25 พ.ย. 2566 | 08:46 น.
- แม้ปมการต่อสัญญายังคงเป็นปริศนา แต่ BLACKPINK ก็ยังสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ด้วยการไปเยือนพระราชวังบักกิงแฮม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
- จากจุดเริ่มต้นจนถึงวันนี้ BLACKPINK คือศิลปิน K-pop ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก
- ชีวิตของสมาชิกไม่ต่างจากบทหนังที่เราต้องติดตามตอนต่อไป
“สีชมพูมักสื่อถึงความน่ารัก แต่ BLACKPINK พยายามพูดว่า ความสวยไม่ใช่ทุกอย่าง และไม่ได้เป็นเชิงสัญลักษณ์เรื่องความสวยงาม แต่รวมถึงพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมด้วย”
นี่คือความหมายของชื่อวง BLACKPINK ตามแถลงการณ์ของค่ายวายจี เอนเตอร์เทนเมนต์ (YG Entertainment) ในเดือนมิถุนายน 2016 ซึ่งเป็น 3 เดือนก่อนที่ BLACKPINK จะเดบิวต์อย่างเป็นทางการ
BLACKPINK ประกอบด้วย สมาชิก 4 คน คือ คิมจีซู (Jisoo) โรเซ่ (พัคแชยอน) เจนนี่ (เจนนี่ คิม) และลิซ่า (ลลิษา มโนบาล) เด็กสาวที่หลงรักในเสียงเพลง และมีความฝันเดียวกัน คือ การเป็นศิลปิน
ผ่านไป 7 ปี สัญญาของพวกเธอกับค่ายต้นสังกัดอย่างวายจีก็สิ้นสุดลง ท่ามกลางประวัติศาสตร์บทใหม่ที่พวกเธอเขียนขึ้นเองในทุกวัน
พวกเธอทำลายสถิติชาร์ตเพลง ยืนหนึ่งเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี และไม่ว่าพวกเธอจะมีผลงานเดี่ยว หรือผลงานกลุ่มก็มักจะเป็นที่สนใจและถูกจับตามองจากสื่อทั้งในและนอกประเทศ
วันนี้คำตอบเรื่องการต่อสัญญาของ BLACKPINK ยังเป็นปริศนาที่ไม่ต่างจากหนังที่ต้องติดตามตอนต่อไป บทความนี้ชวนดูเส้นทางตั้งแต่เริ่มต้น และการเติบโตของ BLACKPINK ที่ตอกย้ำว่า BLACKPINK in Your Area พิษสีชมพูที่เกิดจากพลังของหญิงสาวนั้นอยู่ในทุกพื้นที่จริง ๆ
สี่สาวที่หลงรักในเสียงเพลงกับชีวิตเป็นเด็กฝึกที่เตรียมพร้อมเป็นศิลปิน
ในวงการไอดอลเกาหลี การเดบิวต์ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น…
เหตุผลที่พูดแบบนั้น เพราะก่อนจะเป็นศิลปิน พวกเขาต้องผ่านชีวิตการเป็นเด็กฝึกมาก่อน ชีวิตที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบ และข้อห้ามมากมาย รวมถึงต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งเพื่อการประเมินรายเดือน และอาจจะออกไปพักได้เป็นครั้งคราว
ในสารคดี BLACKPINK : Light Up the Sky พูดถึงระยะเวลาการเป็นเด็กฝึกของทั้ง 4 คนไว้ว่า เจนนี่ เด็กสาวจากนิวซีแลนด์ใช้เวลาเป็นเด็กฝึก 6 ปี จีซู พี่ใหญ่ของวงจากโซล และลิซ่า เด็กไทยคนแรกของค่ายวายจีเป็นเด็กฝึกอยู่ 5 ปี ส่วนโรเซ่ สมาชิกคนสุดท้ายที่หอบกีตาร์มาจากออสเตรเลียใช้เวลาเป็นเด็กฝึกทั้งหมด 4 ปี
“ฉันว่าสิ่งที่ทำให้ K-pop เป็น K-pop คือ ช่วงเวลาที่เราเป็นเด็กฝึก…เราอยู่ด้วยกันเหมือนโรงเรียนประจำ…เราซ้อม 14 ชั่วโมงต่อวัน…” เจนนี่พูดถึงความทรงจำในวันวานผ่านสารคดี
ขณะที่จีซู พี่สาวของวงบอกว่า “ช่วงแรกฉันต้องเรียนเยอะมาก ต้องเรียนเต้น 3 - 4 คลาส และซ้อมทุกวัน ต้องเรียนร้องเพลงกับครูอีก 2 - 3 คน เป็นช่วงที่หนักมาก ๆ”
ไม่ใช่เรื่องง่ายกับเด็กคนหนึ่งที่ต้องแบกรับแรงกดดันและตารางการฝึกที่แน่นตลอดทั้งวัน รวมถึงการจัดการวางแผน และออกแบบด้วยตัวเองเพื่อให้การประเมินรายเดือนผ่านไปได้ด้วยดี
เพราะไม่มีใครรู้เลยว่า วันไหนที่พวกเธอจะต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้าน
“พวกเราต้องวางแผนทุกอย่างกันเอง เราแต่ละคนมีหน้าที่ ถ้าใครรับหน้าที่ร้อง เราจะให้เขาทำหน้าที่นั้น แต่หนูมักรับหน้าที่นักเต้น เพราะฉะนั้นหนูมักจะเป็นคนออกแบบท่าเต้น ทุกเดือน ทุก ๆ เดือนจริง ๆ ตลอด 5 ปี
หลังการประเมินทุกเดือน เราจะถูกให้คะแนน คนไหนได้เอ คนไหนได้บี และคนไหนได้ซี” ลิซ่าอธิบายชีวิตเด็กฝึกของเธอไว้ในสารคดี BLACKPINK : Light Up the Sky
ชีวิตของพวกเธอดำเนินไปโดยไม่รู้อนาคตว่า พวกเธอจะได้เดบิวต์เมื่อไหร่ ทั้ง 4 คนถูกจับให้เข้าไปแสดงร่วมกับเด็กฝึกคนอื่น ๆ จนมาถึงวันที่ทั้ง 4 คนมารวมตัวกัน
ปี 2015 พวกเธออัดเดโม่ด้วยกัน จีซูพูดถึงช่วงเวลานั้นไว้ว่า “เราโดนประเมินด้วยกัน แล้วเรา 4 คนก็ได้ทดสอบหน้ากล้อง และอัดเดโม่ด้วยกัน มันเป็นไปเอง เราเข้ากันได้..เวลาทำงานร่วมกันในวง ฉันเห็นว่าทุกคนมีตำแหน่งหน้าที่ และทุกคนมีโอกาสได้เกิด มันเกิดการทำงานร่วมกัน พอคิดได้แบบนี้มันเลยเปลี่ยนมุมมองฉัน เมื่อทุกคนอยู่ถูกที่ เรื่องยิ่งใหญ่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ”
แม้จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่มุมของ BLACKPINK เธอสู้กันสุดใจ และบางครั้งมันก็เป็นความทรงจำที่ดี แต่ก็อาจจะแลกด้วยประสบการณ์ชีวิตบางอย่างที่ขาดหายไป
“ฉันไม่เสียดายเวลาที่เป็นเด็กฝึกเรียนรู้การเต้นการร้อง แต่มีบางเรื่องที่ฉันอยากจะมีบ้าง คือ ได้อยู่บ้าน จนอายุ 18 - 19 ปี หลายคนมีความทรงจำมากมายช่วงที่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย แต่ฉันไม่เคยมีเลย” เจนนี่บอก
จนในที่สุดวันที่ 8 สิงหาคม 2016 เจนนี่ จีซู ลิซ่า และโรเซ่ก็ได้เดบิวต์เป็นศิลปิน K-pop ที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการพาหนึ่งในเพลงเดบิวต์อย่าง ‘BOOMBAYAH’ ทะยานสู่อันดับ 1 และ 2 บนชาร์ต Billboard World Digital Songs ภายในเวลาอันรวดเร็ว และเป็นเพลงเกาหลีเพลงแรกที่มีผู้เข้าชมมิวสิกวิดีโอในยูทูบสูงสุดถึง 1.6 พันล้านครั้ง! (ข้อมูลเดือนเมษายน 2022)
และนี่คือจุดเริ่มต้นและบันไดขั้นแรกของการสร้างประวัติศาสตร์ของวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีที่ชื่อว่า BLACKPINK
ทำลายทุกสถิติ ยืนหนึ่งเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีตั้งแต่เดบิวต์
BLACKPINK เปิดตัวได้ไม่กี่เดือนในปี 2016 เมื่อถึงงานประกาศรางวัลปลายปี พวกเธอก็เดินสายรับรางวัลมากมาย เช่น รางวัล Rookie Singer Awards จากเวที Asia Artist Awards (งานประกาศรางวัลคนวงการบันเทิงเอเชีย), รางวัล Best New Artist จากเวที Melon Music Awards (งานประกาศรางวัลด้านดนตรีของระบบสตรีมมิ่งเพลงยอดนิยมจากชาร์ต Melon) และรางวัล Best of Next Female Awards จากเวที MAMA Awards (งานประกาศที่ถือเป็นงานมอบรางวัลให้กับศิลปิน K-pop ที่ใหญ่ที่สุดเวทีหนึ่งของโลก)
หลังจากนั้น พวกเธอก็สร้างตำนานและทุบสถิติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเพลง As If It’s Your Last ซิงเกิลต่อมาที่ได้รับความนิยมจนได้รับรางวัลบงซัง (รางวัลที่มียอดจำหน่ายและดาวน์โหลดตามมาตรฐานวงการเพลงเกาหลี) ในงานประกาศรางวัล Golden Disc Music Awards ครั้งที่ 32 ในปี 2018 ซึ่งถือเป็นรางวัลสำคัญที่มอบให้ศิลปินเกาหลีที่ประสบความสำเร็จในประเทศบ้านเกิด
ยังไม่รวมถึงเพลงในอัลบั้มต่อมาอย่าง DDU-DU DDU-DU กลายเป็นเพลงแรกจากวงเกิร์ลกรุ๊ปสัญชาติเกาหลีที่มียอดเข้าชมถึง 80 ล้านครั้งได้รวดเร็วที่สุด รวมถึงยังพาอัลบั้ม Square Up มินิอัลบั้มแรกของพวกเธอติดชาร์ตเพลงของ iTunesใน 38 ประเทศ อีกทั้งยังเป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีวงแรกที่ติดชาร์ตเพลงของอังกฤษ
ความสำเร็จที่ดูประสบความสำเร็จ จนคนทั้งโลกต้องปรบมือให้ ขนาดประธานค่ายวายจีอย่าง ‘ประธานหยาง ฮยอนซอก’ ก็ยังพูดถึงพวกเธอไว้หลังจากปล่อยเพลง DDU-DU DDU-DU ในปี 2018 ไว้ว่า “นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของ BLACKPINK ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้เพียง 3 ปีหลังจากเดบิวต์ พวกเธอเพิ่งเริ่มผลิบาน ผมจะรอดูต่อไปว่า พวกเธอจะเบ่งบานได้มากขนาดไหน”
หลังจากนั้น 4 สาววง BLACKPINK ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่เพียงแต่ที่เกาหลี แต่ได้รับความนิยมระดับโลก จากการทำลายสถิติของตัวเองด้วยยอดชมมิวสิกวิดีโอในทุกครั้งที่ปล่อยเพลงใหม่ เช่น Kill This Love ที่ทำให้ช่วงสงกรานต์คนไทยนำไปรีมิกซ์เต้นกันทั่วบ้านทั่วเมือง หรือเพลง How You Like That ที่ติดอยู่ในอันดับ 40 จาก 100 อันดับเพลงในชาร์ตของ BillBoard
นอกจากนี้ยังมีเพลง Pink Venom ที่สร้างสถิติเป็นเพลง K-pop เพียงหนึ่งเดียวในปี 2022 ที่อยู่ในชาร์ตได้นานถึง 6 สัปดาห์ รวมถึงเพลงหลักของอัลบั้ม ‘Born Pink’ อย่าง Shut Down ก็ทำสถิติอยู่ในชาร์ตบิลล์บอร์ด 100 อันดับแรกนานถึง 2 สัปดาห์ อีกทั้งตัวอัลบั้มยังอยู่ในอันดับที่ 4 ในชาร์ตเดียวกันในสัปดาห์ที่ 2 และยังเป็นอัลบั้มจากวงเกิร์ลกรุ๊ปที่มีอัลบั้มติดชาร์ตนานถึง 2 สัปดาห์เช่นกัน
เรียกได้ว่า คำว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน แต่ตำนานจะอยู่ตลอดไป คงไม่ใช่คำพูดเกินจริง เพราะตลอดระยะเวลา 7 ปีของ BLACKPINK พวกเธอคือศิลปินที่คนทั่วโลกจดจำ
เบื้องหลังการสร้างตำนาน คือ แรงกดดัน
แม้ความสำเร็จตรงหน้าจะเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว แต่การสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการเพลงทั้งในเกาหลีและต่างประเทศก็ทำให้ BLACKPINK ต้องแบกรับความคาดหวังและแรงกดดันว่า พวกเธอจะต้องทำสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม
จีซูให้สัมภาษณ์ในสารคดี BLACKPINK: Light Up the Sky ว่า “มีความกดดันเรื่องผลงานใหม่ของเรา แล้วยังไงต่อ เราจะทำอะไร มาคิดอะไรใหม่ ๆ กัน ฉันรู้สึกเหมือนพวกเราโดนไล่บี้”
ในบทสัมภาษณ์ของ Rolling Stone ลิซ่าเองก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ช่วงเวลา 2 - 3 ปีแรก เธอเองก็รู้สึกกดดันและผิดหวังในตัวเองในวันที่เธอต้องเปลี่ยนบทบาทจากแรปเปอร์มาเน้นการร้อง เพราะรู้สึกว่าเธอทำได้ไม่ดี และทำให้ทีมต้องเสียเวลา
“สมัยก่อน หนูแรปมาตลอด แต่วันหนึ่ง เท็ดดี้ (โปรดิวเซอร์เพลงของ BLACKPINK) บอกให้หนูร้อง แต่หนูไม่เก่งร้อง มันเลยเป็นช่วงเวลาที่ยากมาก ทั้งปีระหว่างเพลง ‘As If It’s Your Last’ ในปี 2017 และ ‘DDU-DU DDU-DU ปี 2018 มันยากมาก พอหนูไปถึงสตูดิโออัดเพลง มันไม่มีอันไหนที่ใช้ได้ หนูร้องไห้ มันเหมือนว่าหนูทำให้ทีมต้องผิดหวัง”
นอกจากนี้ลิซ่าเองก็ต้องรับแรงกดดันในฐานะคนไทยเพียงหนึ่งเดียวของวง เพราะความสำเร็จของเธอคือบทพิสูจน์และเป็นตัวอย่างให้เด็กไทยอยากเป็นเหมือนเธอ แต่จริง ๆ แล้วลิซ่าก็กำลังค้นหาตัวเองเหมือนกัน
“จำได้ว่า ตอนเดบิวต์แล้วกลับไทยครั้งแรก เพราะว่าเด็กไทยเห็นว่าหนูเป็นคนไทย แล้วมาได้ถึงขนาดนี้ อยากเป็นเหมือนพี่ลิซ่า แต่จริง ๆ แล้ว หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหนูเป็นตัวอย่างที่ดีพอไหม หนูเป็นนักร้อง แต่หนูอยากเป็นนักร้องแบบไหน เป้าหมายของหนูหายไป หนูพยายามค้นหาตัวเอง เราจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาได้ไหม ทำยังไงให้เขาไม่ผิดหวัง มันจะคิดนู่นคิดนี่” ลิซ่าบอกในสารคดี
แม้จะผ่านไปหลายปี แต่ดูเหมือนว่าแรงกดดันที่สาว ๆ ได้รับจะสร้างบาดแผลระยะยาวอยู่เหมือนกัน พวกเธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ และรู้สึกถึงความเหงาในบางครั้ง
หนึ่งในนั้นคือโรเซ่ เธอเคยพูดถึงภาวะจิตใจของตัวเองในงานเสวนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจแปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation forum) ในเดือนพฤศจิกายน 2023 ไว้ว่า “ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันทำ ไม่เกี่ยวกับว่าฉันทำงานหนักแค่ไหน แต่รู้สึกว่าทำเท่าไรก็ไม่พอ เพราะมักจะมีคนที่เขามีความเห็นและสนุกกับกำหนดเรื่องเล่าของคนอื่นเสมอ นั่นแหละค่ะ… มันเลยทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว”
อาจเป็นอย่างที่ใคร ๆ บอก เบื้องหน้าอาจเต็มไปด้วยความอลังการ ความสวยงาม และความสมบูรณ์แบบ แต่จริง ๆ แล้ว 4 สาวเหนื่อยมามากแค่ไหน มีแต่พวกเธอเท่านั้นที่รู้
โซโล่เดี่ยว เวิลด์ทัวร์ และทุกการกระทำที่ถูกจับตามอง
จริง ๆ แล้ว สมาชิกวง BLACKPINK ก็มีผลงานทั้งเดี่ยวและกลุ่มสลับกันในตลอดระยะเวลา 7 ปีของการเดบิวต์
สำหรับผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยว เริ่มจากเจนนี่ที่ปล่อยเพลง ‘SOLO’ ในปี 2018 ซึ่งเป็นสมาชิกคนแรกที่ผลงานเดี่ยวเพลงที่ว่าด้วยความมั่นใจของหญิงสาวที่อยากโสดแต่เปล่งประกาย ที่มีคนเข้าชมมิวสิกวิดีโอถึง 16 ล้านครั้งใน 24 ชั่วโมง และมียอดชมในปัจจุบันถึง 900 กว่าล้านครั้ง รวมถึงยังมีเพลงล่าสุดอย่าง You&Me เพลงจากคอนเสิร์ต Born Pink ที่ถูกนำมาทำเป็นเวอร์ชันมิวสิกวิดีโอให้แฟน ๆ ได้ชมกันอีกด้วย
ต่อด้วยโรเซ่ หญิงสาวที่ใช้เพลงในการเขียนไดอารี่ ก็ปล่อยเพลง ‘On the Ground’ ที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมียอดจองอัลบั้มที่ชื่อ ‘R’ มากถึง 400,000 ก๊อบปี้ ซึ่งถือว่าสูงสุดในบรรดาศิลปินหญิงเกาหลีในช่วงเวลานั้น รวมถึงยังมียอดชมมิวสิกวิดีโอถึง 41.6 ล้านครั้งใน 24 ชั่วโมง อยู่อันดับ 1 ท็อปชาร์ตบิลล์บอร์ด 200 อันดับแรก และใช้เวลาอยู่บนชาร์ตได้นานถึง 7 สัปดาห์
จนมาถึงสมาชิกจากประเทศไทยอย่าง ‘ลิซ่า’ ที่เลือกปล่อยเพลง ‘LALISA’ ชื่อเดียวกับชื่อจริงของเธอในปี 2021 ที่พาชุดไทยและเครื่องประดับไทยดังไกลระดับโลกผ่านมิวสิกวิดีโอที่มีผู้เข้าชมมากถึง 73.6 ล้านครั้งใน 24 ชั่วโมงแรก ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายสถิติเป็นศิลปินเดี่ยวที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดของ Guinness World Records นอกจากนี้ ฮันทอ บริษัทขายอัลบั้มเกาหลีบอกว่า ลิซ่าเป็นศิลปินเดี่ยวหญิงสัญชาติไทยคนแรกที่ขายอัลบั้มได้ถึง 500,000 ก๊อบปี้ภายในสัปดาห์เดียว
และสมาชิกคนสุดท้าย คือ จีซู ที่เพิ่งปล่อยอัลบั้ม ME ในช่วงต้นปี 2023 ที่มีเพลงหลักอย่าง ‘FLOWER’ ติดท็อปชาร์ต iTunes ใน 64 ประเทศทั่วโลก ติดท็อปชาร์ตเพลงเกาหลีใน Melon ถึง 27 สัปดาห์ และเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวที่อยู่ในชาร์ตนี้นานที่สุดในรอบทศวรรษอีกด้วย
นอกจากนี้พวกเธอยังขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์แบรนด์ระดับโลก เช่น การเป็นสาวสวยฉบับดิออร์ของจีซู การเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่มาพร้อมคอลแลปส์สุดพิเศษของเจนนี่กับ Clavin Klein (แบรนด์แฟชันฝั่งอเมริกา) การไปร่วมแฟชันวีคร่วมกับวี BTS และพัคโบกอมของ Celine Fashion Week ที่กรุงปารีส ส่วนโรเซ่ก็ขึ้นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Saint Laurent ไปจนถึงอีกหลาย ๆ แบรนด์ที่พวกเธอเข้าร่วมงานของแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ
ไม่เพียงแต่งานโซโล่ที่ไปได้ดี ทำลายสถิติและสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่งานวงก็เรียกว่าเป็นตัวแม่วงการ K-pop จริง ๆ เพราะปี 2023 พวกเธอคือศิลปิน Headliner ของเวที Coachella ในปี 2023 อีกด้วย
(อ่าน BLACKPINK in Coachella 2023 ประวัติศาสตร์บทใหม่ในเทศกาลดนตรีระดับโลก ได้ที่นี่)
รวมถึงเปิดเวิลด์ทัวร์ทั้งหมด 2 ครั้ง ตลอด 7 ปี ซึ่งกระแสตอบรับก็ดีทั้ง 2 ครั้งเช่นกัน ครั้งแรก คือ คอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ ‘BLACKPINK 2019 - 2020 WORLD TOUR IN YOUR AREA’ ที่เปิดการแสดงครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่โซล โดยมีรอบการแสดงมากถึง 30 รอบ 22 เมือง ใน 16 ประเทศ และปิดฉากในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ที่เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
จนมาถึงครั้งที่สองที่เพิ่งปิดการแสดงไปไม่นาน นั่นก็คือ ‘BLACKPINK WORLD TOUR (BORN PINK)’ ที่เริ่มในเดือนตุลาคม 2022 ที่โซล และปิดฉากอีกครั้งในเดือนกันยายน 2023 ที่โซลอีกครั้ง และยังเป็นคอนเสิร์ตที่คาดว่ามีผู้เข้าชมมากถึง 1.5 ล้านคน ใน 66 รอบการแสดง ใน 34 เมือง ของ 22 ประเทศทั่วโลก
อีกทั้งยังเป็นเวิลด์ทัวร์ของ BLACKPINK ที่จัดในไทยถึง 4 รอบ รอบแรกในเดือนมกราคม 2023 และรอบที่สองในเดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน
“พวกเราทัวร์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว (ปี 2022) รู้สึกสนุกมากเวลาไปเจอบลิ๊ง (ชื่อแฟนคลับของ BLACKPINK) แต่ละประเทศ แต่ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อย แต่ทุก ๆ ครั้งที่มาไทย หนูรู้สึกว่าเหมือนมาเติมน้ำมัน เหมือนมาเติมพลัง มาชาร์จพลัง เพราะว่าเดือนมกราคมก็มาชาร์จแล้วรอบหนึ่ง เดือนนี้ก็มาชาร์จอีก ก็เลยรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านหนูด้วยมั้ง ก็เลยรู้สึกว่า ถ้ามาอยู่ในโมเมนต์นี้ แค่มองตาแต่ละคนก็รู้แล้วว่า ทุกคนเป็นกำลังใจ และให้กำลังใจพวกเราตลอดเวลา ขอบคุณมากนะคะ” ลิซ่าพูดกลางคอนเสิร์ตที่จัดในไทยรอบที่สอง
และยังเป็นคอนเสิร์ตทำรายได้มากถึง 78.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,773 ล้านบาท แซงหน้าการทัวร์คอนเสิร์ตของ Spice Girls ที่ใช้ชื่อว่า ‘FanMail Tour’ ปี 1999 ซึ่งทำรายได้ 72.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,581 ล้านบาทอีกด้วย (ข้อมูลวันที่ 21 พฤษภาคม 2023)
เพราะประวัติศาสตร์ที่พวกเธอเขียนขึ้นเองในทุกวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อใดที่สาว ๆ ขยับตัวเพียงนิดเดียวจะกลายเป็นที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมแสดงในฐานะนักแสดงเรื่อง The Idol ของเจนนี่ ข่าวความรักครั้งล่าสุดของจีซู หรือการพาอาหารไทย ผ้าไทย ยาดมไทย รวมถึงการเปิดตัวในฐานะนักแสดงคาบาเรต์ของ Crazy Horse ของลิซ่า รวมถึงชีวิตไลฟ์สไตล์สุดชิคของโรเซ่
(อ่านหลังม่าน ‘Crazy Horse Paris’ คาบาเรต์อายุ 72 ปี ที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ขึ้นแสดง ได้ที่นี่)
รวมถึงการแต่งชุดสวยเหมือนเจ้าหญิงเข้าไปเยือนพระราชวังบักกิงแฮม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2023 ที่ผ่านมา โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 และพระราชินีคามิลลาทรงเป็นเจ้าภาพ ทรงเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดียุน ซอกยอล แห่งเกาหลีใต้ และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง คิม กอนฮี ที่เยือนสหราชอาณาจักร เนื่องในโอกาสครบรอบ 140 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
“นับเป็นแรงบันดาลใจที่เห็นคนรุ่นใหม่ในเกาหลีตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ผมขอชื่นชมเจนนี่ จีซู ลิซ่า และโรเซ่ ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อของ BLACKPINK บทบาทของพวกเธอคือการส่งสารเรื่องความยั่งยืนเรื่องสิ่งแวดล้อมในฐานะทูต U.K.’s Presidency ของ COP 26 และผู้สนับสนุนองค์การสหประชาชาติในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราขอชื่นชมที่พวกเธอสามารถให้ความสําคัญกับเรื่องสําคัญเหล่านี้ไปพร้อมกับการเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกได้” สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 พูดถึง BLACKPINK
อีกทั้งพวกเธอยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิบริติช (Most Excellent Order of the British Empire) จากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ณ พระราชวังบักกิงแฮม ประเทศอังกฤษ อีกด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ของวงการ K-pop
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนต่างจับตาการต่อสัญญาแบบชิดติดจอที่มีการวิเคราะห์ไปหลากหลายทางว่า ใครจะอยู่ต่อ หรือใครจะเปลี่ยนสังกัด ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2023 มัลฮวาอิลโบ สื่อท้องถิ่นรายงานว่า BLACKPINK จะยังทำกิจกรรมร่วมกับต้นสังกัดเดิม แต่มีเพียงสองคนที่ต่อสัญญา
แต่ทั้งหมดทางค่ายวายจีก็ยังไม่ได้ออกมาคอนเฟิร์ม และอ้างว่า "เรายังคงอยู่ในระหว่างการเจรจาสัญญาแบบรายบุคคล เกี่ยวกับสัญญาพิเศษของพวกเธอ ซึ่งผลลัพธ์การเจรจาทั้งหมดจะถูกเปิดเผยผ่านเอกสารเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัทต่อไป"
การวิเคราะห์เรื่องต่อสัญญาและประวัติศาสตร์หน้าต่อไปของ BLACKPINK
ไม่เพียงแต่ชาวบลิ๊งไทยที่จับตามองการต่อสัญญาของ BLACKPINK แต่มีการคาดการณ์ถึงเส้นทางในอนาคตของ BLACKPINK จากสื่อหลายสำนัก เพราะการออกมาพูดถึงเรื่องสัญญาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน แต่มีการถกเถียง ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2023 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทั้ง 4 คนจัดคอนเสิร์ต Born Pink รอบสุดท้ายในโซล
แต่ดูเหมือนคนที่หลายคนคาดว่าจะไม่ไปต่อกับวายจี คือ ‘ลิซ่า’ ตัวแทนสมาชิกจากประเทศไทย เนื่องจากตอนนี้เธอไม่ได้ประสบความสำเร็จแค่ในเกาหลี หรือในไทย แต่เธอคือผู้หญิงที่คนทั้งโลกรู้จัก
อีกทั้งยังมีการวิจารณ์เรื่องการดูแล ‘ลิซ่า’ ของค่ายวายจี ทั้งการโปรโมต LALISA การไม่ให้เธอไปออกงานต่างประเทศ และไม่ค่อยได้เข้าร่วมรายการเกาหลี ขณะที่เพื่อน ๆ คนอื่นมีงานต่อเนื่อง
วันที่ 7 ตุลาคม 2023 อีจินโฮ นักข่าวเกาหลีที่อยู่ในแวดวงมากว่า 15 ปี และมีผู้ติดตามในช่องยูทูบมากกว่า 480,000 คน วิเคราะห์ว่า การร่างสัญญาบุคคลกับสมาชิก BLACKPINK นั้นค่อนข้างยาก เพราะจากข่าวที่ออกมาว่า สมาชิกบางคนอาจไปตั้งบริษัทของตัวเอง และพ่อแม่ของพวกเธอก็ไปพบกับหลายบริษัท
แล้วเขาก็พูดถึงลิซ่าที่ตอนนั้นกำลังจะไปแสดงที่ Crazy Horse คาบาเรต์ชื่อดังจากปารีสว่า “ถ้าลิซ่าต่อสัญญากับวายจี มันคงเป็นเรื่องยากที่เธอจะปรากฏตัวในโชว์”
เขายังบอกอีกว่า ลิซ่าได้รับข้อเสนอจากค่ายในประเทศไทยที่มอบค่าตอบแทนถึง 5 พันล้านวอน และอ้างจากข้อมูลที่เขาหามาว่า ค่าตัวของลิซ่าอยู่ที่พันล้านวอน แม้ว่า K-pop จะได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลก แต่ก็เป็นเรื่องท้าทายที่จะลงทุน อาจไม่คุ้มค่าหากต้องจ้างด้วยเงินพันหรือสองพันล้านวอนกับสมาชิกเพียงคนเดียว แล้ว YG ก็คงมีข้อเสนอไม่กี่อย่างที่จะรักษาลิซ่าไว้ได้
ขณะที่ Sport Seoul สื่อท้องถิ่นเกาหลีก็บอกว่า นอกจากลิซ่า จีซูก็อาจจะไม่ไปต่อ เพราะเธออาจต้องการโฟกัสงานแสดงของตัวเองมากขึ้น รวมถึงยังมีกระแสข่าวว่า โรเซ่เป็นสมาชิกเพียงคนเดียวที่ไปต่อกับค่ายวายจี
ส่วนเจนนี่ก็มีชาวเน็ตตาดีเห็นเธอยังไปชอปปิงกับผู้จัดการของวายจี และยังทำงานเพลงกับค่ายวายจีในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแฟนคลับก็มองว่า อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่เธออาจจะเลือกต่อสัญญากับต้นสังกัดเดิม
แต่อีจินโฮก็บอกไว้อีกว่า “เราอาจจะเห็นสมาชิก BLACKPINK อยู่ด้วยกันครบทั้ง 4 คนถึงปลายปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปีหน้ามาถึง แล้วสัญญาบุคคลเปิดเผย คงต้องรออีกหลายปีที่จะเห็นทั้ง 4 คนมาทำงานร่วมกันในฐานะ BLACKPINK ”
ล่าสุดวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ค่ายวายจีแถลงการต่อสัญญาของทั้ง 4 สาว BLACKPINK อย่างเป็นทางการว่า “หลังจากที่หารือกันอย่างรอบคอบกับ BLACKPINK เราลงนามสัญญาพิเศษสําหรับกิจกรรมกลุ่ม บนพื้นฐานของความไว้วางใจ”
โดยหยาง ฮยอน ซอก โปรดิวเซอร์และอดีตประธานค่ายวายจีก็ออกมาแถลงเพิ่มเติมถึงการต่อสัญญาครั้งนี้ว่า “เรายินดีอย่างมากในการสานต่อความสัมพันธ์กับ BLACKPINK โดย BLACKPINK จะเดินหน้าต่อ สร้างความเฉิดฉายและเปล่งประกายในตลาดโลกในฐานะศิลปินที่ไม่ได้เป็นศิลปินภายใต้สังกัดของเรา แต่เป็นศิลปิน K-pop และเราก็จะคอยส่งแรงใจสำหรับก้าวต่อไปของพวกเธอในอนาคต”
และที่สำคัญ การต่อสัญญาเป็นเพียงสัญญาสำกรับกิจกรรมกลุ่ม ขณะที่สัญญาของสมาชิกแต่ละคนก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการเจรจา
แม้จะยังคงมีบางเรื่องที่ต้องรอความชัดเจน แต่สิ่งที่เรารู้ในตอนนี้ คือ ประวัติศาสตร์ของ 4 สาว BLACKPINK ยังคงดำเนินต่อไป
ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีใครเขียนแทน แต่เกิดจากพลังของหญิงสาว 4 คนที่หลงรักในเสียงดนตรี และมีฝันเดียวกัน เขียนขึ้นด้วยตัวพวกเธอเอง
เรื่องราวของ BLACKPINK ไม่ต่างจากหนังเรื่องหนึ่ง ที่เราต้องติดตามตอนต่อไป…
**หมายเหตุ : บทความนี้แก้ไขครั้งล่าสุด วันที่ 6 ธันวาคม 256
เรื่อง : ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง :
สารคดี BLACKPINK : Light Up the Sky