แกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ กว่าจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้

แกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ กว่าจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้

เรื่องราวการก้าวผ่านความเป็นแกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ ก่อนจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้

ภายใต้เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ บทเพลงที่เติบโตขึ้นตามวัย ความสดใสที่สะท้อนออกมาทางใบหน้า น้ำเสียง และเสื้อผ้าหน้าผมที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี หากไม่ได้นั่งเปิดใจคุยกันตรงหน้า เราอาจไม่รู้เลยว่า นักร้องสาวเจ้าของเพลงโปรดหลายต่อหลายเพลงของเราและแฟนเพลงจำนวนมาก อย่าง ‘ลุลา’ เคยผ่านประสบการณ์มาแล้วทั้งการเป็น ‘แกะดำ’ ในหมู่เพื่อน, ‘เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์’ ที่ทีมงานไม่อยากทำงานด้วย รวมถึงผู้ที่เผชิญ ‘ภาวะซึมเศร้า’ จากบางเรื่องราวที่กระทบจิตใจ

เจ้าของเพลงดังติดหู เช่น มองได้แต่อย่าชอบ, ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้, ไม่อยู่ในชีวิตแต่อยู่ในหัวใจ, เข้าใจว่าไม่เข้าใจ ฯลฯ ปรากฏตัวที่ออฟฟิศของ The People ก่อนเวลานัด เธอไม่เรียกร้องอะไรมากมายนอกจากน้ำเพียง 1 ขวด พูดคุยซักซ้อมกันอย่างมืออาชีพ ก่อนให้สัมภาษณ์อย่างเป็นกันเอง เพื่อบอกเล่าว่าตัวเองผ่านวันคืนที่มืดหม่นมาได้อย่างไร 

The Moment ชวนติดตามจังหวะชีวิตและแนวคิดของ ‘ลุลา’ กันยารัตน์ ติยะพรไชย นักร้องสาวที่ชีวิตวันนี้หันมาโฟกัสแต่สิ่งที่ ‘ควบคุมได้’ และปล่อยให้ ‘สิ่งที่ควบคุมไม่ได้’ เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต ที่ไม่ต้องเก็บมาทุกข์ร้อนมากนัก… ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์เต็ม ๆ กันได้เลย

แกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ กว่าจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้ พาฝัน: พี่ลุลาเป็นคนที่ช่วยชีวิตใครหลายหลายคน เพราะว่าเพลงของพี่มันฮีลใจได้มาก โดยเฉพาะ เพลงล่าสุด ‘เข้าใจว่าไม่เข้าใจ’

ลุลา: เอาเป็นว่าเอาแต่เพลงไปละกันนะ ส่วนตัวนี้บางทีก็ไม่ค่อยรอดเหมือนกัน แค่รู้สึกว่าเราแบ่งปันได้ด้วยน้ำเสียงด้วยดนตรี ด้วยโมเมนต์ของสามนาทีของเพลงนั้นนั้นก็ก็รู้สึกดีใจมากแล้วค่ะ
 

พาฝัน: เวลามีคนบอกพี่ว่า เพลงของพี่ช่วยชีวิตเค้าเอาไว้ พี่รู้สึกยังไงบ้าง

ลุลา: ก็ดีใจค่ะ เอาจริง ๆ ถ้าพูดในมุมของนักร้องนะ พี่ไม่ใช่นักร้องที่ร้องเพลงเก่งมาก ขอบเขตของความสามารถเรามันค่อนข้างแคบ มัน niche แต่ไอ้ความ niche ของเราเนี่ย มันดันไปโดนเส้นของของบางกลุ่มที่เค้าชอบมากจริง ๆ แล้วพอเรามาจับประเด็นเรื่องอกหัก เราใช้น้ำเสียงที่เป็นความรู้สึก ใช้อารมณ์นํา พอเค้ารับความรู้สึกนั้นได้แล้วเค้าเอาไปใช้กับชีวิตที่เค้าอาจจะเจออยู่ อกหักอะไรอย่างนี้ เค้าก็เลยรู้สึกว่ามันฮีลใจเค้า อยู่เป็นเพื่อนเค้าในวันที่เค้ารู้สึกแย่ที่สุด 

พาฝัน: มันมีบ้างไหม ในขณะที่เราร้องเพลงฮีลใจคนอื่น แต่ใจข้างในเราเองก็ยังแย่อยู่

ลุลา: เป็นเรื่องปกติมาก ส่วนมากศิลปินดูมีพาวเวอร์เยอะ แต่ส่วนมากก็เอาตัวไม่รอดค่ะ อันนี้พูดจริง ๆ มันดูเหมือนเรามั่นใจ มันดูเหมือนเรา โอ้ เป็นผู้หญิงแกร่ง แต่จริง ๆ ก็อ่อนแอทุกวัน เป็นเรื่องปกติค่ะ มันเหมือนเราเอาความรู้สึกของเรามาเป็น inspire ทําเพลงมากกว่า แล้วมันดันไป touch คนหมู่มาก มันก็เลยเกิดเป็นความชื่นชอบร่วมกัน

พาฝัน: พอจะยกตัวอย่างได้ไหม วันที่พี่ fail มาก ๆ แต่ยังต้องร้อง entertain คนดู

ลุลา: น่าจะเป็นตอนร้องเพลง ‘เรื่องที่ขอ’ เพราะว่าช่วงนั้น พี่โปรดิวเซอร์ที่รู้จักกันมานานมาก ตั้งแต่พี่อยู่ม. 4 เค้าอยู่มหาลัย รู้จักกันมา 10 – 20 ปี แล้วอยู่ดี ๆ วันนึงเหมือนเค้าเดินออกจากชีวิตเราไปเลยอะ บอก 2 วันว่าจะไปบวช แล้วก็ไปเลย เราก็อึ้ง จับจุดไม่ถูก ล้มทั้งยืนอะ พอเราต้องกลับมาร้องเพลงเรื่องที่ขอแล้ว เรามานั่งตีความหมายได้ว่า เค้าเขียนเพลงนั้นเพลงสุดท้ายให้เราว่า เรื่องที่เค้าขอคือเค้าไปบวช มันก็เลยกลายเป็นว่า อ้าว ในเพลงคือกูเหรอ? กูนี่นา ช่วงแรกแฟนคลับจะรู้ พี่ก็จะร้องไปแล้วก็หยุดไปเพราะว่าร้องต่อไม่ไหว จะเริ่มรู้สึกได้ว่ามันก็เป็นเพลง ๆ หนึ่งในช่วงชีวิต ๆ หนึ่ง ที่เป็นความทรงจําที่ดี และไม่ดี ปนกัน 

แกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ กว่าจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้ พาฝัน: พี่ลุลาก้าวข้ามช่วงเวลาแบบนั้นมาได้ยังไง

ลุลา: มันก็เหมือนทุกคน ที่มันมีทั้งขึ้นทั้งลงมีทั้งสุขและทุกข์ ความทุกข์บางทีมันยิ่งใหญ่มากเลยนะสมัยเราเป็นเด็ก เราอกหัก เราก็จะรู้สึก ตายละ คือเราจะอยู่ยังไงโดยที่ไม่มีเค้าอะ แต่พอวันรุ่งขึ้น เราก็ยังกินข้าวได้ เราก็ยังไปเรียนหนังสือ ไปทํางานได้ แล้วสักพักเราก็รู้สึกดีขึ้น มันก็ผ่านไปแล้ว แต่ในกรณีพระโตน เค้าคือส่วนหนึ่งของชีวิต แทบจะเป็นแขนข้างหนึ่งของเราอยู่แล้ว มันก็อาจจะใช้เวลานานขึ้นค่ะ แต่วันหนึ่งเมื่อเรามองกลับไปแล้วยิ้มได้ แล้วนึกถึงเรื่องดี ๆ ได้ นั่นก็คือเราข้ามผ่านแล้ว แต่ไอ้ระหว่างทางอะ เหนื่อยนิดนึง ก็ต้องหา option เสริม ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสิ่งของ หรือว่ากิจกรรม ก็ต้องหาวิธีที่ที่จะแก้กันไป 

พาฝัน: ถ้าให้พี่แนะนําคนที่อยู่ในภาวะแบบนี้ พี่จะบอกอะไรเค้า

ลุลา: มันมีอยู่ประโยคนึง ที่แม้กระทั่งจิตแพทย์เองก็ยังตอบไม่ได้ นั่นคือคําว่า “รักตัวเอง” มันคืออะไร? คือเราควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้เลยค่ะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่คนอื่น ขึ้นอยู่ที่ฟ้าฝนเนอะ ขึ้นอยู่ที่บริษัท ขึ้นอยู่ที่อย่างอื่นข้างนอกหมด พี่เคยมานั่งเครียดกับเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ แล้วสุดท้ายคนที่ป่วยทางจิตก็คือเรา ป่วยทั้งกายป่วยทั้งใจ เรื่องนึงที่พี่เคยพยายามถามจิตแพทย์ คือเรื่องของการรักตัวเอง ว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไร มันก็คือทําอะไรก็ได้ที่เราก้าวไปข้างหน้าได้ แล้วมีความสุข และสุขภาพดี แค่นั้นเลย และการที่เรายังยึดติดกับคนนี้ หรืออยู่กับคนนี้ หรือรักคนนี้ แล้วมันทําให้เราแย่ แย่ทุกอย่างเลย แย่ทั้งใจแย่ทั้งกาย แต่ว่าเรายังอยากทําอยู่อะ ตรงนี้แหละที่เราตอบไม่ได้จริง ๆ จิตแพทย์ก็ตอบไม่ได้ว่า การรักตัวเองที่ดีมันคืออะไร

แต่พี่ว่าทุกคนมีคําตอบที่ถูกต้อง ที่พอเหมาะสําหรับแต่ละคน เพราะว่าทุกคนก็ไม่เหมือนกัน บางทีเราพยายามไปปรึกษาเพื่อนหรือพยายามไปยึดคําตอบของกูรู หรือว่าอินฟลูเอนเซอร์ หรือไลฟ์โค้ช แต่ฟังแล้วไม่เอามาใช้ หรือฟังแล้ว แต่ประมวลเป็นคําตอบให้ตัวเองไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นคือถูกที่ถูกเวลา เดี๋ยวคําตอบมันจะมาเอง พี่ระหว่างทางก็ประคองไปก่อน ไม่ให้ตัวเองเจ็บเกินไป ป่วยเกินไป  

ยกตัวอย่างของพี่คือ พี่จะจํากัดสื่อที่เข้าถึงเรา พี่จะไม่ค่อยเอาเรื่องตัวเองไปปรึกษาคนอื่น ปรึกษาน้อยมาก เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเค้าเข้าใจในโลกที่เราเจออยู่หรือไม่ ถ้าเค้าไม่เข้าใจจะะกลับกลายเป็นว่าเค้าจะยิ่งทําร้ายให้เราแย่ลงไป เพราะว่าคําพูดที่เค้าพูดออกมามันไม่ได้กรอง หรือมันกรองมาแล้ว แล้วมันไม่ถูกใจเราอะ ฟังไปแล้วมันยิ่งเป็นเหมือนยาพิษ แทนที่มันจะเป็นยารักษา เรื่องที่สอง คือพี่เชื่อว่า มันรีดไม่ได้ มันเร่งไม่ได้ ต้องใช้เวลาค่ะ พอเราแข็งแรงปุ๊บ แล้วค่อยกลับไปยืนในโลกความจริง เพราะว่าในในจุดที่คนป่วยเป็นซึมเศร้า หรือว่าเป็นโรคไบโพลาร์ หรือแพนิค สมองมันจะแยกแยะไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ละไว้ก่อน

แกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ กว่าจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้

พาฝัน: ในวัย 40 คิดว่าถ้าเจอเรื่องลักษณะแบบนี้อีก เราจะรับมือกับมันได้ดีขึ้นไหมคะ

ลุลา: จริงๆ ถ้าซึมเศร้า มันก็มีอยู่สองแบบ สำหรับพี่เป็นเคสที่ชอบทํางานย้ำคิดย้ำทำ สมมุติทํา presentation เสร็จไปแล้ว พี่ก็จะกลับมาย้อนดูแล้วย้อนดูอีก ว่าทําถูกไหม เนื่องด้วยอาชีพก่อนหน้าเป็นนักร้อง ต้องลง detail เยอะ เลยกลายเป็นคนที่เหมือนย้ำคิดย้ำทำ บวกกับเป็นคนคิดมากว่าคนนี้จะเกลียดเราไหม หรือเราทำแบบนี้แล้วคนนี้จะไม่พอใจไหม สุดท้ายกลายเป็นว่าคนพวกนั้นคือไปถึงไหนถึงไหน กลับบ้านนอนชิล ดูซีรีย์ ไอ้เราอ่ะนั่งคิดวนอยู่คนเดียวจนป่วย กระทบจิตใจ แล้วก็ทําให้นอนไม่หลับยาวเลยค่ะ หาหมอยาวเลย

พาฝัน: อย่างนี้สังคมควรจะต้องมี empathy มากขึ้นไหมคะ

ลุลา: จริงๆ ถ้าเราเป็นคนที่มีจิตเมตตา ดีค่ะ เป็นเรื่องดีเสมอ แต่เราต้องจิตเมตตาให้ถูกคน คือเป็น ‘คนดี’ กับเป็น ‘คนที่เข้าใจโลก’ มันควรจะต้องอยู่คู่กัน เพราะว่าถ้าเป็นคนดีแต่ไม่เข้าใจโลกก็โดนเอาเปรียบ แต่ถ้าเป็นคนดีที่เข้าใจโลก มันก็จะสามารถเอาตัวรอดในสังคมได้ มันต้องเจอคนไม่ดีอยู่แล้ว ในโลกใบนี้คุณคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ได้เขียนไว้บนหน้าผากเลยว่า คนนี้ดีหรือไม่ดี แต่ว่าพอเราอยู่กับเค้า เราะจรู้สึกได้แล้วว่ามันแปลก ๆ 

พาฝัน: แปลก ๆ ของพี่คือยังไงบ้าง

ลุลา: ก็อาจจะเคมีไม่ตรงกัน ทัศนคติไม่ตรงกัน เชื่อไม่ตรงกัน แล้วก็มีความไม่เมตตาในจิตใจ ศีลไม่ตรงกับเรา เราอยากอยู่กับคนที่ match กับเรามากกว่า คือทุกคนมันมี dark side แล้วก็มี bright side อยู่แล้ว ถ้า dark side ของเรา มันไม่ตรงของเค้า ของเค้า dark กว่า หนีดีกว่า  

พาฝัน: จนถึงวันนี้อยู่ในวงการมากี่ปีแล้วคะ 

ลุลา: ก็ 20 ปี แต่ว่าถ้านับลุลาปี 2550 ประมาณ 16 - 17 ปี 

พาฝัน: ความสุขในการร้องเพลง ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มันเปลี่ยนไปยังไงบ้างคะ

ลุลา: พี่ว่ายิ่งอยู่นานมันจะยิ่งเปลี่ยนค่ะ แรก ๆ เหมือน อุ๊ย ได้ร้องเพลงที่ชื่นชอบ ก็มีความสุขแล้ว มันก็ดูใส ๆ ดี พอเริ่มโตขึ้นแล้วเราเจอคนเยอะ เจอเรื่องราวเยอะ เจอปัญหาเยอะ พี่ก็จะชอบบาง process ของการเป็นนักร้อง อย่างเช่นตอนช่วงทําเพลง อยู่ในห้องอัด จะชอบ สนุกมาก แล้วก็หลัง ๆ จะชอบเวลาที่ทํา production ค่ะ เหมือนเราได้เห็นงานจาก power point ของเรา กลายเป็นงานจริง ทุกอย่างเป็นดั่งใจ ก็จะ happy ยิ่งเจอคอนเสิร์ตที่คนดูเป็นของเรา โอ้โห เหมือนเด็กได้ของเล่น เรารู้สึกว่า  จากโลกที่เราเป็นแกะดํามาทั้งหมดทั้งชีวิต นี่แหละคือที่ของฉัน     

พี่รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ จากเด็กจนโตมันเหมือนเราเป็นคนที่ซับซ้อน แยกตัวออกมา มันไม่ค่อยสังคม แล้วบางทีก็เข้ากับบางคนไม่ได้ พอโตขึ้นมาแล้วเจอแฟนเพลงเจอทีมงาน เจออะไรที่เป็นของเรา โอ้โห มันคือเรารู้สึกแย่วันนั้น เพื่อมารู้สึกดีมาก ๆ ในวันนี มันก็คุ้มค่าที่จะต้องรอ

แกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ กว่าจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้ พาฝัน: ขยายความคําว่า ‘แกะดํา’ ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ 

ลุลา: จริง ๆ มันต้องอยู่ที่ครอบครัว สังคมด้วยค่ะ เผอิญว่าบางทีพี่อาจจะสื่อสารกับคนในบ้านไม่เข้าใจ หรือว่าสื่อสารกับเพื่อนไม่เข้าใจ สิ่งที่เราชอบอาจจะเป็นสิ่งที่แปลก ๆ สําหรับเค้า แล้วเราก็กันออก หรือว่าถูกห้ามไม่ให้ทํา เออ มันจะรู้สึกเศร้าว่าทําไมเค้าถึงไม่เข้าใจ ทําไมเพื่อนถึงไม่ให้เราเข้ากลุ่ม เพียงเพราะว่าเราไม่ได้ทําเหมือนเค้า เราไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมเดียวกับเค้า เราต้องแยกตัวออกไปเรียนบัลเล่ต์ หรือร้องเพลง มันก็เป็นคําถามตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาแล้วพี่มาเจออย่างพี่เต็ดหรือพระโตนที่มาทำเพลงด้วยกัน พี่ถึงเข้าใจว่า อ๋อ คนที่มันถูกกันออกมาตั้งแต่เด็กอะ มันมารวมอยู่แถวนี้ เราแค่ไม่เคยเจอกันเท่านั้นเอง แค่เราอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่พอเข้ามัธยมปลาย โอ้ เพื่อนดีมาก ชอบร้องเพลงเหรอ ไปประกวดร้องเพลงเหรอ ไปเลย แต่ว่าเดี๋ยวถ้าซ้อมที่โรงเรียนนะ เดี๋ยวเราจะไปเชียร์เธอ เออ เราเลยรู้สึกว่า จริง ๆ กูอยู่ผิด

เราผิดตรงไหนอะ ที่เราไม่ไปดักตบรุ่นพี่กับเธอหลังโรงเรียน เพราะเราต้องเป็นเรียนบัลเล่ต์ ทุกวันนี้มันยังมีเพื่อนเราบางคนที่รู้สึกว่า เราไม่กล้าไปทะเลาะกับรุ่นพี่เป็นเพียงเพราะว่าเรากลัวที่จะต้องทะเลาะกับรุ่นพี่ เปล่าเลย แม่กูจ่ายค่าเรียนแพงมาก กูต้องไป แล้วกูต้องได้ที่หนึ่ง เพราะว่าเงินมันหายาก คือมันเป็นเหตุผลที่เค้าไม่เข้าใจอะ 

แล้วก่อนที่จะมาเป็นลุลา พี่ก็ใช้เวลานานโดยที่ไม่ได้บอกใครเลยค่ะ เรื่องทําเพลง เข้าห้องอัด หลายเดือนมาก แต่ไม่ได้บอกใครเลย เป็นคนที่เหมือนเนิร์ดอะค่ะ ชอบ อยากทํา แล้วก็มุ่งพุ่งไปโดยที่ไม่มีอะไรขัดขวางเราได้ หมกมุ่นอยู่กับตรงนั้น 

พาฝัน: จากแกะดำ เลยนำมาสู่ความเป็นเพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์

ลุลา: คิดว่าน่าจะมีคนที่ทํางานด้วย สมัยที่เป็นลุลาแรก ๆ เนื่องด้วยเราทํางานเบื้องหลังมาก่อน เราก็มีความเพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ เคยไปพูดหลายรายการว่าเป็นคนเพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ แล้วเค้าถามว่าทำไมพี่ถึงสักคะ หนูว่าพี่ไม่ได้เป็นเพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์หรอกค่ะ พี่เป็นคนเรื่องมาก หรือมีคอมเมนต์ที่เราอ่านแล้วเรารู้สึกได้ว่านี่คือการคอมเมนต์จากคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะว่าเราทํางานมาหลายปีแล้วเราก็เพอร์เฟคชั่นนิสต์ใส่ทุกคน จนมันมีทีมงานแกรมมี่บางคนที่ก่อนหน้าที่ทํางานกับเรา ก็ไม่มีใครอยากทํากับเรา เพราะว่าเราเป๊ะมาก 

แต่ถามว่าพอเราป่วยเป็นซึมเศร้าปุ๊บ เราพยายามทําลายความเป็นเพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ ตัวเอง โดยการที่ทําอะไรให้เสร็จแบบลุ่ย ๆ แล้วทนมันให้ได้ สมมติว่าสมัยก่อนเราทํา presentation นะ โอ้ย มันไม่เรียบร้อยอะ font มันเบี้ยว หรือว่าเขียนไม่สวย หรือ power point ไม่สวย เราก็ต้องกลับมาแก้จนมันเป๊ะ มันสวย พอป่วยเป็นซึมเศร้าแล้ว เรารู้สึกว่าเราไม่เอาอะไรแล้ว เพราะว่าเรื่องพวกนี้มันทําให้เราไม่สบาย เราก็ไปสักเลยค่ะ หรือทําอะไรก็ได้ที่ทําให้ตัวเองรู้สึกว่าไร้ระเบียบที่สุดในโลก ทำลายกําแพงให้หมด หรือทำงานฝีมือ ทักโคเชต์ 10 แถว ก็ไม่ต้องให้มันเป๊ะ ให้มันใหญ่บ้างเล็กบ้าง เพราะมันคืองาน handmade เราก็เลยมองว่าดีขึ้นนะคะ คือจากคนที่ทุกอย่างต้องเป๊ะ พี่ก็จะมองเป็นว่า อ่ะ จะแก้ปัญหายังไง ถ้าเกิดว่ามันมาแล้วไม่ถูกใจเรา ไม่ได้มาตรฐานอย่างที่เราคิดเอาไว้ จะแก้ปัญหามันยังไง แล้วพอแก้ไปแล้ว เราก็เลิกคิดแล้ว จบ ปิดจ๊อบ อันใหม่ต้องดีกว่านี้ ปัญหาที่เคยเจอต้องระวังไว้ อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก แต่ถ้ามันเกิดขึ้นอีก ก็แก้ให้จบ แล้วก็ไปอันถัดไป คือมันเป็นวิธีที่ทําให้เราเลิกป่วย สลัดนิสัยเก่า ๆ ออกไปให้หมดเลยค่ะ

พาฝัน: คนรอบข้างมีปฏิกิริยากับเราเปลี่ยนไปไหม หลังจากที่เราพยายามเปลี่ยนตัวเอง

ลุลา: ตอนนี้ยอมรับว่า ที่แกรมมี่เนี่ย เด็กจะอายุน้อยลง ที่มาทําเบื้องหลังให้เรา น้องที่แต่งเพลงให้เราล่าสุด อายุ 21 เป็นลูกเราอะ เราก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเราสามารถทํางานกับเด็กที่เด็กลงไปเรื่อย ๆ ได้ แล้วมันยังเข้ากันได้ หรือทัศนคติโอเค ก็แปลว่าเรายังทันยุคทันสมัยอยู่ ก็ไม่ได้บอกให้เค้าปรับมาเป็นเรา เป็นการปรับคนละครึ่ง แล้วก็เจอตรงกลาง มันก็คือการ collaboration ที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

พาฝัน: พี่พูดคำว่า ‘ตกยุค’ พี่กลัวไหมคะว่าคนจะมองว่าเราตกยุค 

ลุลา: คนเขียนด่ามานานแล้วค่ะเรื่องตกยุค ตั้งแต่ไปร้องเพลงโจอี้ชื่อเพลงฮักได้บ่อ มันจะมีแฟนคลับของโจอี้ที่เขียนประมาณว่า ไม่ต้องเอาลุลามาร้องแล้ว มันตกยุคไปถึงไหนแล้ว อ้าว กูยังมีเพลงออกทุก 3 เดือนนะ กูตกยุคตรงไหน? คือเขาใช้อารมณ์ ไม่มีเหตุผล เราอ่านครั้งแรกเราก็หงุดหงิด แต่อ่านไปสักพักแล้วก็แบบ อ้าว ก็มันไม่เข้าใจ มันแค่เขียนเพื่ออารมณ์ คือศิลปินใหม่ มันไม่ใช่เรื่องยาก ศิลปินมันเกิดใหม่ทุกวัน แต่ถามว่าศิลปินที่อยู่ไป 20 ปี อยู่ได้ไหม คือถ้าด่าเราตอนนี้ แล้วตอนที่เธออยู่มานานเท่าเรา แล้วอยู่เท่าเราอะ เธอทําได้ดีกว่านี้หรือเปล่า มันก็ต้องมาเทียบกันตอนนั้นเพราะฉะนั้นเธอด่าตอนนี้ ฉันก็อาจจะรู้สึกแย่ไปแป๊บนึง แล้วฉันก็ไปทํางานของฉันต่อ ส่วนมากทุกครั้งที่รู้สึกดาวน์อะค่ะ จะบอกตัวเองว่าเลิกคิด เอาเวลาไปทําโปรเจกต์ใหม่ที่มันดีกว่าเดิมดีกว่า เรายังมีอะไรสําคัญที่ต้องทําอีกเยอะ 

แกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ กว่าจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้ พาฝัน: มาเรื่องนิยามความรักกันบ้างดีกว่า นิยามความรักของพี่แตกต่างไปจากเดิมยังไงบ้าง 

ลุลา: มันแตกต่างจากเดิมไหม น่าจะรักได้มากเท่าเดิม ที่เรารับมือกับความรักน่าจะดีขึ้น คือเอาจริง ๆ พี่ไม่ใช่คนที่ไตร่ตรองเรื่องความรักมาก หมายถึงว่าถ้าใจคิดแบบนี้ก็ตามนี้เลย แล้วถ้าเขาไม่รักเรา เราก็จะเหี่ยวนิดนึง พอมีคนปฏิเสธเรา self-esteem หรือความมั่นใจในตัวเอง มันจะตกลงนิดนึง เป็นเรื่องปกติมั นไม่ได้หมายความว่าเราไม่สวยหรือเราไม่ดี ก็แค่มันไม่รักเราอะ ความรักมันเกิดจากคนสองคน เธอจะรักฉันที่ภายนอก หรือฉันจะรักเธอที่ความสามารถ ก็ได้ มันแล้วแต่คน แต่ว่าการที่เค้าไม่รักเรา มันไม่ได้หมายความว่าเราดีน้อยลงอะค่ะ หรือเราไม่สวยมัน ก็จะเป็นเหตุผลของเค้าอ่ะ เค้าอาจจะรักคนอื่นมากกว่า หรือเขาอาจจะไม่ได้รักเราขนาดนั้น แล้วสักพักนึงก็เบื่อเรา หรือเค้าอาจจะรักตัวเองมากกว่า เค้าก็เลยคิดว่า พอใครเข้ามาในชีวิตก็ไม่ได้สําคัญเท่ากับตัวเขาเอง มันมีหลายเหตุผล

เพราะฉะนั้นคือมันรู้สึกแย่ลงแน่นอน ไม่รู้ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร ที่เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง แต่ว่าเมื่อวันเวลามันมันผ่านไป พอเราเลิกคิดถึงเค้าได้ สักพักเราเริ่มมีโปรเจกต์งาน หรือว่าโปรเจกต์ส่วนตัว งานฝีมือ หรือกิจกรรมอะไรที่เพิ่มขึ้นมา พี่ก็จะเริ่มลืม แต่ถามว่ากลับไปนั่งนึกถึง ก็ยังจําได้ทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องราว ทุกรายละเอียด แล้วก็ยังรู้สึกเสียใจ แย่กับการที่เราไปด้วยกันไม่ได้ หรือเค้าทิ้งเรา หรือเค้าไม่รักเรา แต่ถามว่ามันจะทําให้เราเป็นคนที่สวยน้อยลงหรือเก่งน้อยลงไหม ไม่ เออแล้วเราก็ไม่ได้คิดด้วยว่า ถ้ากูเก่งขึ้น หรือกูสวยขึ้น แล้วมึงจะกลับมา กูไม่เอาแล้ว!

พี่เป็นคนที่เหมือน เลิกแล้ว พี่จะเดินไปข้างหน้า แต่ถ้ามันมีปัจจัยอื่น อย่างเช่น พ่อแม่เค้าไม่ชอบเรา แต่เรายังรักเค้าอยู่ มันก็อาจจะกลับมาคบกันได้ แต่ว่าถ้ามันเป็นเหตุผลที่เราสองคนไม่เข้ากันจริง ๆ หรือมันทําเลวกับเราไว้ พี่ก็จะเดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่หันหลังกลับมาเลย 

พาฝัน: มันจะมีเพื่อนที่คอยยุกันว่า เฮ้ย มึงต้องดีขึ้น มึงต้องสวยขึ้น เก่งขึ้น เพือ่ให้เค้าเสียดาย 

ลุลา: เข้าใจ แต่ว่าถ้าเรายังอยากให้เค้ากลับมา มันก็อาจจะเป็นไปได้นะคะ แต่ถ้าไม่ได้เค้ากลับมาแล้ว เราจะทำทําไมอะ เราเสียเงินไปกับมันตั้งเยอะ ทําเพื่อตัวเองดีกว่า 

แล้วที่สําคัญคือ พี่เคยคิดนะ หลังจากที่เลิกจากแฟนเก่าไป พี่เคยคิดว่าพี่จะไม่มีแฟนแล้ว จะอยู่เหมือนโสด เราคงไม่มีลูก กะว่าเนี่ยเป็นแค่เลดี้เลี้ยงแมวไป แล้วก็อาจจะมีกุ๊กกิ๊กกั๊ก ก็ไม่คิดว่าจะมีแฟน แล้วอยู่ดี ๆ วันหนึ่งก็มีคนที่น่ารักดีเดินเข้ามา จนวันหนึ่งเค้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา จริง ๆ แล้วเราก็รู้สึกได้ว่ามันมีเหตุผลอะไรบางอย่างค่ะ ที่เราไม่ได้อยู่กับคนนั้น เพราะว่าเราจะต้องอยู่คนนี้ แต่เราไม่ได้มองว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่ตลอดไป เหตุผลมันมีเป็นหมื่นเป็นล้านเหตุผล ไม่ใช่เราก็เค้า ไม่ใช่เค้าก็บุคคลที่ 3 ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ 3 ก็คือจักรวาล มันบอกว่า เออ เราไม่รักกันแล้ว แค่นั้นเอง

พาฝัน: ฟังพี่ให้สัมภาษณ์ในหลายรายการ รวมถึงคําตะกี้คือ ‘จักรวาล’ ที่หลุดออกมาเหมือนพี่เชื่อในเรื่องจังหวะชีวิต เรื่องของสิ่งที่ถูกกําหนดมา โชคชะตา

ลุลา: ก็นิดนึง แต่ถามว่าเป็นสายมูไหม แบบดูดวง ไม่ค่อยนะคะ พี่ดูดวงใหญ่ ๆ ตอนตอนก่อนเป็นลุลา แล้วก็ไม่ดูอีกเลย แล้วหลังจากนั้นก็รู้สึกว่า ก็อยู่ที่เราว่าจะกําหนดมันยังไง แต่ไอ้ที่บอกว่าจักรวาลมันจะจัดมาให้ ธรรมชาติมันจะจัดสรรมาให้ มันก็เป็นเรื่องของสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้นั่นแหละ มันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นศาสนาใดหรืออะไ รแต่พี่เชื่อว่าทุกอย่างมันถูกกําหนดมาในรูปแบบของสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ เพราะฉะนั้นคือเลิกกังวลเถอะ ไปควบคุมอย่างอื่นละกัน ควบคุมแคลอรี่ หรือควบคุมว่าวันนี้เราจะเล่นกีฬาอะไร หรือเราจะไปเจอใคร 

พาฝัน: อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดเมื่อพูดถึง ‘ความรัก’ คะ

ลุลา: มันน่าจะทําให้เรารู้สึกปลอดภัยบ้างคะ โดยที่เราไม่ต้องกลัวว่าในอนาคตเราจะต้องเจออะไรอีก เพราะเรารู้ว่ากลับบ้านมาแล้วก็จะมีคน ๆ นี้ที่คอยบอกเราว่า โหยดีใจด้วยนะ หรือว่า เอ้ย ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องไห้นะ เรารู้สึกว่ามนุษย์ทุกคนน่ะ ถึงแม้เราจะเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีแค่ไหนแล้ว มั่นใจในตัวเองแค่ไหนอะ มันจะต้องมีเหมือน puzzle สักอันนึงที่มันขาดหายไป ไม่ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเองที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแฟนนะคะ หรือกระทั่งพื้นที่ที่เราต้องการใครสักคน พี่รู้สึกว่ามนุษย์ทุกคนต้องการใครสักคนนึง ต่อให้เป็นคนที่สันโดษแค่ไหน introvert แค่ไหน มั่นแค่ไหน เก่งแค่ไหน ก็ต้องการใครสักคนหนึ่งที่มา support ตรงนั้น อาจจะมาในรูปแบบของเพื่อนครอบครัว แฟน ลูก แค่ใครสักคนนึงที่เข้าใจ มันเป็นสิ่งจําเป็นในชีวิต เอางี้ดีกว่า มันเหมือนเรากลับมาบ้าน เราต้องมีเตียง แล้วก็นอนเตียงที่ไหนไม่ได้เลย ต้องเป็นเตียงที่บ้านเท่านั้น สําหรับพี่มันเหมือนปัจจัย 4 นอกเหนือจากมือถือแล้ว ก็จะมีใครสักคนนึงก็ได้ค่ะ เพศไหนก็ได้ ของหรือเป็นสิ่งมีชีวิตก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่คนก็ได้ ที่มันเป็นของเราจริง ๆ  

แกะดำ ซึมเศร้า เพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์ กว่าจะมาเป็น ‘ลุลา’ ในวันนี้ พาฝัน: ผลงานต่อไปของพี่จะเป็นเพลงอกหักอีกไหมคะ

ลุลา: ไม่อกหัก เป็นเพลงน่ารักอบอุ่น แบบต้อนรับแฟนคลับ น่าจะเป็นปีหน้าเลยค่ะ

พาฝัน: รอติดตาม แล้วก็อวยพรให้พี่ลุลาแข็งแกร่ง เพื่อที่จะมาทําเพลงดี ๆ ให้พวกเราฟัง

ลุลา: ฟังดูเหมือนเราแข็งแกร่ง ไม่ค่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่ถามว่าโมเมนต์ที่ดี มีค่ะ มีแล้วก็แบ่งปันค่ะ