขาหนุ่มสุดเนี้ยบ รับบทโดย ‘อีจุนฮยอก’ (Lee Joon-hyuk) กับพล็อตที่ชวนให้คิดถึง ‘เจ้านายหนุ่ม’ และ ‘เลขาสาว’ ใน ‘What’s Wrong with Secretary Kim’ (2018) และ ‘Business Proposal’ (2022) ซีรีส์รอมคอมสุดฮิต แต่ Love Scout กลับเลือกที่จะ ‘ก้าวข้าม’ บทบาททางเพศ ที่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็น ‘ชายหรือหญิง’ ที่สามารถอยู่ในตำแหน่งใหญ่ ๆ ได้

ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ยังนำเสนอมุมมองความรัก และความสัมพันธ์ของครอบครัวยุคใหม่ได้อย่างถูกจุด พร้อมกับเป็นกระจกสะท้อนหลักการและแนวคิดที่ดีในการทำงาน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น ‘จุดแข็ง’ ของเรื่อง จึงไม่น่าแปลก ที่เรื่องนี้จะสามารถครองอันดับ 1 ในใจผู้ชมกลุ่มหลักที่มีอายุระหว่าง 20 - 49 ปี ซึ่งเป็นวัยทำงานไปเป็นที่เรียบร้อย จากผลสำรวจของ Nielsen Korea

***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์***

สำรวจโลกของ Head Hunter

หนึ่งในจุดเด่นของซีรีส์เกาหลี คงต้องยกให้กับ ‘อาชีพ’ ของตัวละครที่มีมาให้เราทำความรู้จักกันอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น ‘Another Miss Oh’ (2016) ที่พระเอกรับบทเป็น ผู้กำกับเสียง (Sound Director) หรือจะเป็น ‘Move to Heaven’ (2021) ที่ตัวเอกมีอาชีพเก็บข้าวของของคนตาย (Trauma Cleaners) และล่าสุดกับ ‘When the Phone Rings’ (2024) ที่นางเอกเป็นล่ามภาษามือ

สำหรับเรื่องนี้ ก็เป็นการพาเราไปสำรวจอุตสาหกรรม Head Hunting Agency หรือ Executive Search บริษัทที่รับหน้าที่สรรหาพนักงานในตำแหน่ง ‘ผู้บริหารระดับสูง’ เป็นหลัก ส่วนใหญ่แล้ว บริษัทประเภทนี้ จะมีทีมงานมืออาชีพที่สรรหาผู้สมัครแบบ ‘เชิงรุก’ ด้วยการดึงตัวบุคลากรคนสำคัญ ๆ ในวงการ ให้มาร่วมงานกับองค์กรตามที่ว่าจ้าง และกฎเหล็กในการเลือกคนของคังจียุนก็คือ “เลือกคนที่คู่ควรกับราคาที่ได้รับ”

แม้ฟังดูโหดร้าย แต่อย่าลืมว่าเราอยู่ในโลกทุนนิยม ขนาดตัวเราเองยังตีราคาให้กับสิ่งของรอบตัว โลกของการทำงานเองก็เช่นกัน หากเราไม่สร้างมูลค่าให้กับตัวเองแล้วล่ะก็ ก็ยากที่จะแข่งขันในโลกใบนี้ ซึ่งตัวซีรีส์เองก็ทำให้เราเห็นว่าถ้าเราเป็นคนเก่งแล้ว ย่อมมีตลาดงานที่รอเราอยู่ พร้อมกับพาเราไปสำรวจวิธี ‘การสรรหา’ บุคคลคุณภาพ ควบคู่กับจริยธรรมของคนในอาชีพนี้
 

โดยหลักการแล้ว Head Hunter ที่ดีนั้น จะต้องอยู่ในชุดที่เรียบร้อยดูเป็นมืออาชีพ พูดจาฉะฉาน ทว่าสุภาพ อันเป็นภาพลักษณ์ของคังจียุนตั้งแต่ปรากฏตัว นอกจากนี้ เฮดฮันเตอร์จะต้องศึกษาประวัติของเป้าหมาย และต้องล่วงรู้ให้ได้ว่าคนที่หมายตานั้นต้องการอะไร และที่สำคัญที่สุดจะต้องไม่เอ่ยถามถึงเงินเดือนก่อนหน้า ซึ่งคังจียุนก็ทำหน้าที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ความสนุกของเรื่องจึงอยู่ที่ภารกิจตามหา ทาบทาม และแย่งชิง ‘คนทำงาน’ ไปทีละเคส ๆ ซึ่งนับเป็น ‘ไอเดีย’ ใหม่ในการดำเนินเรื่องที่หาได้ยากในซีรีส์โรแมนติกคอเมดี้

การก้าวข้ามบทบาททางเพศ

แม้ดูเผิน ๆ ซีรีส์เรื่องนี้จะคล้ายนำพล็อตเก่ามาเล่าใหม่อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเรื่องนี้ ถือเป็น ‘การท้าทาย’ กรอบความคิดเรื่องเพศในที่ทำงานเสียใหม่ได้อย่างชาญฉลาด เมื่อ ‘ผู้หญิง’ สามารถประสบความสำเร็จในชีวิต และก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารได้ด้วย ‘ความสามารถ’ ของเธอเอง อีกทั้งแต่ละเคสในเรื่อง ก็กำลังทำหน้าที่ ‘ขับเคลื่อน’ ความสามารถของผู้หญิงให้เห็นอย่างเด่นชัดมากขึ้น

สิ่งที่โดดเด่นในเรื่องนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวละครของ ‘คังจียุน’ ในบทบาทนักธุรกิจหญิงที่ทรงพลัง แข็งแกร่ง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเท่านั้น แต่เรายังได้เห็นตัวละครอื่น ๆ ออกมาโลดแล่น และส่งสารบางอย่างให้กับเรา  ไม่ว่าจะเป็น ตัวละครเชฟหญิงผู้ช่วยที่ต้องเจอกับบททดสอบครั้งสำคัญ ก่อนจะเจอกับเส้นทางใหม่ที่ถนัดกว่า โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเชฟใหญ่อีกต่อไป

หรือจะเป็นตัวละครคุณป้านักซ่อมกระเป๋าที่ไม่กล้า (อาจ) เอื้อมมารับตำแหน่งผู้ตรวจสอบสินค้าแบรนด์เนม เพราะวุฒิการศึกษาไม่สูงพอ (ซึ่งเป็นข้อถกเถียงกันว่า นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดงานสูญเสียคนที่มีคุณภาพ) อีกทั้งตัวลูกสาวของเธอก็ไม่อยากให้ผู้เป็นแม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป แต่แท้จริงแล้ว เธอไม่ได้สนใจถึงความลำบากแม้แต่น้อย แถมยังทำงานด้วย ‘ใจรัก’ เพราะ ‘คุณค่า’ ของตัวเธอนั้น ก็อยู่บนทุกฝีเข็มที่เธอบรรจงเย็บอย่างประณีตบนกระเป๋า

นอกจากการส่งต่อเรื่องราว ‘เพื่อนหญิงพลังหญิง’ แล้ว ตัวละครหลักอย่าง ‘ยูอึนโฮ’ เลขาหนุ่มคนเก่ง ก็ถูกนำเสนอออกมาให้มีความ ‘แตกต่าง’ จาก ‘ความเป็นชาย’ แบบดั้งเดิมด้วยเช่นกัน ในฐานะของ ‘พ่อเลี้ยงเดี่ยว’ ที่สุดแสนจะอ่อนโยน หรืออาจจะพูดได้ว่าไม่ใช่แค่บทบาทที่ถูก ‘จับสลับ’ ระหว่างหญิง-ชาย หากแต่รวมถึงนิสัยใจคอและการแสดงออกของตัวละครอีกด้วย 

สัมผัสชีวิตอีกด้านของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

จากการสำรวจ Statista ในปี 2023 พบว่าจำนวนของครอบครัวที่เป็นผู้ปกครองเลี้ยงเดี่ยว (Single-Parent Household) ในเกาหลีมีถึง 1.49 ล้านครัวเรือน ในขณะที่จำนวนของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single-Fathers) กลับมีเพียง 5,400 คน เท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว นับเป็นอัตราส่วนที่น้อยเอามาก ๆ 

ส่วนหนึ่งของตัวเลขนี้ น่าจะมาจากกฏหมายเกาหลีเองที่ให้สิทธิการจดทะเบียนรับรองบุตรให้กับฝั่งมารดา เมื่อมีการหย่าร้างภาระการดูแลลูกส่วนใหญ่จึงตกเป็นหน้าที่ของคนเป็นแม่ที่ต้องแบบรับ ขณะเดียวกัน พ่อเลี้ยงเดี่ยวเองก็ประสบปัญหากับการเลี้ยงดูบุตรไม่ต่างกัน โดยเฉพาะการขอรับการช่วยเหลือจากรัฐ หรือการอ้างสิทธิต่าง ๆ ในตัวบุตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณแม่ไม่ให้การร่วมมือก็จะยิ่งเป็นปัญหา ซึ่งประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ คงเป็นงานถนัดของนักเขียน ‘คิมจีอึน’ (Kim Ji Eun) ผู้เขียนบท เพราะผลงานก่อนหน้าของเธออย่าง ‘Lie After Lie’ (2020) ก็พูดถึงพ่อเลี้ยงเดี่ยวด้วยเช่นกัน

มุมมองที่มีต่อคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวของนักเขียนคิมจีอึน ยังคงถูกนำเสนอออกมาได้อย่างงดงาม ด้วยการแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่สวยงามระหว่างยูอึนโฮกับลูกสาวตัวน้อย จนแทบทำให้ตัวละครนี้เป็น ‘คุณพ่อต้นแบบ’ ที่สามารถดูแลจัดการงานบ้าน ทำอาหาร และงานต่าง ๆ ที่หลายคนมองว่าเป็นงานของผู้หญิงได้อย่างไม่มีที่ติ จนเหมาะกับตำแหน่งเลขาอย่างที่สุด 

ไม่ใช่แค่เรื่องราวของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเท่านั้น เรื่องของ ‘คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว’ ก็ยังถูกส่งผ่านตัวละครอีกหลากหลายตัวในเรื่องนี้ ราวกับเป็นการบอกว่าปรากฏการณ์นี้เป็น ‘เรื่องปกติ’ ของสังคม หาใช่สิ่งที่ ‘แปลกแยก’ หรือ ‘แตกต่าง’ เนื่องจากค่านิยมของชาวเกาหลีมักเชื่อกันว่า คนที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่คือ คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า 

แต่ใครจะรู้บ้างว่าในชีวิตจริงยังมีคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวและคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอีกมากมาย ที่พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อรักษา ‘รอยยิ้ม’ ของลูก ดังที่คังจียุนบอกกับลูกสาวของยูอึนโฮว่า “ความรักเป็นเรื่องของคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ” การที่มีคนรักเรา เพียงแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว

ข้อคิด (ยาใจ) วัยทำงาน

จากฉากหลังที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายของการหางานให้เหมาะกับคน หาคนเหมาะกับงาน เรื่องนี้จึงได้ใจ ‘มนุษย์เงินเดือน’ ตาดำไปอย่างเต็ม ๆ เมื่อความหมายของคำว่า ‘งาน’ ถูกตีความออกไปอย่างกว้างขวาง เพราะเราจะได้เห็นคนทำงานเพื่อเงิน เห็นคนทำงานเพื่อชื่อเสียง เห็นคนทำงานเพื่อสร้างคุณค่าในตัวเอง ไปจนถึงเห็นงานมีไว้เพื่อทำลายกัน

ซีรีส์เรื่องนี้ได้ตั้งคำถามใหญ่ ๆ ในโลกของการทำงานไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การสร้าง Work Life Balance ที่ตัวละครเอกอย่างคังจียุนจะไปในทาง Work ไร้ Balance เสียมากกว่า เพราะ ‘งานหนัก’ สามารถ ‘ฆ่าคน’ ได้จริง ๆ เมื่อเธอป่วยเป็น ‘โรคสมองล้า’ จนถึงกับเป็นลมล้มหมอนนอนเสื่อ เกิดอาการหลงลืม ๆ เมื่อสมองไม่สามารถทำงานหนักได้อีกต่อไป ทำให้เธอต้องยอมมี ‘ผู้ช่วย’ และจากจุดนี้ ก็ทำให้เธอรู้จักการ ‘ปล่อยวาง’ และ ‘ไว้ใจ’ ให้คนอื่นทำงานแทนบ้าง

ขณะที่คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวก็เปิดประเด็นเรื่อง “การลางานเพื่อเลี้ยงลูก” ว่ามีค่ามากแค่ไหนสำหรับเด็กคนหนึ่ง แต่ในโลกของการทำงานจริงนั้น การลางานที่ทิ้งระยะเวลายาวนานขนาดนี้ ทำให้เขาถูกหัวหน้าหมายหัว แถมยังต้องเจอการเมืองในที่ทำงาน จนทำให้เขาต้องลาออก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ล้วน ‘สะท้อนชีวิตการทำงาน’ ที่ไม่ว่าใครก็ใคร อย่างน้อยต้องเคยเจอสักครั้งหนึ่งในชีวิต 

อีกหนึ่งสิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้พยายามบอกก็คือ การ ‘มั่นใจ’ ในตัวเอง อย่างคังจียุนมักบอกกับทุกคนเสมอว่า ‘เรซูเม่’ (Resume) เป็นอะไรที่มากกว่าแค่กระดาษแผ่นเดียว เพราะข้อความไม่กี่บรรทัดที่อยู่ในนี้ แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทที่ผ่านมาของเรา ส่วนเวลาที่เราสูญเสียไประหว่างทางก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ เพราะทั้งหมดเป็นค่าประสบการณ์อันล้ำค่า ที่ทำให้เราแข็งมีความชำนาญในสายงานของเรานั่นเอง  

สำหรับใครที่กำลังเคยตั้งคำถามว่าเราจำเป็นต้องทุ่มเทกับบริษัทอย่างสุดหัวใจหรือไม่? ซีรีส์เรื่องนี้ก็ตอบคำถามแบบหมดเปลือกว่า เราก็เป็นแค่เพียง ‘อะไหล่’ ชิ้นนึงเท่านั้น “ไม่มีเรา เขาก็หาใหม่ได้” ดังนั้น มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องรักตัวเองกันให้มาก ๆ 

เรื่องรัก ๆ (ไม่ลับ) ของวัยกลางคน

แม้ซีรีส์เรื่องนี้จะลงลึกในพาร์ทการทำงานอย่างละเอียดลออ แต่ในพาร์ทของ ‘ความรัก’ กลับทำได้ดียิ่งกว่า จนอาจจะบอกว่านี่อาจจะเป็นความรักใน ‘อุดมคติ’ ของใครหลายคนเลยทีเดียว

หากบอกกันว่าความรักหนุ่มสาวคือความร้อนแรง ความรักของวัยกลางคนก็คงเป็นอะไรที่เนิบช้า เพราะอยู่ในช่วงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาแล้ว เสน่ห์ของเรื่องจึงอยู่ที่ความรักที่ค่อย ๆ ผลิดอกออกผล แฝงความเป็นมืออาชีพ ไม่หวือหวา แต่ทว่าอบอุ่น หรืออาจจะพูดว่าเป็น “ความรักเมื่อพร้อม” ก็ไม่น่าผิด

ความรักที่แสดงออaกของคนทั้งคู่จึงเป็นไปในรูปแบบของการใส่ใจดูแลกัน และซึบซับรับรู้กับอยู่เงียบ ๆ อีกทั้งตัวละครของยูอึนโฮก็เป็นการตีความที่น่าสนใจ เพราะเราจะได้เห็นสิ่งที่เขาปฏิบัติกับลูกสาว ถูกถ่ายทอดออกในเชิงโรแมนติกต่อผู้หญิงที่เขารัก ซึ่งทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ยิ่งเป็นอะไรที่พิเศษใส่ไข่ อย่างที่ไม่เคยเห็นจากซีรีส์เรื่องอื่น ๆ และเป็นความโรแมนติกที่แฟนซีรีส์เกาหลีต่างรอคอยและคิดคิดถึง

แน่นอนว่าคงต้องยกประโยชน์ให้กับเคมีของ 2 นักแสดงนำมากฝีมืออย่าง ฮันจีมิน และอีจุนฮยอก ที่ใช้ประสบการณ์กว่า 20 ปี มาถ่ายทอดความสัมพันธ์ได้อย่างน่ารักและกลมกล่อม โดยเฉพาะรายหลังที่ตอนนี้ติดอันดับ 1 นักแสดงยอดนิยม หลังจากซีรีส์ออนแอร์ไปเพียง 4 ตอนเท่านั้น

เอาเป็นว่า ถ้าอยากรู้ว่าอาการ “ยิ้มฟันเหยิน” เป็นอย่างไร อย่าลืมรับชม Love Scout บนสตรีมมิ่ง Netflix กันล่ะ

 

เรื่อง: รตินันท์ สินธวะรัตน์