06 พ.ค. 2564 | 12:35 น.
/ I walked across an empty land I knew the pathway like the back of my hand / รูปถ่ายหนึ่งรูป (หรือหลายรูป) ยังนอนนิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในวันที่เราล้วนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับความทรงจำในรูปถ่ายที่ล้วนตกตะกอนอยู่ภายในลิ้นชักความทรงจำและถูกทับด้วยเรื่องราวใหม่ ๆ ที่พอกพูนขึ้นตามประสบการณ์ชีวิต หากเมื่อถูกสะกิดด้วยภาพโพลารอยด์สักใบ คำพูดสักหนึ่งคำ สถานที่สักแห่งหน หรือบทเพลงสักหนึ่งเพลง เรื่องราวเหล่านั้นก็ราวกับถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นอีกครั้ง และกำลังเชิญชวนให้เราเข้าไปสัมผัส สำหรับใครหลาย ๆ คน บทเพลง ‘Somewhere Only We Know’ เป็นเพลงแบบนั้น – เพลงที่เปิดฟังครั้งใดก็ราวจะย้อนช่วงเวลาแห่งวันวานให้กลับมาเต้นรำตรงหน้า ท่ามกลางเมโลดี้ไพเราะของเปียโนที่เหมาะเจาะกับเสียงร้องเปี่ยมอารมณ์และเนื้อเพลงเหมือนถ้อยโคลงจากนิทานภาพสำหรับเด็ก คำ ‘Somewhere’ ภายในเพลงนี้ทำให้เราหวนนึกถึงสถานที่และบรรยากาศที่เคยคุ้นแต่ตอนนี้ห่างหาย และปรารถนาอย่างจริงใจที่จะกลับไปยัง ‘ที่แห่งนั้น’ อีกสักครั้ง ไม่เพียงแต่สำหรับคนฟังจากทั่วโลกเท่านั้น แม้แต่ศิลปินทั้ง 3 คนจากวง Keane เอง บทเพลงนี้ก็เป็นเพลงสำคัญสำหรับพวกเขา ที่ไม่ว่าจะหยิบมาร้องหรือเล่นครั้งใด ก็คล้ายกับจะย้อนความสุขในวัยเยาว์ก่อนหน้าที่จะกลายเป็นวงดังให้คืนกลับมาเหมือนเคยทุกครั้งไป กลับไปที่จุดเริ่มต้น “ผู้คนตีความความหมายของเพลง ‘Somewhere Only We Know’ ไว้ต่างกันมากมาย แต่สำหรับผมเพลงนี้หมายถึงช่วงวัยแรกรุ่นที่เรา (สมาชิกวง Keane) ได้นั่งบนพื้นด้วยกันและสูบกัญชา ผมนึกถึงสถานที่นั้นทุกครั้งที่เปล่งเสียงร้องมัน” ท่ามกลางเสียงเปียโนที่เล่นวนด้วยเมโลดี้คุ้นหู ‘ทอม แชปลิน’ (Tom Chaplin) คือนักร้องนำที่ใช้เสียงนุ่ม ๆ ของเขาร้องเพลง ‘Somewhere Only We Know’ รอบแล้วรอบเล่ามาตั้งแต่วันที่เพลงนี้ถูกเผยแพร่ให้โลกได้ฟังพร้อมอัลบั้ม ‘Hopes and Fears’ เมื่อปี 2004 โดยที่ภายในใจของนักร้องนำคนนี้กำลังนึกถึงภาพความสุขในอดีต - บนสนามหญ้าในหมู่บ้านเล็ก ๆ ในอีสต์ซัสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ สมาชิกวง Keane ที่ล้วนเป็นเพื่อนสมัยเด็กของกันและกันกำลังนั่งพ่นควันปุ๋ย พูดคุย และปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับช่วงเวลาแสนสุขอันยากจะลืมเลือน วัยเด็กของสมาชิกวง Keane นั้นเติบโตมาอย่างเรียบง่ายในแบตเทิล เมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ หากชีวิตบนเส้นทางดนตรีของพวกเขาได้มาบรรจบกันเมื่อเพิ่งผลัดใบจากวัยเด็กและย่างเข้าวัยรุ่นตอนต้น ภายในรั้วโรงเรียนทอนบริดจ์ เมืองเคนต์ ทิม ไรซ์-ออกซ์ลีย์ (Tim Rice-Oxley) มือเบส และ ริชาร์ด ฮิวจ์ส (Richard Hughes) มือกลอง เริ่มมองหาสมาชิกสำหรับก่อตั้งวง พวกเขาได้ชักชวน โดมินิค สก็อตต์ (Dominic Scott) เพื่อนชาวไอริชให้เข้าร่วมในฐานะมือกีตาร์ พร้อมกับรอคอยจนกว่า ทอม แชปลิน ที่เด็กกว่าพวกเขาสามปีจะพร้อม และยกตำแหน่งนักร้องนำให้เขา ในวัยเยาว์ที่สุ้มเสียงเพิ่งแตกหนุ่มอย่างนั้นเองที่วงดนตรี ‘Lotus Eaters’ ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง พร้อมกับมิตรภาพในวันวานของเด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกขณะ เริ่มต้นด้วยการเป็นวงดนตรี cover และขึ้นโชว์ในงานโรงเรียนเพื่อสั่งสมประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็น ‘Keane’ และเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมฯ ปี 1999 วงดนตรีวงนี้ก็เริ่มออกเดินทางจากเมืองเคนต์ มุ่งหน้าสู่มหานครลอนดอนเพื่อหวังให้ค่ายเพลงสักค่ายสนใจในตัวพวกเขา และลงท้ายด้วยการเซ็นสัญญา
ผลัดใบด้วยเสียงเปียโน ความฝันของ Keane พังลงครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากวันนั้น แม้ว่ายังพอจะหาเวทีสำหรับขึ้นแสดงแลกเงินประทังชีวิตได้บ้าง แต่กลับไม่มีค่ายเพลงค่ายไหนสนใจรับพวกเขาเข้าอ้อมกอดอย่างที่หวัง หลังจากผ่านไปสองปี โดมินิคก็ถอดใจ เขาถอนตัวออกจากวงและทิ้ง Keane ให้กลายเป็นวงบริตป็อปไร้กีตาร์ ท่ามกลางความรู้สึกว่า ‘ทุกอย่างกำลังจะจบเห่’ ที่รัวกระหน่ำในจิตใจสมาชิกที่เหลือ จุดเปลี่ยนครั้งนั้นนั่นเองที่ทำให้ Keane กลายเป็น Keane อย่างที่เราได้เห็นและได้ฟังในทุกวันนี้ / So tell me when you're gonna let me in I'm getting tired and I need somewhere to begin / หลังการจากไปของโดมินิค ทิมก็ตัดสินใจแขวนเบสเข้ากับผนัง แล้วหันหน้าเข้าหาคีย์บอร์ดและเปียโนเพื่อบรรเลงเมโลดี้ในส่วนที่ขาด กลายเป็นต้นกำเนิดวงดนตรีที่ขับเคลื่อนด้วยเปียโนอย่างเช่นปัจจุบัน “ผมไม่เคยเล่นเบสเก่งอยู่แล้ว และก็พบว่าตัวเองเล่นเปียโนเก่งกว่ามาก (ทิมเคยฝึกคลาสสิกเปียโนจนเล่นได้ช่ำชอง และเมื่อรู้สึกเบื่อเขาก็ย้ายไปเล่นคีย์บอร์ด) ผมกับทอมมักจะขึ้นเวทีสองคนบ่อย ๆ และค่อย ๆ เลียแผลจากความผิดหวังให้กัน ท้ายที่สุดเราก็ไม่มีเงินพอจะอยู่ในลอนดอนอีกต่อไป เราระหกระเหินกลับแบตเทิล ใช้บ้านพ่อกับแม่ของผมเป็นสตูดิโอ” ท่ามกลางความผิดหวังที่รุมเร้าและเปียโนตัวเก่าที่บ้าน ทิมนั่งลงหน้าเครื่องดนตรีชิ้นหากินของเขา ประดับมือเข้ากับคีย์ ในหัวมีเสียงดนตรีบางส่วนเสี้ยวจากเพลง ‘Heroes’ ของเดวิด โบวี เป็นจุดเริ่มต้น เขาใช้เสียงเปียโนต่างริทึมกีตาร์ และเริ่มร้อยเรียงท่วงทำนองทั้งหมดออกมาจากภาพหนึ่งภาพในความทรงจำ “เพลงนี้เกี่ยวกับการมีผู้คนให้พักพิง ผมเห็นภาพสถานที่หนึ่งแบบราง ๆ เป็นที่ในซัสเซกซ์ที่เราเคยไปบ่อย ๆ ตอนเด็ก ที่นั่นมีต้นสนที่กำลังผลัดใบ ดูคล้ายสถานที่สำหรับหลบหนีความจริงสำหรับวงดนตรีที่ล้มเหลวอย่างเรา ก่อนหน้านั้นไม่นาน ริชาร์ดส่งภาพหนึ่งมาให้ผมดู เป็นภาพที่เราสามคนเคยถ่ายด้วยกันที่นั่น ตอนนั้นเราน่าจะอายุสัก 11 ปี ผมคิดว่าจิตใต้สำนึกของผมคงนึกถึงรูปใบนั้นตอนที่เขียน ‘Somewhere Only We Know’” / I came across a fallen tree I felt the branches of it looking at me Is this the place we used to love? Is this the place that I’ve been dreaming of? / Somewhere สำหรับทุกคน หลังจากทิมร้อยเรียงจนได้เนื้อร้องและเปียโนทั้งหมด เขาเล่นเพลงเพลงนี้ให้ริชาร์ดฟัง ท่ามกลางคำว่า ‘นี่มันเยี่ยมไปเลย’ ที่มือกลองประจำวงพูด เขาก็ได้เสียงกลองเข้ามาเพิ่มในเพลงจนครบถ้วน ผนวกกับการถ่ายทอดเนื้อร้องด้วยเสียงของทอม และการอัดเสียงเบสด้วยคอมพิวเตอร์ เดโมเพลง ‘Somewhere Only We Know’ ก็พร้อมแล้วสำหรับการบรรจุซองและส่งไปยังค่ายเพลง แม้จะถูกเมินเฉยและเงียบหายจากค่ายเพลงแรกที่พวกเขาส่งเดโมไป แต่ท้ายที่สุด ปี 2003 พวกเขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงอย่าง ‘Island Records’ และปล่อยอัลบั้ม ‘Hopes and Fears’ ในปีถัดมา บทเพลง ‘Somewhere Only We Know’ กลายเป็นเพลงฮิตทั้งสองฟากของแอตแลนติก - ทั้งในอังกฤษและอเมริกา พาให้ Keane ได้รับรางวัลจากเวที Brit Awards ถึงสองรางวัล คือ Best British Breakthrough Artist และ Best British Album นอกจากนั้นเพลงนี้ก็ยังเป็นเพลงจาก Keane ที่ยังคงขึ้นแท่นเพลงโปรดของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับคำพูดของทอมที่เราได้ยกมากล่าวไว้ในช่วงต้นของบทความ แม้สำหรับทิมเพลงนี้จะทำให้เขานึกถึงต้นสนที่กำลังผลัดใบและรูปถ่ายที่ริชาร์ดส่งให้ดู หากสำหรับทอม เพลงนี้ได้พาเขาย้อนเวลาไปยังอีกสถานที่ - สนามในหมู่บ้าน และการแอบพ่อแม่ที่ออกไปทำงานสูบกัญชา สำหรับผู้คนบนโลกทั้งใบที่ได้ฟังเพลง ‘Somewhere Only We Know’ ก็คงจะมี ‘Somewhere’ ที่แตกต่างกันไป และมีเรื่องราวภายใต้บทเพลงที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนไปคนละรูปแบบกัน “ในฐานะคนวัยหนุ่ม เราไม่ได้คุยเรื่องความรู้สึกกันมากนัก เพราะงั้นมันเลยออกมาผ่านเสียงเพลงเสียมากกว่า ผมเคยถามทิมเสมอว่าแต่ละเพลงที่เขาแต่งมีที่มาจากอะไร ถ้าเขาเขียนเพลงอกหัก ผมก็รู้จักคนที่หักอกเขา ไม่ว่าจะเป็นแฟนเก่าหรือใครก็ตาม “มีการตีความมากมายในอินเทอร์เน็ตว่า ‘Somewhere Only We Know’ เป็นเพลงเกี่ยวกับอะไร สำหรับผมนะ มันเกี่ยวกับสถานที่ที่เราโตมาอย่างสงบและเรียบง่าย - พ่อกับแม่ไปทำงานแล้วเราก็นั่งลงกับพื้น สูบกัญชาแล้วก็ไปเที่ยวกัน มันเล่าถึงความเป็นเพื่อนของเราและการเติบโตของเราในฐานะ ‘Keane’ น่ะ” นักร้องวง Keane ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian แล้ว ‘Somewhere’ สำหรับคุณล่ะ ย้อนวันวานพาคุณไปยังสถานที่แห่งใด? / And if you have a minute, why don’t we go Talk about it somewhere only we know? This could be the end of everything So why don’t we go somewhere only we know? / ที่มา: https://www.theguardian.com/culture/2019/sep/17/how-we-made-keane-somewhere-only-we-know-tom-chaplin-time-rice-oxley https://www.vice.com/en/article/59nd8n/keanes-hit-somewhere-only-we-know-is-apparently-about-smoking-weed https://www.allmusic.com/artist/keane-mn0000857621/biography (Photo by Brian Aris/Live 8 via Getty Images)