วิเคราะห์เพลง ‘Flower’ ผลงานโซโล่ครั้งแรกของ ‘จีซู’ นัยของธรรมชาติ ผู้หญิง ดนตรี และแฟชั่น

วิเคราะห์เพลง ‘Flower’ ผลงานโซโล่ครั้งแรกของ ‘จีซู’ นัยของธรรมชาติ ผู้หญิง ดนตรี และแฟชั่น

‘จีซู’ (Jisoo) พี่สาวของ BLACKPINK ปล่อย MV เพลง ‘Flower’ ผลงานเพลงโซโล่ครั้งแรกของเธอเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2023 ภาพที่ปรากฏใน MV เต็มไปด้วยนัยของธรรมชาติ ผู้หญิง ดนตรี และแฟชั่น

  • ‘จีซู’ พี่ใหญ่ของวง BLACKPINK ปล่อย MV เพลงโซโล่ครั้งแรกในชื่อเพลง 꽃 ‘Flower’ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2023
  • ภาพและเสียงในบทเพลงมีนัยความหมายที่น่าสนใจหลายอย่าง สะท้อนถึงแง่มุมทั้งการใช้พื้นที่ว่าง ธรรมชาติ ผู้หญิง ดนตรี และแฟชั่น

꽃 ‘Flower’ เพลงใหม่ล่าสุดจาก ‘จีซู’ (Jisoo) หนึ่งในสมาชิกวง BLACKPINK คนสุดท้ายที่แฟน ๆ ชาว BLINK ต่างรอคอยว่าเธอจะได้ออกผลงานเดี่ยวหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2018 เจนนี (Jennie) ได้ออกผลงานเดี่ยว Solo ต่อมาปี 2021 โรเช่ (Rosé) ในผลงาน R และปี 2021 ลิซ่า (Lisa) ในผลงาน Lalisa เมื่อต้นปี 2023 YG Entertainment ต้นสังกัดยืนยันว่ากำลังอยู่ในกระบวนการผลิตผลงานของเธอ จนกระทั่งวันที่ 31 มีนาคม 2023 ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดการรอคอยของบรรดาผู้ติดตามผลงานเดี่ยวของเธอ

อัลบั้ม Me มีกำหนดออกในวันสุดท้ายของไตรมาสแรกของปีกับ 2 บทเพลง 꽃Flower และ All Eyes on Me โดยได้ปล่อย MV เพลง Flower ปรากฏออกมาสู่สายตาเป็นเพลงแรก

สิ่งที่ปรากฏใน MV

สิ่งที่ปรากฏใน MV เรียกได้ว่าสมศักดิ์ศรีในฐานะที่ จีซู (Jisoo) ถือได้ว่าเป็นราชินีแห่งวงการแฟชั่น แน่นนอนว่านับตั้งแต่ภาพแรกตั้งแต่เริ่มต้นจนจบบทเพลงคือการสวมใส่ผลิตภัณฑ์ของ Brand ดังตั้งแต่ New Arrivals, Dior, LEE y.LEE y Official, Rick Owens, Amina Muaddi, Versace, Maria Micro, Rui, Susan Fang, Jimmy Choo และแน่นอน Cartier ในฐานะที่เธอเป็น Global Brand Ambassador ปี 2022 ซึ่งก่อนหน้านั้นในปี 2021 เธอเป็น Global ambassadors ให้กับ Dior

MV แบ่งการเล่าเรื่องที่แบ่งออกเป็น 3 บท มีกลิ่นอายการแบ่งท่อนลำดับเรื่องราวที่ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Everything Everywhere All At Once (2022)

โดยในบทเพลงเริ่มต้นจากวันต่อมา (next day) เวลาเดิม (same time) และสถานที่เดิม (same place) ท่ามกลางฉากทัศน์ของสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ประดิษฐ์ขึ้นมาในโรงถ่ายภาพยนตร์ Hollywood ที่เป็นพื้นที่กลางเมืองและโรงแรมสุดหรูที่เคยเป็นฉากถ่ายทำ MV หลายเรื่อง กับโชว์หลักที่เป็นการแสดงของเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสตัดกับภาพรวมที่มีอารมณ์เก่าก่อนที่สะท้อนความหรูหรามีระดับ กับภาพการหวนระลึกถึงวันที่เธอเลือกเดินจากไปอย่างสง่างามจากความสัมพันธ์ที่หลอกลวง ดุจดังผีเสื้อที่โบยบินออกไป

เนื้อเพลงที่ใช้การเล่าเรื่องเปรียบเปรยดุจดังบทกวี สะท้อนถึงความซับซ้อนและน่าค้นหาของตัวตนของเธอ โดยใช้กีฏวิทยากับพฤกษศาสตร์เป็นการเปรียบเทียบในท่อนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวลี

“I fly away like a blue butterfly”

ที่หมายถึงว่าเธอนั้นสามารถโบยบินได้เองตลอดเหมือนกับผีเสื้อสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่าเธอนั้นเปรียบดั่งผีเสื้อสีน้ำเงิน อันหมายถึงสัญลักษณ์แห่งความรักที่ยังหมายถึงความเปลี่ยนแปลงหรือการเกิดใหม่ได้ตลอดเวลาของผู้หญิง และยังเป็นการเสริมพลังผู้หญิงในฐานะผู้กระทำการที่สามารถก้าวข้ามผ่านความสัมพันธ์ที่เป็นมลพิษได้เองอีกด้วย

ท่าเต้นปล่อยพลังดอกไม้สีแดงที่มีการปล่อยแสงออร่าสีแดงดูราวกับฉากในภาพยนตร์ Marvel เป็นจุดดึงดูดในช่วงท่อน Hook ของบทเพลงที่ออกแบบให้เธอได้แสดงท่าเต้นที่เป็นหมุดหมายสำคัญของความทรงจำในบทเพลงนี้ กับท่าทางการของการปล่อยพลังดอกไม้ที่หมุนมือไปมา รวมถึงท่ารวมตัวของเหล่านักเต้นที่เหมือนดอกไม้ในภาพที่สวมถุงมือสีชมพูเป็นความงดงามที่ปรากฏเป็นความทรงจำที่ชัดเจนในบทเพลง

และเชื่อว่าท่าเต้นที่ถูกออกแบบอย่างตั้งใจเหล่านี้ได้กลายเป็นที่นิยมในหมู่แฟน ๆ ไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่ปรากฏในบทเพลงนี้ให้บทบาทการเต้นของเธอน้อยเหลือเกิน

 

โครงสร้างทางดนตรีที่ปรากฏในบทเพลง

ในมิติทางดนตรี ทั้งวิธีการออกแบบวลีและเสียงร้องของ Jisoo มีความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ดังปรากฏให้เห็นความถี่ของพยางค์ร้องที่เริ่มไปน้อยสู่มาก กับการเลือกช่วงเสียงของการร้องที่เริ่มจากต่ำไปสู่ย่านเสียงที่สูงขึ้น สอดแทรกท่วงทำนองที่มีกลิ่นอายของเพลงพื้นเมืองเกาหลีและท่วงทำนองที่พบได้ในเพลง Pop แบบ Caribbean และการออกแบบเสียงร้องแบบพ้นมนุษย์ที่สะท้อนสภาวะระหว่าง (in-between) ความกึ่งจริงกึ่งไม่จริงตามบริบทที่เกิดขึ้นของบทเพลงที่ปรากฏในท่อน Hook หรือท่อน Drop ของบทเพลง

โดยบทเพลงนี้เป็นไปตามมาตรฐานของโครงสร้างบทเพลงเต้นรำทั่วไปที่ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ

  1. ท่อน Break หรือท่อน Verse ในบทเพลง
  2. ท่อน Buildup ดังปรากฏในที่เป็นท่อน Pre Hook
  3. ท่อน Drop คือท่อน Hook ของบทเพลง โดยมีส่วนเสริมอย่างท่อน Bridge และท่อนนำและท่อนจบเพื่อให้บทเพลงมีความสมบูรณ์แบบตามโครงสร้างบทเพลงเต้นรำทั่วไป

บทเพลงขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างทางดนตรีในภาคของ rhythm section จากการประกอบสร้างเสียงในแนว Bass ที่คล้ายจากการสังเคราะห์ตัวอย่างเสียง (sampling) จาก Mbira หรือ Kalimba เครื่องดนตรีจากแถบแอฟริกาใต้ เพื่อให้เสียงกำธร (resonance) ที่ยาวและมีพื้นผิว (texture) ทางดนตรีผิดแปลกจากเสียง bass ในเพลงเต้นรำทั่วไป

โดยที่เสียง Bass บรรเลงนำมาก่อนและพร้อมกันกับเสียงกระเดื่องในจังหวะแรกของแต่ละห้อง ประกอบกับเสียงดีดนิ้วในจังหวะที่ 2 และ 4 ที่เรียกโดยทั่วไปในโลกดนตรี Pop ว่า Backbeat

ซึ่งการปรากฏของเสียง Bass และ การดีดนิ้วที่ backbeat เป็นความชาญฉลาดของบทเพลงนี้ เพื่อเป็นการซ่อนอัตราเร่งหรือทำให้คนฟังรู้สึกว่าเพลงนี้ไม่ได้เร็วขนาดนั้นแต่กลับรู้สึกรุกเร้าสับสน ซึ่งโดยปกติตามหลักการที่เรียกว่า Four on the floor มักปรากฏชัดเจนในเพลงเต้นรำตั้งแต่ยุค Disco หรือดนตรี EDM เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนอัตราเร่งของบทเพลงให้มีความสนุกสนานและชัดเจนในความเร็วที่มากกว่าอัตราเร่งของหัวใจปกติของมนุษย์โดยประมาณอยู่ที่ 60-100 BPM

ในท่อนนำและท่อน Verse กระเดื่องจะปรากฏเพียงจังหวะแรกของห้อง แต่เสียงกระเดื่องที่เคาะเต็มจังหวะ 4/4 อย่างแท้จริงปรากฏเฉพาะในช่วงท่อน Hook หลังของบทเพลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงเครื่องเคาะที่เรียกว่า Hi-Hat ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นตัวควบคุมหรือซอยอัตราการเร่งของบทเพลง แต่กลับปรากฏเฉพาะในช่วงท่อน Verse ที่ 2 และในท่อน Hook โดยที่ไม่ได้ทำหน้าที่เหมือนดังเพลงปกติทั่วไปแต่เป็นการปรากฏขึ้นมาเพื่อเป็นสีสัน อาจเรียกได้ว่าบทเพลงนี้มีคุณลักษณะที่คล้ายคลึงกับดนตรีแบบ Trap-Pop รูปแบบดนตรีที่เริ่มต้นมาจากกลุ่มศิลปิน Hip-Hop และถือได้ว่าเป็นกระแสหลักของรูปแบบเพลง Pop ปัจจุบัน

 

การ Buildup และท่อน Hook ด้วยวิธี Vocal Chops

การปรากฏเสียงเปียโนขึ้นมาในท่อน Pre-Hook ในท่อนนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของบทเพลงที่เปิดพื้นที่ให้ Jisoo ได้แสดงศักยภาพของเสียงร้อง ด้วยช่วงเสียงร้องสูงที่สุดในบทเพลงเชิงเทคนิคเรียกว่าการร้องแบบ Head Voice เพื่อเป็นการสร้างจุดขับเน้นให้เกิดความตึงเครียดของบทเพลง

สอดคล้องตามโครงสร้าง buildup ในบทเพลงเต้นรำทั่วไป ที่เปรียบเสมือนต้องการนำพาผู้ฟังมายืนอยู่ตรงริมเหวของบทเพลงและกำลังจะพากระโดดลงไปในเหว เพื่อนำเข้าไปสู่ท่อน Hook ที่ใช้เทคนิคการตัดแต่งเสียงของ Jisoo ให้คล้ายกับหุ่นยนต์หรือที่เรียกว่าเทคนิคแบบตัดแต่งสลับเสียงร้อง (Vocal Chops) เป็นความนิยมในโลกของดนตรีเต้นรำอิเล็กทรอนิกส์มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นส่วนที่ใครหลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นดูแคลนศักยภาพการร้องของตัวเธอ

กล่าวคือเหมือนค่ายเพลงไม่ไว้ใจที่จะให้เธอได้ร้องท่อน Hook แต่หากย้อนกลับไปพิจารณาถึงความยากของท่อน Pre Hook ก็จะพบเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่ให้เธอได้แสดงศักยภาพการร้องในส่วนที่กำหนด เพราะในท่อน Hook ต้องการให้สร้างพื้นที่ว่างโดยลดทอนความหมายจากภาษาที่ออกมาจากการร้อง เพื่อขับเน้นให้ผู้คนเต้นรำหรือโบยบินดุจผีเสื้อตามที่เธอนำเสนอมากกว่าที่จะฟังเนื้อเพลง โดยเหลือไว้แค่เพียงประโยคเดียวในช่วงท้ายของท่อน Hook ที่เป็นเสียงร้องปกติจากที่เป็นการใช้เทคนิคการสร้างสรรค์แบบ vocal chops

 

สรุป: ความย้อนแย้งของบทเพลงระหว่างภาพ กับความเรียบง่ายของเสียงดนตรี

พลังของภาพและเสียงที่ปรากฏผ่านเนื้อเพลงที่มีความเป็นบทกวี สร้างความย้อนแย้งกับรูปแบบโครงสร้างทางเสียงดนตรีที่เน้นความเรียบเงียบและสามารถติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปรียบเทียบกับภาพที่ปรากฏใน MV ที่ต้องการสร้างสภาวะเสียงที่เกิดขึ้นจากความเป็นธรรมชาติประกอบสร้างกันขึ้นมาบนตรรกะแบบเพลงเต้นรำ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่น่าสนใจมากเพลงหนึ่งในหลายรอบปีที่ผ่านมา

อาจกล่าวได้ว่าเพลงมีความ Minimal ในส่วนของการออกโครงสร้างดนตรีตามที่ปรากฏในบทเพลง เพื่อใช้สนับสนุนการนำเสนอภาพราชินีแห่งวงการแฟชั่นของ Jisoo

กล่าวคือเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสภาวะล้นเกินทั้งภาพและเสียง คือมันต้องมีส่วนประกอบที่ต้องยอมนำเสนอความเรียบง่าย ในอีกมิติการสะท้อนถึงความเรียบง่ายผ่านเสียงดนตรีคือการนำเสนอภาพความมั่นใจในตัวตนของเธอ และแน่นอนว่าค่ายปรารถนาให้เพลงนี้ถูกนำเอาไปใช้ตามงานแฟชั่นโชว์ต่าง ๆ ในอนาคต เป็นทั้งการใส่รหัสและคุณค่าอะไรบางอย่างเอาไว้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ แต่เป็นความชาญฉลาดที่จงใจสร้างผลิตภัณฑ์หนึ่งขึ้นมาเพื่อเสริมสร้างผลทางธุรกิจ ซึ่งเป็นความปกติที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกดนตรี pop

ในมุมมองของแฟนคลับบางคนที่อาจจะข้องใจ เพราะดูราวกับว่าต้นสังกัดของเธอเหมือนไม่ตั้งใจมากพอที่จะทำเพลงให้เธอ หากเทียบกับเพลงเดี่ยวของสมาชิกวงคนอื่นแล้วมีความล้ำหน้าและซับซ้อนกว่าเพลงที่เพิ่งปล่อยออกมา แต่ถึงแม้ว่าเพลงเธอจะมีความเรียบง่ายแต่มันก็เป็นการบอกเป็นนัยว่าความงามของเธอก็เพียงพอแล้วที่จะนำเสนอดนตรีที่ไม่ต้องซับซ้อนและมีความเป็นธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างความหมายของตัว Jisoo ที่ทางค่ายต้องการนำเสนอ คือเป็นความสวยเพียงพอแล้วโดยไม่ยัดมวลเสียงอื่น ๆ เข้ามาให้ล้นเกิน แค่ยื่นไปเฉย ๆ คนเขาก็รักแล้ว

กล่าวคือบทเพลงนี้นำเสนอความเรียบง่ายที่สะท้อนผ่านการเรียบเรียงโครงสร้างทางดนตรี เพื่อเสริมส่งความงามที่เป็นธรรมชาติของผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความงามจาก Jisoo ที่มากล้นเพียงพอจนไม่ต้องเสริมแต่งหรือถมทับด้วยมวลเสียงใด ๆ ให้สิ้นเปลือง ดังจะเห็นได้ว่าบทเพลงนี้พยายามลดทอนการใช้เสียงสังเคราะห์ตามรูปแบบดนตรีที่ชาว BLINK คุ้นเคย จนถึงขั้นทำให้แฟน ๆ หลายคนต่างตั้งคำถามว่าต้นสังกัดรัก 4 สาวไม่เท่ากันหรือไม่ เพราะเหมือนผิดแปลกไปจากรูปแบบที่เหล่าแฟน ๆ คุ้นเคย

ทว่า บทเพลงดังกล่าวใช้ปรัชญาการแต่งเพลงเดียวกับเพลงที่ใช้การแสดงแฟชั่นในปัจจุบัน ที่ไม่ต้องการให้เสียงเพลงนั้นเข้าไปหักล้างหรือทำลายความสนใจของสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผ่านสายตา นั่นคือเสื้อผ้าหน้าผมของตัวแบบที่กำลังจัดแสดง

เพลงเหล่านี้จึงมีหน้าที่ส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏผ่านสายตามีความเข้มข้นขึ้นมากกว่าปกติ โดยใช้ดนตรีเป็นฉากพื้นหลังที่ทำงานในจิตสำนึกที่ให้ความสง่างามแต่ไม่รบกวนสายตา ดังที่ปรากฏในบทเพลงนี้ จากการออกแบบให้เสียงกำธรของ bass ยาวนานไปจนสิ้นสุดความยาวของห้องในบทเพลง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นสอดรับกับเนื้อเพลงที่บอกว่า

“คงเหลือไว้แค่กลิ่น (ของดอกไม้) ที่ไม่เคยเลือนลาง” (There was nothing left but the scent of a flower)

ธรรมชาติ ผู้หญิง ดนตรี แฟชั่น คือภาพนำเสนอของบทเพลง Flower ที่พยายามใช้เสียงสังเคราะห์น้อยกว่าทุกเพลงเมื่อเทียบกับเพลงเดี่ยวของคนอื่น ๆ

ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏออกมาผ่านบทเพลง Flower คงไม่เป็นการกล่าวเกินไปนักว่ามีลักษณะการออกแบบบทเพลงที่คิดจาก ‘ความน้อยแต่ให้ผลลัพธ์มาก’ ซึ่งเป็นวลีดังจาก Ludwig Mies van der Rohe สถาปนิกชาวเยอรมันแห่งสำนักคิด Bauhaus นำมาจากถ้อยความในบทกวีของ Robert Browning เพื่อใช้อธิบายปรัชญาการออกแบบอาคารที่ความเรียบง่ายของวัสดุ เน้นการออกแบบพื้นที่ว่างและการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นอย่างการประดับประดาจนมากล้นออกไปจากงานออกแบบ เป็นการเลือกใช้งานวัสดุให้ได้ปรากฏขึ้นในงานอย่างตรงไปตรงมา และไม่ปกปิดหรือถมทับร่องรอยที่ไม่พึงประสงค์ออกไป

เฉกเช่นในเพลงนี้ที่ประกอบขึ้นมาจากความเรียบง่าย แต่เปิดพื้นที่ในการตีความและขับเน้นตัวตนของเธอออกให้ปรากฏได้เป็นอย่างดี

 

ภาพ: เพลง Flower จาก BLACKPINK/YouTube