BTS : วัยเยาว์อันสวยงามที่แต้มด้วยหยาดเหงื่อ และน้ำตาบนห้วงเวลาสิบปี

BTS : วัยเยาว์อันสวยงามที่แต้มด้วยหยาดเหงื่อ และน้ำตาบนห้วงเวลาสิบปี

BTS ชายหนุ่ม 7 คนจากเกาหลีใต้ ผู้จุดประกายแสงสว่างให้กับเหล่าไอดอลค่ายเล็กในวงการเคป็อป ศิลปินผู้ทรงอิทธิพลส่งต่อเสียงเพลง ทลายกำแพงภาษาและวัฒนธรรม ก้าวขึ้นมาเขย่าวงการดนตรีระดับโลก

  • บทแรกของ BTS ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เริ่มต้นจากการเป็นศิลปินค่ายเล็ก ออกเดินทางตามความฝันมาถึงสิบปี จนกลายเป็นศิลปินระดับโลก
  • ความสำเร็จที่เกินความคาดหมาย ทำให้พวกเขาหวาดกลัวและคิดจะหยุดเส้นทางการเป็นศิลปิน แต่เพราะความเชื่อมั่นที่สมาชิกมีต่อกัน รวมถึงความรักและหลงใหลในเสียงดนตรีทำให้พวกเขาจับมือก้าวต่อในฐานะศิลปินต่อไป
  • บทที่สองของวงคือการแยกย้ายกันไปค้นหาตัวตนในฐานะศิลปินเดี่ยว รวมถึงคำมั่นสัญญาและการกลับมาของชายหนุ่มทั้ง 7 ในปี 2025

“บัง! ทัน! สวัสดีครับ พวกเราคือบังทันโซนยอนดัน”

คำแนะนำตัวอันทรงพลังจาก ‘BTS’ หรือ ‘บังทันโซนยอนดัน’ (방탄소년단) แปลตรงตัวว่าเด็กหนุ่มในเสื้อเกราะกันกระสุน วงบอยแบนด์ระดับโลกที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนสักครั้งหนึ่ง

บังทัน หมายถึงเกราะกันกระสุน ดังนั้นบังทันโซนยอนดันจึงหมายถึงเหล่าเด็กหนุ่มผู้ที่จะทำเพลงเพื่อเป็นเกราะป้องกันความยากลำบาก อคติ และการกดขี่ที่วัยรุ่นต้องเผชิญ ต่อมาในปี 2017 พวกเขาได้ขยายความหมายของ BTS เป็น ‘Beyond the Scene’ หมายถึงเหล่าวัยรุ่นผู้พัฒนาสู่ความใฝ่ฝันอย่างไม่หยุดยั้งและไม่ยึดติดกับสถานภาพปัจจุบัน

BTS ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 7 คน ได้แก่ อาร์เอ็ม (คิมนัมจุน), จิน (คิมซอกจิน), ชูก้า (มินยุนกิ), เจโฮป (จองโฮซอก), จีมิน (ปาร์คจีมิน), วี (คิมแทฮยอง) และ จองกุก (จอนจองกุก) พวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเดินทางตามความฝันอย่างการเป็นศิลปินที่ส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านเสียงดนตรีให้กับผู้คนมากมาย

BTS สร้างประวัติศาสตร์และปรากฏการณ์ในวงการเพลงระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากการคว้ารางวัลศิลปินหน้าใหม่ในงานประกาศรางวัลในเกาหลีใต้อย่าง Melon Music Awards 2013 เติบโตจนไปคว้ารางวัลศิลปินแห่งปีจากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดในปี 2021 ท่ามกลางศิลปินตะวันตกมากมาย กลายเป็นศิลปินที่มีอิทธิพลจนถึงขั้นถูกเชิญขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีประชุมสหประชาชาติ UN ถึง 3 ครั้งในปี 2018, 2020 และ 2021

แน่นอนว่าชื่อเสียงที่ล้นหลามล้วนประกอบสร้างมาจากผู้คนที่รักและให้การสนับสนุนพวกเขาอย่าง ‘อาร์มี่’ (ARMY) ที่ย่อมาจาก ‘Adorable Representative M.C for Youth’ นั่นก็คือตัวแทนพิธีกรที่น่าชื่นชมสำหรับวัยรุ่น กลุ่มคนที่เป็นกระบอกเสียงที่จะส่งต่อเรื่องราวดี ๆ เพื่อเยาวชนและส่งต่อดนตรีของ BTS จากเกาหลีใต้ให้ทั้งโลกได้ชื่นชม

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เส้นทางความสำเร็จของชายหนุ่มทั้ง 7 คนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ใครหลายคนคิด พวกเขาเริ่มต้นจากการเป็นศิลปินหน้าใหม่จากค่ายเล็ก ๆ ที่เกือบจะล้มละลาย เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่แทบจะติดลบเลยก็ว่าได้ บทความนี้จะพาย้อนรอยสำรวจเส้นทางที่กว่าจะมาเป็นวงที่มีชื่อเสียงระดับโลกของชายหนุ่มทั้งเจ็ด

จุดเริ่มต้นของเหล่าเด็กหนุ่มผู้รักเสียงเพลงกับเส้นทางสู่วงแถวหน้าในเคป็อป

ย้อนกลับไปปี 2010 ‘บังชีฮยอก’ (Bang Si Hyuk) CEO แห่งค่าย BIGHIT Entertainment (ปัจจุบันคือ BIGHIT MUSIC) ต้องการสร้างวงไอดอลฮิปฮอป โดยตั้งเงื่อนไขไว้ว่าศิลปินกลุ่มนี้จะต้องเป็นทั้งแรปเปอร์และโปรดิวเซอร์ แต่งเพลงเอง เขียนเพลงเอง เพื่อส่งต่อเรื่องราว ความรู้สึก และความจริงใจของพวกเขาผ่านเสียงเพลงให้รู้สึกร่วม เชื่อมโยง และเติบโตไปพร้อมกันได้ บังชีฮยอกจึงได้ตั้งโปรเจกต์ ‘Hit It’ ขึ้นมา ออดิชันเด็กหนุ่มที่มีใจรักในฮิปฮอป

หลังจากได้ฟังเดโม่และการแรปของเด็กหนุ่มแรปเปอร์ใต้ดินอย่าง ‘คิมนัมจุน’ บังชีฮยอกคิดว่า “คนแบบนี้ยังไงก็ต้องเดบิวต์ให้ได้” ทำให้นัมจุนกลายเป็นสมาชิกคนแรกของวง ตามมาด้วยสมาชิกอีก 6 คนที่ใฝ่ฝันในเส้นทางดนตรี ฝ่าฟันออดิชันจนได้มารวมตัวกันเป็นเด็กฝึกหัดเพื่อเดบิวต์เป็นศิลปินต่อไป

แต่การเข้ามาเป็นเด็กฝึกเป็นแค่บันไดขั้นแรกเท่านั้น เด็กฝึกทุกคนต้องซ้อมอย่างหนัก พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง รักษารูปร่างให้ดีและตรงตามความเป็นไอดอลในอุดมคติ เพื่อให้ตัวพวกเขามีศักยภาพมากพอที่จะได้เดบิวต์

“สมัยนั้น ความลำบากเป็นของตายตัว ถ้าให้ผมทำตอนนี้คงทำไม่ได้ ตอนนั้นการอดหลับอดนอนทั้งคืนและควบคุมอาหาร ทุกอย่างมันยากมาก แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ” จองกุกเล่าถึงชีวิตตอนเป็นเด็กฝึกผ่านสารคดี BTS Monuments: Beyond the Star

รายการ Rookie King (2016) เคยเปิดภาพห้องนอนของศิลปินระดับโลกในช่วงเริ่มต้นว่า เด็ก 7 คนต้องนอนรวมกัน ภายในห้องมีเตียง 2 ชั้น 3 เตียง เตียงเดี่ยวอีก 1 เตียง ทั้งยังต้องฝึกซ้อมในห้องซ้อมที่คับแคบด้วย

ช่วงเวลาที่เป็นเด็กฝึกเป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับหนุ่ม ๆ บังทัน เด็กหนุ่มทั้ง 7 คนอยู่ในห้องซ้อมตลอดเวลา ยกเว้นเวลากินกับนอน และยังต้องแบกรับความกดดันจนทำให้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เพราะมันยากลำบากมาก ทำให้ชูก้าผู้มุ่งมั่นเคยอยากยอมแพ้ เขาเล่าว่า “ผมเครียดมาก ผมเคยพยายามหนีจริง ๆ ด้วย เพราะมันต่างจากที่ผมฝันเอาไว้”

ไม่ใช่แค่ชูก้า แต่เจโฮปก็เคยตัดสินใจลาออก แต่สุดท้ายเขาก็ยอมกลับมาเพราะความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของสมาชิก น้องเล็กอย่างจองกุกขอร้องไม่ให้เขาไปทั้งน้ำตา ส่วนอาร์เอ็มก็เล่าผ่านสารคดี Burn the Stage ปี 2018 ว่า “ฉันบอกพวกเขาว่าพวกเราต้องการจองโฮซอก พวกเราทำมันต่อไม่ได้ถ้าไม่มีจองโฮซอก”

สิ่งที่พวกเขาเผชิญกันมาตลอดการเป็นเด็กฝึก เริ่มทำให้ความสัมพันธ์ทั้ง 7 คนรักและหวังดีต่อกันจนไม่อยากสูญเสียใครไป และในที่สุดวันที่ 13 มิถุนายน 2013 พวกเขาก็ได้เดบิวต์ในฐานะศิลปินชื่อ ‘บังทันโซยอนดัน’ ผ่าน ‘No More Dream’ เพลงหลักจากอัลบั้ม ‘2 COOL 4 SKOOL’ อัลบั้มแรกในชีวิตของพวกเขา


ความสำเร็จก้าวแรกในฐานะศิลปินหน้าใหม่

อัลบั้มแรกถูกปล่อยมา บังทันเป็นที่รู้จักมากขึ้น เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะ No More Dream ถูกเขียนขึ้นจากปลายปากกาของสมาชิกที่อยู่ในวัยเรียนและกำลังค้นหาตัวเอง ทำให้เพลงนี้ดังก้องในใจของสมาชิกและแฟนคลับ

อัลบั้มแรกพาพวกเขาคว้ารางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก Melon Music Awards 2013 งานประกาศรางวัลทางดนตรีของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ครั้งแรกของพวกเขา

“หลังจากได้รับรางวัล เราถูกเทียบกับวงจากค่ายใหญ่อยู่เสมอ มันทำให้เรารู้สึกด้อยกว่ามาตลอด” อาร์เอ็ม หัวหน้าวงเล่าในสารคดี BTS Monuments: Beyond the Star

แรงกดดันเริ่มถาโถมเข้ามาในความรู้สึกของสมาชิกแต่ละคน ทุกคนรู้สึกว่าต้องพัฒนาทักษะและปรับปรุงข้อบกพร่องของพวกเขาอยู่เสมอ จองกุกเล่าว่า “ผมว่าช่วงแรกของการเดบิวต์ยากกว่าก่อนจะเดบิวต์อีกครับ มีนักร้องเก่ง ๆ ร้องเพลงอยู่ ผมได้ยินผ่านอินเอียร์ มันไม่เหมือนที่ผมร้องเลย พวกเขาอยู่อีกระดับ ระหว่างที่ฟังก็รู้สึกตัวเล็กลงเรื่อย ๆ”

แม้จะไม่ได้ดังจนเป็นกระแส แต่เพราะมีแฟน ๆ ที่คอยให้กำลังใจและส่งเสียงเชียร์ ทำให้พวกเขายังไม่ยอมย่อท้อ จินได้เล่าถึงช่วงเวลานั้นไว้ว่า “แม้แต่ตอนที่เรายังไม่ดัง แต่ก็ยังมีแฟน ๆ ที่ชอบเราอยู่ มันดีมากเลย แค่มีคนชอบเราที่เราทำงานนี้ แค่นั้นก็ดีมากแล้วครับ เพราะมีคนเหล่านี้อยู่ ไม่ว่าจะหาเงินได้หรือไม่ได้  ผมก็มีความสุข เพราะความสุขที่มาจากแฟน ๆ ที่ชอบเรา ผมถึงอดทนผ่านมันมาได้ครับ”

เพราะ BTS เป็นวงน้องใหม่ในวงการ และยังเป็นศิลปินค่ายเล็ก การไปออกรายการเพลงตามช่องทีวีเพื่อประกาศให้คนเกาหลีรู้จักพวกเขาก็เป็นเรื่องยาก ถึงจะดูเหมือนโชคไม่เข้าข้าง แต่ค่ายบิ๊กฮิตกลับแก้เกมด้วยการปล่อยวิดีโอเบื้องหลังการฝึกซ้อม การทำเพลง ชีวิตประจำวันของ BTS และให้อิสระกับสมาชิกในการตอบโต้กับแฟนคลับผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ศิลปินกับแฟนคลับรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น นำไปสู่การสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่ง

 

แดซังแรกพร้อมติดปีกบิน

เดบิวต์ได้ 2 ปี บังทันเปลี่ยนจากคอนเซปต์สไตล์ฮิปฮอป เป็นคอนเซปต์วัยเยาว์เข้าถึงง่ายและทำเพลงป็อปที่มีความหลากหลายมากขึ้น ถ่ายทอดประสบการณ์วัยเยาว์ของพวกเขาอย่างซื่อตรงผ่านเนื้อเพลงกับอัลบั้ม ‘The Most Beautiful Moment in Life, Pt. 1’ (2015)

มิวสิกวิดีโอเพลงหลักอย่าง ‘I NEED U’ นำเสนอเรื่องราวชีวิตของเหล่าเด็กหนุ่มที่กำลังสับสน มีเส้นเรื่องที่ซับซ้อนราวกับหนังวัยรุ่นชวนให้ติดตาม มีการเปิดเผยเบื้องหลังมิวสิกวิดีโอผ่านชุดดีวีดี BTS MEMORIES 2015 ว่าพวกเขาต้องดึงตัวผู้จัดการของวงมาเป็นนักแสดงสมทบเพราะงบประมาณที่ไม่เพียงพอ

และเพลง ‘I NEED U’ ยังทะยานติดอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงของเกาหลีใต้อย่าง Melon, Bugs และ Naver Music พา BTS ชนะในรายการเพลงทางโทรทัศน์ของเกาหลีใต้เป็นครั้งแรก นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พวกเขากลายเป็นที่รู้จักในเกาหลีมากขึ้น

ปี 2016 บังทันเริ่มติกปีกบินสู่โลกกว้างด้วยการปล่อยอัลบั้มเต็มที่เปี่ยมคุณภาพอย่าง ‘WINGS’ ซึ่งได้นำวรรณกรรมเรื่อง ‘เดเมียน’ (Demian) ของ ‘เฮอร์มานน์ เฮสเส’ (Hermann Hesse) มาบรรจุไว้ในอัลบั้ม ผ่านเนื้อร้องและมิวสิกวิดีโอ ผลงานคุณภาพพาพวกเขาคว้ารางวัล ‘ศิลปินแห่งปี’ หรือ ‘แดซัง’ หนึ่งในสามรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในงานประกาศรางวัลดนตรี Mnet Asian Music Awards ยืนยันว่าพวกเขาได้ไต่ขึ้นมาเป็นศิลปินเบอร์ต้นในเกาหลีเป็นที่เรียบร้อย

 

ชายหนุ่มจากเกาหลีใต้ก้าวขึ้นเวทีดนตรีระดับโลก เข้าถึงผู้คนอย่างจริงใจด้วยดนตรี

ใครกันที่คว้ารางวัล ‘Top Social Artist’ ที่จัสติน บีเบอร์ ได้ติดต่อกันถึง 6 ปีไปครอง?

จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรู้จัก BTS คือ การเป็นศิลปินเกาหลีใต้วงแรกที่เข้าร่วมงาน Billboard Music Awards ในปี 2017 อีกทั้งยังคว้ารางวัลท็อปโซเชียลฯ มาได้สำเร็จ เป็นผลมาจากพลังการใช้โซเชียลฯ ติดต่อสื่อสารกับแฟนคลับอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่แรกของวง งานนี้ถือเป็นก้าวแรกของ BTS ในตลาดเพลงอเมริกา

“รางวัลศิลปินแห่งปี คือโอกาสสุดท้ายของเรา ถ้ามันคือหนังนี่ก็เป็นฉากจบนะครับ ณ จุดนั้นเราทำทุกอย่างที่ทำได้แล้วในฐานะศิลปินเกาหลี แต่จู่ ๆ เขาก็ให้พวกเราไปอเมริกา” ชูก้าหนึ่งในแรปเปอร์และโปรดิวเซอร์ของวงเล่าถึงการได้ไปเยือน Billboard Music Awards เป็นครั้งแรก

หลังจากนั้นพวกเขาเริ่มปล่อยอัลบั้มซีรีส์ ‘Love Yourself’ ได้แก่ ‘Love Yourself: Her’ (2017), ‘Love Yourself: Tear’ (2018) และ ‘Love Yourself: Answer’ (2018) สื่อสารกับสังคมด้วยประเด็นปัจเจกอย่างการรักตัวเอง ถ่ายทอดประสบการณ์ความรัก ความเจ็บปวดและยากลำบาก สุดท้ายแล้วการรักตัวเองคือจุดเริ่มต้นของความรักที่แท้จริง เน้นย้ำถึงความกล้าหาญของ BTS ในฐานะทั้งศิลปินและนักเล่าเรื่อง

ชื่อของพวกเขาติดชาร์ต Billboard Hot 100 ทุกครั้งที่ปล่อยเพลงใหม่และไต่อันดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนให้เห็นชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้นในอเมริกา พวกเขามีชื่อขึ้นแสดงและได้รับเชิญในรายการทีวี รวมถึงคว้ารางวัลสาขาต่าง ๆ จากเวทีประกาศรางวัลในอเมริกาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นมา สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการเพลงสากลอย่างไม่รู้จบ ไม่ใช่แค่ในฐานะศิลปินเคป็อป แต่ในฐานะศิลปินจากเอเชีย

อีกความสำเร็จที่ตอกย้ำว่าพวกเขาได้กลายเป็นศิลปินระดับโลกคือการเปิดฉากสเตเดียมทัวร์ ‘LOVE YOURSELF: SPEAK YOURSELF’ (2019) จัดคอนเสิร์ตในสนามกีฬาใหญ่ ๆ ทั่วโลก เช่น สเตเดียมสำคัญในอเมริกาอย่าง Rose Bowl, Soldier Field และ MetLife หรือสเตเดียมในบราซิลอย่าง Allegiant

ที่สำคัญคือพวกเขากลายเป็นศิลปินเอเชียรายแรกที่เล่นคอนเสิร์ตที่ Wembley Stadium สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษสถานที่เดียวกันกับศิลปินในตำนานอย่าง วง Queen, The Beatles หรือ Coldplay พิสูจน์ความสามารถและทักษะการแสดงที่ดีเยี่ยมในการแสดงต่อหน้าผู้ชมกว่า 60,000 คน

ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ปิดฉากทัวร์คอนเสิร์ต ‘BTS World Tour: Love Yourself’ (2018) ที่สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างอีกประวัติศาสตร์เป็นศิลปินเกาหลีวงแรกที่ได้จัดคอนเสิร์ตที่ราชมังคลากีฬาสถาน ขายบัตร 40,000 กว่าใบหมดภายในพริบตาทั้งสองรอบการแสดง สะท้อนให้เห็นฐานความนิยมในไทยที่ไม่แพ้ที่อื่น

“เพราะทุกคน ผมถึงมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เชื่อผมเถอะครับ ในอนาคตข้างหน้าแม้จะเป็นถ้อยคำเพียงคำเดียวของเรา เนื้อเพลงเพียงท่อนเดียวของเรา แม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว ผมก็หวังว่ามันจะช่วยให้พวกคุณรักตัวเองนะครับ” อาร์เอ็มกล่าวในการแสดงปิดทัวร์ ‘LOVE YOURSELF: SPEAK YOURSELF’ ณ โซล โอลิมปิก เมนสเตเดียม เกาหลีใต้

หลังจากได้ทำการแสดงต่อหน้าผู้คนมากมาย ก็ทำให้พวกเขาตระหนักถึงจิตวิญญาณของการเป็นศิลปิน พวกเขาเข้าถึงผู้คนอย่างจริงใจด้วยดนตรี การได้มอบพลังให้ผู้คนผ่านการแสดงคอนเสิร์ตได้ทำให้พวกเขามีความสุข

เจโฮปเล่าถึงการได้ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้ว่า “พอเป็นแบบนั้นผมก็สรุปได้ว่านี่แหละตัวผม ผมเป็นศิลปินที่เล่นคอนเสิร์ต เพื่อแบ่งปันดนตรีของผมทำให้หัวใจของผู้ชมอบอุ่น และรับความรักจากผู้คนมากมาย ผมรู้สึกอย่างนั้นอย่างเต็มเปี่ยมและได้รู้แจ้งผ่านการแสดง”

ในช่วงที่โควิด-19 เริ่มระบาดจนทำให้ทั้งโลกหยุดนิ่ง แต่ BTS ได้เริ่มบุกตลาดอเมริกาอย่างจริงจังด้วยด้วยเพลงดิสโก้ย้อนยุคอย่าง ‘Dynamite’ (2020) ซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขา กลายเป็นศิลปินเกาหลีกลุ่มแรกที่ติดอันดับหนึ่งบนชาร์ต BILLBOARD HOT 100 ชาร์ตเพลงระดับโลก และเพลงอยู่ในชาร์ตนานถึง 32 สัปดาห์ หากนี่เป็นการตีตลาดเพลงอเมริกาอย่างจริงจังก็ถือว่าพวกเขาได้ทุบแตกกระจุยกระจายแล้ว

ในปีเดียวกันพวกเขาก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่เป็นครั้งแรก ในประเภท Best Pop Duo/Group Performance สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการเคป็อป เพราะเวที GRAMMY Awards เป็นงานประกาศรางวัลที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่มากที่สุดของโลก แม้จะไม่ได้รับรางวัล แต่พวกเขาเล่าว่าแค่การได้เข้าชิงร่วมกับศิลปินระดับโลกก็เป็นเกียรติสำหรับพวกเขาแล้ว

 

ศิลปินผู้ทรงอิทธิพลที่ส่งเสียงในประเด็นสังคม

แม้จะกลายเป็นศิลปินระดับโลก แต่การเป็นศิลปินเอเชียท่ามกลางชาวตะวันตกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาถูกเหยียดเชื้อชาติหลายต่อหลายครั้ง หลังจากที่พลาดรางวัลแกรมมี่ Topps Company (ผู้ผลิตการ์ดสติกเกอร์ของสหรัฐฯ) ประกาศขายสติกเกอร์รูปการ์ตูนล้อเลียนเปรียบสมาชิก BTS เป็นตุ๊กตาในเกมทุบตัวตุ่นและกำลังถูกทุบตีด้วยรางวัลแกรมมี่ ในขณะที่ศิลปินคนอื่นถูกวาดให้ยืนร้องเพลงอย่างสง่างาม มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่เป็นการนำเสนอภาพล้อเลียนเหยียดเชื้อชาติ และลดทอนความเป็นมนุษย์

และบังทันยังเคยถูกดีเจนักจัดรายการวิทยุชาวเยอรมัน ‘มาเธียส มาตูสชิค’ (Matthias Matuschik) วิจารณ์ผลงานโคฟเวอร์เพลง Fix You ของ Coldplay ว่า “ทำแบบนี้น่าจะส่งไปพักร้อนที่เกาหลีเหนือสัก 20 ปี พวกเขาเป็นไวรัสโคโรนาน่าขยะแขยงและควรถูกกำจัดให้สิ้นซากด้วยวัคซีน”

ต่อมาแม้ Topps Company และดีเจจะออกมากล่าวขอโทษในภายหลัง แต่ BTS ยังคงต้องเผชิญกับการเหยียดเชื้อชาติต่อไปอีกหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน ในฐานะผู้ที่เผชิญกับความเกลียดชังทางเชื้อชาติ พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้หยุดสร้างความเกลียดชังต่อคนเอเชียผ่าน #StopAsianHate บนทวีตเตอร์ และทรงพลังจนกลายเป็นทวีตที่มียอดรีทวีตสูงสุดในปี 2021 ถึง 1 ล้านครั้ง

ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยออกมาขับเคลื่อนประเด็นความเท่าเทียม ต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวและเชื้อชาติ โดยได้บริจาคเงินถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 31 ล้านบาท) และออกมาส่งเสียงเรียกร้องเพื่อองค์กร Black Lives Matter ผ่านทางทวิตเตอร์ว่า “เราขอยืนหยัดต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เราขอประณามการกระทำที่รุนแรง คุณและผม พวกเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับความเคารพ เราจะยืนหยัดเคียงข้างกัน”

หลังจากเหล่าอาร์มี่ทราบเรื่อง พวกเขาร่วมกันสร้างแคมเปญ #MatchAMillion ระดมทุนรวบรวมเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ภายใน 24 ชั่วโมงและบริจาคให้กับองค์กร Black Lives Matter เช่นกัน

นอกจากจะใช้เสียงเพลงเพื่อเปลี่ยนโลกแล้ว บังทันยังใช้พื้นที่สื่อของตนมาเป็นกระบอกเสียงเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก การเคลื่อนไหวประเด็นสังคมของพวกเขาได้สร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับกลุ่มแฟนคลับ จนสร้างแรงกระเพื่อมขับเคลื่อนสังคมได้

 

เบื้องหลังอันเจ็บปวดและความสำเร็จที่พุ่งขึ้นไปไกลจนน่าหวาดกลัว

บังทันเป็นศิลปินที่แต่งเพลงและเขียนเนื้อเพลงด้วยตัวเอง คำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับผลงาน พวกเขาล้วนเก็บมาใส่ใจ อาร์เอ็มเปิดเผยว่าโรคตื่นตระหนกจะออกอาการทุกครั้งเวลาที่ปล่อยเพลงใหม่ “มันเหมือนความรู้สึกสิ้นหวังที่สุดในวันที่ควรจะมีความสุขที่สุด ผมเล่นอินเทอร์เน็ตในวันที่ปล่อยเพลงไม่ได้เลยครับ ผมได้ยินว่าผลตอบรับดี ได้ยินว่าติดอันดับสูงบนชาร์ตและอะไรต่าง ๆ แต่… ผมกลัวคำก่นด่า”

นอกจากนั้นแล้วการหันหลังให้การเป็นแรปเปอร์ใต้ดินของอาร์เอ็มและชูก้ายังทำให้พวกเขาถูกเพื่อนแรปเปอร์ใต้ดินรวมถึงแฟน ๆ ฮิปฮอปเหยียดหยามและดูถูก ชูก้าเล่าว่า “ในอดีตอาชีพไอดอลถูกมองในแง่ลบมากเลยครับ ทุกวันนี้เราได้รับการยอมรับจากความสำเร็จจากต่างประเทศ แต่สมัยนั้นเป็นอะไรที่ทุกข์ใจมาก มีประเด็นถกเถียงที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่เต็มไปหมด เราทุกข์ทรมานเพราะมันอยู่หลายปี”

หลังประสบความสำเร็จในอเมริกา อาร์เอ็มเล่าว่าการเดินทางของพวกเขาเหมือนกับการวิ่งมาราธอน “พวกเราคิดว่าจะวิ่งแค่ห้าหกกิโลเมตร แต่รู้ตัวอีกทีก็ได้ไปโอลิมปิกแล้ว และสถานีโทรทัศน์อเมริกาก็ออกอากาศการวิ่งมาราธอนของเรา มันรู้สึกแบบนั้นน่ะครับ ผมเลยแบบ ‘ผมอยากพักแล้วนะครับ’ คนก็แบบ ‘บ้าไปแล้วเหรอ! นายได้ออกช่องทีวีระดับโลกแล้วนะ พูดอะไรน่ะ นายต้องไปต่อสิ’”

ความนิยมของบังทันพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแฟนคลับหน้าใหม่ให้ความสนใจอย่างมากมาย พวกเขาประสบความสำเร็จมากจนไม่ทันตั้งตัว แม้คนอื่นจะบอกว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ภายในใจของเหล่าสมาชิกนั้นเปี่ยมไปด้วยความกดดันและความหวาดกลัวต่อจุดสูงสุด

“ชื่อเสียงแบบนี้ ไม่ใช่ขนาดที่เราจะรับไหว” ชูก้ากล่าวถึงความสำเร็จของวงที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

ในฐานะแฟนคลับคนหนึ่ง เราก็คาดหวังตั้งตารอผลงานชิ้นต่อไปของศิลปินที่รัก แต่สำหรับบังทัน ความกดดันก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ พวกเขารู้สึกว่าตัวเองยังมีจุดที่บกพร่องและต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ผลงานที่ออกมาก็ต้องทำให้ดีที่สุดให้สมกับความคาดหวังที่ทุกสายตาทั่วโลกกำลังจับจ้อง จนสุดท้ายก็เคยหมดไฟจนอยากจะหยุดทุกสิ่ง

ชูก้าเล่าถึงความกดดันในใจว่า “รู้สึกเหมือนเราบีบอัดประสบการณ์ 20 ปีให้เป็นประสบการณ์ 6 - 7 ปี เราถึงได้เหนื่อยล้า มันเกินขีดจำกัด ‘ถ้าใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไปจะมีจุดจบไหม’ ทุกคนเจอความลำบากเพราะความคิดแบบนี้ครับ พวกเราคิดอยากจะเลิกบ่อยมาก เรารู้สึกกดดันจากทุกอย่าง แล้วก็กลัว ไม่มีใครให้ขอคำแนะนำด้วย”

แน่นอนว่ายิ่งขึ้นไปจุดที่สูงก็ยิ่งหนาว หากพลาดตกลงมาก็ยิ่งจะเจ็บมากกว่าคนอื่น ความสำเร็จที่มาเร็วเกินไป ทำให้บังทันรับมือไม่ทัน

วีเล่าผ่านสารคดี Beyond the Star ว่า “คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่เป้าหมายของเราไม่ได้อยู่สูงขนาดนี้ เราแค่ขึ้นบอลลูนเพราะอยากดูวิวสวย ๆ และท่องเที่ยวไปรอบ ๆ แต่สุดท้ายเราก็ทะลุชั้นบรรยากาศ ทุกอย่างมืดลง รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในอวกาศ เห็นดาวฤกษ์และดาวเคราะห์แล้ว”

วีเล่าต่อว่า “พูดตามตรงผมกลัวการอยู่ในจุดนี้มากครับ รู้สึกว่างเปล่า หวาดกลัว และมืดมน ไม่รู้ว่าเราควรบินขึ้นไปอีกสูงแค่ไหน ผมรู้สึกได้ว่าการใช้ชีวิตอยู่กับความคาดหวังของคนอื่นมันน่ากลัวแค่ไหน”

 

‘You and I, best moment is yet to come’ เรื่องราวบทใหม่และการกลับมาอีกครั้งในอนาคต

“แม้เข้าวัย 30 ยังพอจะแสดงภาพลักษณ์ของไอดอลในอุดมคติได้ไหมครับ เราอยากทำให้ภาพลักษณ์ในอุดมคติเป็นจริงโดยที่ทีม 7 คนยังคงดำเนินอยู่และก็ทำงานเดี่ยวของตัวเองออกมาได้ดีด้วย แม้จะทำแบบนั้นไม่ได้เราก็ไม่อยากผิดหวังครับ แต่ยังไงก็คิดว่า ‘ทีมเราอาจจะทำได้ก็ได้’ ผมอยากแสดงให้เห็นเรื่องราวบทต่อไปของไอดอลในแบบที่ยอดเยี่ยมและเหมาะสมครับ” - อาร์เอ็มกล่าวถึงความเชื่อมั่นในการกลับมาของ BTS

บทที่สองของบังทันเริ่มต้นขึ้นในปี 2022 เนื่องจากเกาหลีใต้ยังคงอยู่ในภาวะสงครามกับเกาหลีเหนือ ตามกฎหมายผู้ชายสัญชาติเกาหลีใต้ที่มีอายุ 18 - 28 ปี จะต้องเข้าปฏิบัติหน้าที่รับราชการทหาร เมื่อถึงเวลา BTS ก็ต้องเข้าร่วมเช่นกัน ถึงแม้จะน่าเสียดายที่ต้องพักกิจกรรมวงในช่วงที่อยู่ในจุดสูงสุด แต่พวกเขาได้วางแผนเตรียมผลงานเดี่ยว และการเข้ารับราชการทหารของสมาชิกวงไว้เพื่อให้วงได้เติบโตขึ้นอีกขั้น

เจโฮปพูดถึงการหยุดกิจกรรมวงและการเริ่มต้นผลงานเดี่ยวในวิดีโอ #2022BTSFESTA ฉลองครบรอบ 9 ปีของวงไว้ว่า “ผมคิดว่าเราก็ถึงจุดที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแล้วด้วย เราควรแยกย้ายไปใช้เวลาของตัวเองเพื่อจะได้เรียนรู้ในการกลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง ถ้าทำอย่างนั้น BTS จะกลายเป็นทีมที่แข็งแรงขึ้นได้ นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและเหมาะสมในการก้าวสู่บทที่สองของบังทันโซนยอนดัน”

สมาชิกได้แยกย้ายไปเตรียมการเพื่อปล่อยอัลบั้มเดี่ยว พวกเขาแยกกันเพื่อไปเรียนรู้ ค้นหาตัวตน ทำดนตรีเขียนเนื้อเพลงตามความชอบส่วนตัว และสารที่ต้องการส่งให้แฟนคลับในฐานะศิลปินเดี่ยว ไม่ใช่ในฐานะสมาชิกวง BTS ซึ่งผลงานเดี่ยวที่พวกเขาได้ทยอยปล่อยออกมาก็ล้วนประสบความสำเร็จ สมาชิกทั้ง 7 มีผลงานโซโล่ที่ติดชาร์ตเพลง Billboard Hot 100 ครบทุกคน

จินผู้ที่เข้ารับราชการทหารไปเมื่อปลายปี 2022 ได้กล่าวในสารคดี BTS Monuments: Beyond the Star ว่า “ไม่รู้ว่าช่วงที่ห่างกันจะมีความหมายอะไรไหมนะครับ เมื่อก่อนการอยู่ด้วยกันทุกวันเป็นสิ่งสำคัญ แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว ครอบครัวไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดก็ได้ครับ แค่หัวใจอยู่ด้วยกันก็เป็นครอบครัวแล้ว”

หลังจากทำกิจกรรมเดี่ยว จนถึงตอนนี้สมาชิกบังทันทุกคนก็ได้เข้ารับราชการทหารไปแล้ว และคาดการณ์ว่า จีมินและจองกุก สมาชิกสองคนที่เข้ากรมเป็นลำดับสุดท้ายจะกลับมาในปี 2025 ทั้งสมาชิกและอาร์มี่เองก็ตั้งตาคอยและคาดหวังการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของ BTS

วีกล่าวถึงการแยกจากกันในครั้งนี้ไว้ว่า “ยิ่งไม่ได้เห็น ก็ยิ่งเป็นห่วง ผมเลยหวังว่าจะไม่มีใครเจ็บตัว หลังจากที่ทุกคนกลับมาแล้ว ผมหวังว่าเราจะวางแผนสร้างความทรงจำล้ำค่าร่วมกับอาร์มี่ต่อไปได้ครับ”

‘เพราะช่วงเวลาที่ดีที่สุดมันยังไม่มาถึง’

เจโฮปเล่าถึงความเชื่อมั่นของเขาในการกลับมาของ BTS ไว้ว่า “เราคาดเดาไม่ได้หรอกครับว่าเราจะลงเอยอย่างไร หรือภาพลักษณ์ของ BTS จะเปลี่ยนไปไหม แต่มันเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ผมเชื่อมั่นว่าทีม BTS จะยังมีอยู่ต่อไป และมันก็เป็นความเชื่อมั่นที่ดี”

เชื่อว่าอาร์มี่ทุกคนต่างก็ตั้งตารอคอยการกลับมาของ BTS ในปี 2025 พวกเขาจะกลับมาด้วยคอนเซปต์แบบไหน จะทำเพลงแนวอะไรเราไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือเราจะได้เห็นผลงานคุณภาพ ได้เห็นเนื้อเพลงที่พวกเขาจรดปากกาถ่ายทอดออกมาด้วยความจริงใจ และการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมอีกครั้งอย่างแน่นอน เพราะช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ BTS และอาร์มี่ยังรอเราอยู่ในอนาคต

 

เรื่อง : อารียา อวนอ่อน (The People Junior)

ภาพ : Bighit Entertainment
 

อ้างอิง :

สารคดี BTS Monuments: Beyond the Star

How BTS Took Over the World: A Timeline of the Group’s Biggest Career Moments / Billboard

BTS Chart History / Billboard

Every Solo Song by a BTS Member to Chart on the Billboard Hot 100 / Billboard

BTS World Tour Love Yourself / ibighit

BTS are the first Korean band to headline Wembley Stadium Published / bbc

BTS WORLD TOUR ‘LOVE YOURSELF’ BANGKOK บัตรหมดเกลี้ยงพร้อมเพิ่มอีก 2 รอบ / nationtv

K-Pop in Uniform: All 7 BTS Members Are Doing Military Service / nytimes

BTS (방탄소년단) ‘찐 방탄회식’ #2022BTSFESTA / BANGTANTV

BTS Were Once Again The Subject Of Racist On-Air Remarks—And Received A Pathetic Non-Apology / forbes

Topps’ Racist BTS Garbage Pail Kids Sticker Would Have Been A Terrible Idea At Any Time / forbes

K-pop stars BTS share racial discrimination they faced / cnn

World Asia / CNN