29 มี.ค. 2568 | 13:56 น.
KEY
POINTS
“ก่อนที่เราจะเข้าใจคนอื่นหรือตัวละคร เราเข้าใจตัวเองดีหรือยังวะ ก่อนที่เราจะไปสวมบทบาทเป็นคนอื่น เราถอดอัตตาหรือตัวตนของตัวเองได้หรือยังวะ”
‘จ๋าย ไททศมิตร’ ตอบคำถามหลังจากผ่านการคิดอย่างลึกซึ้ง สะท้อนแก่นแท้ของชายหนุ่มที่หลายคนรู้จักในฐานะศิลปินวงร็อกเพื่อชีวิตชื่อดัง และนักแสดงที่เต็มไปด้วยปรัชญาชีวิตอันลึกซึ้ง
ทว่าภายใต้ภาพลักษณ์ของหนุ่มเท่ เบื้องหลังของเขาคือเรื่องราวการค้นหาตัวตนที่แท้จริง
“ผมรักการแสดง ดนตรีเป็นเพียงทางเลือก แต่โชคดีที่ทำแล้วคนชื่นชอบ และมันช่วยดูแลองคาพยพ ดูแลเพื่อนน้องที่ผมรักได้ ผมก็ยังทำอยู่” จ๋ายเปิดเผยอย่างจริงใจ สะท้อนความขัดแย้งภายในระหว่างความรักในการแสดงกับหน้าที่รับผิดชอบในฐานะฟรอนต์แมน
‘อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี’ คือชื่อจริงของจ๋าย ชื่อที่มีความเป็นมาพิเศษเพราะเป็นชื่อที่พระตั้งให้ “อิชณน์กร แปลว่างานที่สำเร็จครับ” ส่วนชื่อเดิม ‘จิรชัย’ ที่มาจากการผสานชื่อของพ่อ ‘สุรชัย’ และแม่ ‘จิรวรรณ’ ต้องเลิกใช้ไปเมื่อพระทำนายว่า “จะตายเพราะเพื่อน” ทำให้จนถึงตอนนี้จ๋ายใช้ชื่อจริงว่าอิชณน์กรมาได้ประมาณสิบปี ซึ่งจะว่าไปแล้วชื่อใหม่นี้ก็เหมาะกับภาพลักษณ์ ‘ลูกพี่’ ในปัจจุบันของเขา แม้ว่าเขาจะพูดเขิน ๆ ว่า “แต่หลัง ๆ นี่เริ่มติ๊งต๊องแล้ว” พร้อมรอยยิ้มที่ละลายความเข้มให้อ่อนลง
ความเท่และภาพลักษณ์ลูกพี่ในวันนี้กลับเป็นความตรงข้ามของชีวิตในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง “ผมโตมากับญาติที่เป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ครับ โตมากับยาย แล้วก็ลูกพี่ลูกน้องส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้หญิงหมดเลย” เวลานั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะถูกล้อว่าเป็น ‘ตุ๊ด’ บ้าง ‘แต๋ว’ บ้าง
แม้จะมีเพื่อนและครอบครัวแวดล้อม แต่จ๋ายก็ยังรู้สึกแปลกแยกในบางแง่มุม “เพราะว่าเราโตที่อีสาน แต่ว่าเป็นเจ๊ก ก็จะโดนคนในหมู่บ้านล้อ” ประสบการณ์ถูกล้อเลียนในวัยเด็กกลายจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกแตกต่างและพยายามค้นหาตัวเองมาตลอด
ขณะที่เส้นทางสู่วงการดนตรีของจ๋ายไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เมื่อถูกถามถึงนิยามของตัวเองในปัจจุบัน เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “เป็นนักดนตรีครับ เป็นนักร้องนักดนตรีอะครับ ก็พาร์ตของไทยทศมิตรเป็นหลัก” แต่เบื้องหลังคำตอบเรียบง่ายนี้กลับมีเรื่องราวซับซ้อนซ่อนอยู่
จุดเริ่มต้นของวงไททศมิตรเกิดจากช่วงชีวิตที่จ๋ายตกงานและถูกโกง “ตอนแรกไม่ได้มีความคิดที่จะอยากเป็นศิลปินหรือนักร้องนะครับ เป็นช้อยส์ที่ไม่ได้อยู่ในหัวเลย” ที่น่าสนใจคือเขามีอคติกับอาชีพนักร้องมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากแม่ของเขาเป็นนักร้อง และเขาต้องไปรับแม่หลังเลิกงานในบรรยากาศที่ล้อมรอบด้วยเสียงเพลงและแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ชอบในวิถีชีวิตแบบนั้น
ความฝันที่แท้จริงของจ๋ายกลับอยู่ที่การแสดงและงานเบื้องหลัง “ตอนที่เรียนที่กรุงเทพฯ เราได้มีโอกาสทำกิจกรรมในโรงเรียน เราก็อยากเป็นผู้กำกับ อยากกำกับหนัง กำกับละคร” แต่ด้วยลุคที่มีหนวด ทำให้ได้รับโอกาสในการเล่นละคร
ชีวิตพลิกผันอีกครั้งเมื่อจ๋ายถูกโกง “เราเหมือนไม่มีช้อยส์ในชีวิตแล้ว มันก็เลยกลับมามองสิ่งที่ตัวเองยังเหลืออยู่” โชคดีที่เขาเป็นคนชอบเขียนและเล่นดนตรีได้บ้าง จึงตัดสินใจลองฟอร์มวงดนตรี ในวันที่ทุกอย่างดูเหมือนจะสิ้นหวัง เขาหันกลับมาใช้ความสามารถที่มีจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในปัจจุบัน
“มันไม่ได้ลำบากขนาดนั้นนะครับ แต่มันหมดทางเลือกแล้วครับ” จ๋ายเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเส้นทางดนตรีด้วยความเรียบง่าย แม้จะสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ แต่ด้วยนิสัยที่อยากยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ทำให้เขาเลือกที่จะสู้ต่อไป
นิยามความสำเร็จของจ๋ายไม่เหมือนคนทั่วไป เมื่อวงไททศมิตรเริ่มมีชื่อเสียง เขากลับไม่รู้ว่าตอนไหนที่วงดังแล้ว “จริง ๆ ไม่รู้เลยครับ ตอนที่รู้สึกว่าสำเร็จแล้ว คือตอนที่มีงานแล้วก็หมายถึงว่า เพื่อน ๆ สามารถออกจากงานแล้วก็มาทำงานตรงนี้ได้เต็มตัวแล้ว” สำหรับเขา ความสำเร็จไม่ใช่ชื่อเสียงหรือเงินทอง แต่คือการที่เพื่อนร่วมวงสามารถหาเลี้ยงชีพได้จากงานที่รัก
อีกตัวแปรที่ทำให้วงของเขาดังขึ้นไปอีก คือกระแสจากภาพยนตร์เรื่อง ‘4Kings’ ที่เขาได้ร่วมแสดง “ก่อนหน้านี้ มันดังมาก แต่ไม่กว้าง ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม แฟนคลับส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย” แต่หลังจากความสำเร็จของ 4Kings ฐานแฟนคลับขยายไปสู่ทุกเพศทุกวัย นำพาวงก้าวสู่ความเป็นกระแสหลักอย่างแท้จริง
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าจ๋ายกังวลหรือไม่กับการที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมากกว่าเพื่อนในวง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาวงแตก แต่เขากลับตอบว่า “ไม่เลยครับ โชคดีที่เรากังวลเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนตั้งวงแล้ว” เคล็ดลับสำคัญคือการแบ่งรายได้อย่างเท่าเทียม “เงิน เราแบ่งเท่ากันทุกคน” รวมถึงค่าลิขสิทธิ์จากการแต่งเพลง ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติในวงการดนตรี
“ผมมองว่าความสำคัญของวงดนตรี มันไม่ได้วัดที่ว่าเราสำเร็จแค่ไหนหรือไปได้ไกลแค่ไหน มันวัดที่ว่าวงนี้ยังอยู่ด้วยกันมั้ย” เห็นได้ชัดว่าปรัชญาการทำวงของจ๋ายเน้นที่ความยั่งยืนมากกว่าความดังระยะสั้น เพราะเขาเชื่อว่าตราบใดที่ยังอยู่ด้วยกัน โอกาสจะไปคว้าความสำเร็จก็ยังมีอยู่เสมอ
ความเชื่อเรื่องพลังของทีมฝังลึกในตัวจ๋าย “ผมเชื่อเสมอว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ใด ๆ ก็ตาม มันทำไม่ได้ด้วยตัวคนเดียว ผมไม่เชื่อเลยว่าอะไรก็แล้วแต่ที่มันยิ่งใหญ่อะ หรือความสำเร็จไหนก็แล้วแต่อะ มันประกอบด้วยคนคนเดียว” ประสบการณ์ในวงการละครและงานเบื้องหลังทำให้เขาเห็นคุณค่าของทุกตำแหน่งหน้าที่ และเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากทุกคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน
ส่วนในด้านการแสดง นอกจากจะเป็นอาชีพที่เขารัก ยังเป็นเครื่องมือในการค้นพบและเข้าใจตัวเองสำหรับเขา “ผมกับการแสดงนี่มันถูกโยงกันทั้งชีวิตเลยอะ ผมเปลี่ยนชีวิตได้เพราะการแสดงเลย เพราะว่ามันทำให้ผมรู้จักตัวตนตัวเอง” กระบวนการทำความเข้าใจตัวละครทำให้เขาได้สะท้อนกลับมามองตัวเอง เหมือนกระจกที่ช่วยให้มองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
“มันเริ่มจากรู้จักตัวละครก่อน แล้วตัวละครนั้นน่ะก็ทำให้เราฟีดแบ็กกลับมาสู่ตัวเราเอง แล้วมันก็เหมือนเป็นกระจกสะท้อนกัน” การถามตัวเองก่อนที่จะสวมบทบาทเป็นผู้อื่น ทำให้จ๋ายต้องเผชิญหน้ากับความเป็นตัวเองอย่างลึกซึ้ง รวมถึงปมต่าง ๆ ที่เขามักจะหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญ
การแสดงยังกลายเป็นการบำบัดชีวิตของจ๋าย โดยเฉพาะในเรื่องครอบครัว “ผมโตมากับยาย คุณพ่อคุณแม่แยกทางกันตั้งแต่จำความได้เลย อย่างเงี้ยมันก็ทำให้เรามีปมในใจ” แต่เขาไม่เคยตระหนักถึงปมนี้จนกระทั่งเริ่มเรียนการแสดง “ผมเพิ่งมาเจอในการเรียนละครว่า ที่เราไม่ใส่ใจเพราะเรามีปมนี่หว่า เพราะเราไม่อยากมองมัน” การเผชิญหน้ากับความจริงนี้ทำให้เขา ‘พังทลาย’ แต่สุดท้ายก็สามารถเยียวยาตัวเองได้ผ่านการแสดง
แต่แม้จะรักการแสดงมากกว่า จ๋ายยังคงเลือกที่จะทุ่มเทให้กับดนตรีเพราะความรับผิดชอบ “เพราะว่าการแสดงมันคือผมคนเดียว แต่ว่าวงเนี่ยมันมีเพื่อนผมหลายคน มีครอบครัว แล้วยังรวมถึงทีมงานผมอีก แบบโอ้โหหลากหลาย 10 ชีวิตเลย ที่ต้องอยู่ได้ด้วยองคาพยพนี้” การเลือกเส้นทางดนตรีจึงเป็นการเลือกเพื่อคนอื่นมากกว่าเพื่อตัวเอง
“ดังนั้นน่ะเลือกได้ง่ายมากเลย หลัก ๆ ก็คือไทยทศมิตรต้องรอดก่อนครับ นอกนั้นคือความฝันตัวเอง ความสนุกตัวเอง passion ตัวเองอะค่อยไปเอาเวลาที่เหลือจากนั้นก็ได้” จุดยืนนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับส่วนรวมมากกว่าความต้องการส่วนตัว ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในวงการบันเทิง
นอกจากการทำเพื่อเพื่อนและน้อง ๆ ในวง จ๋ายยังมีความสุขในชีวิตด้วยการ ‘ให้’ ซึ่งยังคงเป็นเช่นนั้นมาตลอด 4 ปี และยิ่งให้มากขึ้นในปัจจุบัน “เหมือนเดิมนะครับ แล้วให้เยอะขึ้นนะครับ เหนื่อยกว่าเดิม” เขาขยายขอบเขตการให้จากวงดนตรีของตัวเองไปสู่การดูแลศิลปินรุ่นน้องในค่ายเพลงที่เพิ่งก่อตั้ง
เมื่อถูกถามว่าอะไรคือแรงขับเคลื่อนชีวิต จ๋ายตอบอย่างน่าสนใจว่า “ความโลภครับ” แต่เป็นความโลภในรูปแบบที่แตกต่าง “ผมโลภความสุขครับ” เขาอธิบายว่าเมื่อเพื่อนในวงเริ่มมีครอบครัว ทำให้เขาต้องหาความสุขใหม่ เช่น การผลักดันและดูแลวงน้องในค่าย
แม้จะผิดหวังกับคนบ่อยครั้ง โดยเฉพาะถูกโกงธุรกิจก่อนตั้งวง แต่จ๋ายก็ยังไม่เข็ดกับการเป็นผู้ให้ “การที่คนทำเลวใส่เราอะ มันไม่ใช่ความผิดผม มันไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะต้องหยุดทำแบบนี้ เค้าต่างหากที่ต้องหยุดเลว” ปรัชญาชีวิตที่เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่นี้ทำให้เขายังคงก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการให้โดยไม่หวั่นไหว
ส่วนความรักในมุมมองของจ๋ายเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เหมือนความรักที่ยายมอบให้เขา “ความรักของผมอะ ผมคิดว่ามันคือความรักที่ยายเคยให้ผมนั่นแหละ รักโดยที่ไม่ได้คาดหวังเลย ไม่มีข้อแม้” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเข้าข้างหรือสนับสนุนในสิ่งที่ผิด แต่เป็นการรักโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นอย่างไรหรือทำอะไร
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงเป้าหมายในอนาคต จ๋ายไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นนักดนตรีหรือนักแสดง แต่เขายังฝันที่จะเป็นพ่อ “ผมจะไม่ทำงานเลย ผมจะเลี้ยงลูกอย่างเดียว” โดยจะเลี้ยงแบบ ‘ติ๊งต๊อง’ คือไม่เครียด ไม่คาดหวัง “ผมแค่อยากจะแค่รักเค้าอะ แล้วก็มอบสิ่งดี ๆ ให้กับเค้าอะ เหมือนที่ยายผมให้ผม” ความฝันนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตทางความคิดและการให้คุณค่ากับสิ่งที่สำคัญในชีวิต
บทสัมภาษณ์ของ ‘จ๋าย ไททศมิตร’ สะท้อนให้เห็นถึงการเดินทางของชายหนุ่มที่ผ่านชีวิตที่ผกผัน จากความเจ็บปวดและถูกทรยศ สู่การเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยหยุดให้ ไม่ว่าโลกจะเลวร้ายเพียงใด ปรัชญาชีวิตนี้ทำให้เขาเป็นมากกว่าศิลปินธรรมดา แต่เป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และการให้อย่างไม่รู้จบ
ที่สำคัญที่สุด จ๋ายได้ค้นพบตัวเองผ่านบทละครและบทเพลง การเดินทางที่ช่วยให้เขาเข้าใจตัวเองลึกซึ้งขึ้น จนสามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้อื่นได้ แม้จะเลือกเส้นทางดนตรีเป็นหลักด้วยเหตุผลของความรับผิดชอบ แต่การแสดงก็ยังคงเป็นความรักและความหลงใหลที่ช่วยเยียวยาและเติมเต็มชีวิตของเขา ทำให้เขาเป็นศิลปินที่มีมิติและความลึกซึ้งอันน่าประทับใจ