การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

มิลลิ - ดนุภา คณาธีรกุล, ฟาร์-พิชญานิน หนูศรี และแป้ง-ธนัญญา อินวงษ์ ศิลปินจากค่าย YUPP! รวมตัวกันในโปรเจกต์พิเศษภายใต้ชื่อ ‘DREAMGALS’ (ดรีมแกลส์) เกิร์ลกรุ๊ปที่รวมเหล่าหญิงสาวที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วมาไว้ได้อย่างลงตัว

จริงป่ะเนี่ย, จริงเหรอ, ไม่เห็นรู้เลย

คือคำที่ 3 สาวตรงหน้า มิลลิ - ดนุภา คณาธีรกุล, ฟาร์-พิชญานิน หนูศรี และแป้ง-ธนัญญา อินวงษ์ พูดติดปากตลอดเวลาที่เริ่มพูดคุย พวกเธอล้วนเซอร์ไพรส์กับเรื่องราวของกันและกัน จนแทบเก็บอาการไม่ไหว เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ‘เพื่อน’ ที่นั่งข้างกันจะผ่านประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนถึงเพียงนี้ ทั้งปัญหาส่วนตัว ความเป็น-ความตายที่เคยเผชิญ มาจนถึงวันที่ได้รับคำนำหน้าชื่อว่า ‘ศิลปิน’

พวกเธอคือศิลปินจากค่าย YUPP! รวมตัวกันในโปรเจกต์พิเศษภายใต้ชื่อ ‘DREAMGALS’ (ดรีมแกลส์) เกิร์ลกรุ๊ปที่รวมเหล่าหญิงสาวที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วมาไว้ได้อย่างลงตัว เพราะนี่มันเป็นการรวมตัวของเพื่อนหญิงพลังหญิงชัด ๆ! โดยมี ออนนี่ - พี่สาวที่พร้อมซัพพอร์ตความรู้สึกของทุกคนอย่างมิลลิ - ดนุภา คอยจับมือให้กำลังใจ ฟาร์ – พิชญานิน พี่สาวที่เคยไม่มั่นใจในเสียงร้องและรูปร่างหน้าตาตัวเอง ส่วนน้องคนเล็กอย่าง แป้ง-ธนัญญา ถึงภายนอกจะดูแข็งกร้าว แต่ภายในกลับเปราะบางเสียจนเผลอร้องไห้ออกมาทุกครั้ง ที่พูดถึงเส้นทางการเป็นศิลปินของตัวเอง

แต่สิ่งหนึ่งที่มีร่วมกันคือ พวกเธอเชื่อว่าทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น ล้วนมีเอกลักษณ์และความพิเศษ การรวมตัวครั้งนี้จึงอยากส่งต่อพลังบวก เพิ่มขีดความมั่นให้เพื่อนร่วมโลก ว่าเธอน่ะ เจ๋งที่สุดในโลกแล้ว!

และนี่คือบทสนทนาที่เราเชื่อว่า คุณจะได้สัมผัสตัวตนของทุกคนได้อย่างเต็มเปี่ยม มีทั้งความจริงจัง จริงใจ คลอด้วยเสียงหัวเราะ และบางครั้งก็ทำให้พวกเธอรู้สึกอ่อนแอจนเผลอร้องไห้ออกมา ทำให้เราเห็นว่ามิตรภาพที่สาว ๆ มีให้กันนั้น ทรงพลังมากเพียงใด

การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

“เผลอ ๆ วันนี้น่าจะเป็นวันที่พวกหนูได้รู้จักกันมากที่สุดแล้วค่ะ”

The People : ก่อนที่เราจะเห็นคุณเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินอย่างในปัจจุบัน แต่ละคนเริ่มสนใจการร้องเพลงมาตั้งแต่ต้นเลยไหม

ฟาร์ : ฟาร์ก็สนใจตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เพราะว่าพ่อกับแม่เขารักดนตรีมาตั้งแต่เด็กเลย แล้วก็กลับบ้านไปพ่อกับแม่ก็จะตั้งวงร้องเพลงเล่นดนตรีกัน ก็เลยทำให้เลือกรักร้องเพลง หนูก็ร้องเพลงตอนเด็ก ๆ เพราะว่าพ่อกับแม่ค่ะ พ่อจะชอบฟังคาราบาว เพลงเพื่อชีวิต ส่วนคุณแม่จะชอบ Celine Dion, Whitney Houston

มิลลิ : ดนตรีมาค้นพบว่าตัวเองมีเนื้อเพลงที่ชอบตอนประมาณ ม.ต้น ค่ะจาก YouTube นี่แหละ ชอบ EDM ก่อน เริ่มต้นมาจาก EDM แล้วก็ไปเจอ Nicki Minaj ในเพลง Starships แล้วก็ตามจาก Nicki Minaj ไป Hiphop แต่ว่าในขณะเดียวกันที่ค้นพบ EDM เราเป็นติ่งเกาหลีด้วย ดนตรีตั้งแต่ตอนนั้นที่รู้ว่าตัวเองชอบ แต่ก็ยังไม่ได้ฟันธงว่าฉันชอบดนตรี ฉันแค่ชอบ Entertainment เฉย ๆ ถ้าให้เคาะจริง ๆ ว่าฉัน โอ้ รักดนตรีจริง ๆ มหา’ลัยเลยค่ะที่ได้เล่นคีย์บอร์ด

แป้ง : ของหนูก็ไม่น่าจะต่างอะไรจากทุกคนเลยคือก็เป็นเด็กที่ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก เพราะว่าคือชอบร้องเพลงกับแม่ตอนเด็ก แม่เป็นคนที่ชอบฟัง Adele, Rihanna

มิลลิ : ทำไมแม่เลิศจัง

ฟาร์ : แม่เทสดี

มิลลิ : แม่นี่ฟัง ทาทา ยัง นะคะ 2002 ราตรีนะคะ แม่ฉันน่ะ

แป้ง : ใช่แล้วก็พ่อก็แบบเป็น พ่อไม่ได้เป็นอะไรพิเศษเกี่ยวกับดนตรีแต่ว่าเขาเป็นคนที่ร้องเพลงลูกทุ่งเพราะมาก

ฟาร์ : เฮ้ย! เรื่องนี้ไม่รู้เลย

แป้ง : ก็คือหัดร้องเพลงลูกทุ่งกับพ่อตั้งแต่เด็ก

มิลลิ : เฟี้ยวว่ะ พ่อฉันฟังอัสนี-วสันต์

ฟาร์ : นี่ตอนเด็ก ๆ อัสนี-วสันต์ไปอยู่หน้าเวทีเลยพ่อกับแม่พาไป แล้วแม่ดันอยู่อย่างนี้ติดรั้ว

มิลลิ : โหย โคตรดี

แป้ง : หนูเป็นคนตาก หนูเกิดจังหวัดตากคือบ้านพ่อ แต่ว่า เป็นคนเหนือ แต่บ้านแม่อยู่บุรีรัมย์

ฟาร์ : เป็นสาวเหนือนะ

แป้ง : แต่หนูพูดภาษาเหนือไม่ได้แล้ว เพราะว่าช่วงวัยเด็กที่หนูพูดแบบนี้มันได้เลือนไปหมดแล้ว เพราะว่าหนูมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนประมาณอนุบาลอะไรอย่างนี้ หนูก็พ่อแม่แยกทางกันอะไรอย่างนี้ หนูก็พูดกับแม่เป็นภาษากลาง แล้วก็บางทีแม่ก็พูดภาษาเขมรใส่

มิลลิ : แล้วเขมรได้ยังตอนนี้

แป้ง : ฟังออก

มิลลิ : ฟังเขมรออกเหรอ จริงป่ะเนี่ย

ฟาร์ : จริงเหรอ ไม่เห็นรู้เลย

มิลลิ : เผลอ ๆ วันนี้น่าจะเป็นวันที่พวกหนูได้รู้จักกันมากที่สุดแล้วค่ะ

The People : แต่ว่ามีช่วงที่แบบว่าแป้งรู้สึกดาวน์ใช่ไหมที่พ่อแม่เลิกกัน เราก็อยู่กับดนตรีมากขึ้นหรือเปล่า

แป้ง : หนูอยู่มาตั้งนานแล้ว ๆ แต่ว่า คิดว่ามันคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเราแล้วกัน คือหนูตอนนั้นหนูคิดว่าชีวิตตัวเองไม่มีอะไรดีเลย หนูมั่นใจอยู่แค่อย่างเดียวคือร้องเพลงเพราะแค่นั้นเลย ใช่ มันก็เลยแบบมันเป็นเพื่อนหนูแล้วกัน ๆ เป็นสิ่งเดียวที่หนูมั่นใจในชีวิต แล้วหนูรู้สึกว่าอยากทำอะไรสักอย่างกับสิ่งนี้ แบบถ้าหนูได้อยู่กับการร้องเพลงมาทั้งชีวิต หนูก็จะรู้สึกว่าหนูไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ส่วนเพลงที่ฝึกร้อง หนูฝึกร้องเพลงนักร้องบ้านนอกของพุ่มพวง ดวงจันทร์ คือหนูชอบพุ่มพวงมากตอนเด็ก แล้วบ้าน คือหนูเรียนโรงเรียนวัด หนูเรียนโรงเรียนวัดพระศรีฯ แล้วโรงเรียนจะมีรูปขี้ผึ้งของแม่ผึ้ง แล้วจะมีจัดประกวดร้องเพลงของแม่ผึ้งทุกปีที่วัด มันเป็นงานวัด แล้วนี่แบบแม่ ๆ หนูอยากไปประกวดร้องเพลงอะไรอย่างนี้ หนูอ่านหนังสือยังไม่ค่อยเป็น แล้วก็หนูยังร้องเนื้อเพลงไม่ถูก แล้วตอนนั้นหนูไม่มีโทรศัพท์ หนูเด็กมาก หนูอยู่ ป.1

มิลลิ : ป.1 ร้องเพลงแม่ผึ้งแล้วเหรอ

แป้ง : (พยักหน้า) แล้ว ตอนเดินออกจากโรงเรียนน่ะ มันจะเป็นซุ้มของแม่ผึ้งแล้วเขาจะเปิดเพลงแม่ผึ้งทุกวัน แล้วเราก็ได้ยินทุกวัน แล้วหนูก็แบบร้องว่าไง หนูอยากร้องได้ทั้งเพลง หนูไม่มีโทรศัพท์หนูทำอะไรไม่ได้ หนูไปร้านอินเทอร์เน็ต แล้วเอาสมุดกับดินสอไปจดเนื้อเพลงในอินเทอร์เน็ตกลับมาเพื่อที่จะร้องให้มันถูก

มิลลิ : ได้รู้อะไรใหม่ ๆ มากวันนี้

ฟาร์ : ใหม่เหมือนกัน นี่ยังงงเลย อึ้งเหมือนกัน

แป้ง : ใช่ เมื่อสุริยนย่ำสนธยา (ร้องเพลง) มันโคตรเพราะเลยนะเว้ยสำหรับหนูการร้องเพลงลูกทุ่งแม่งโคตรเฟี้ยว มันยาก

ฟาร์ : นี่ก็ซึมซับมาจากการร้องเพลงลูกทุ่งเหมือนกัน เพราะว่าต้องโดนเอาไปแข่ง เหมือนไปแข่งชิงช้าสวรรค์ แล้วทีนี้เขาก็เลยต้องติวเราให้ร้องลูกทุ่ง ซึ่งเราเป็นนักร้องคนเดียวที่เขาแบบฝากฝังเอาไว้ แล้วตอนนั้นคือเราไม่คิด เขาให้เราซ้อมจนถึงตี 3 กลับบ้าน แล้วเราร้องไห้ เพราะว่าแบบเรากลัวลูกทุ่งมาก เพราะเราไม่เคยร้อง จนกระทั่งเนี่ยทุกวันนี้ที่เป็นตัวเราได้เพราะลูกทุ่งเหมือนกัน

ตอนนั้นอายุ 17-18 ฝึกร้องแล้วต้องไปแข่งเลยภายในเดือนนั้นน่ะ แล้วแบบเป็นการแข่ง เป็นการซ้อมที่แบบดุเดือดมาก และกลายเป็นรักลูกทุ่งไปเลย รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ของมัน ก็ถ้าเป็นที่ใต้ตอนที่ก่อนที่จะอยู่ ญ.ว. (หาดใหญ่วิทยาลัย) ค่ะ หนูอยู่ที่โรงเรียนอีกโรงเรียนนึงเป็นโรงเรียนเอกชนค่ะ ซึ่งโรงเรียนนั้นน่ะจะเดือดมากด้วยการแบบแข่งขันเอยอะไรเอย แต่ว่าที่ ญ.ว. เขาจะแข่งขันกันแบบ เอ้ย ความรู้ ความเก่ง แต่ว่าที่โรงเรียนเก่ามันจะมีเรื่องของการแบบถ้าเราเป็นนักร้องหรือว่าแบบถ้าเราทำอะไรสักอย่างนึงมันจะยากมาก ๆ ด้วยความที่แบบเขาจะชอบ โดนดูถูกเอยอะไรเอย

พอหนูก็เลยย้ายไปอยู่ที่ ญ.ว. พอไปสอบ สอบเข้าร้องเพลงใช่ไหมคะ พอหนูได้สอบเข้าร้องเพลงแล้ว หนูก็เลยต้องเป็นนักร้องโรงเรียน จะต้องแบบว่าเรียนเรื่องภาษาไทยทุกอย่างล้วน เรื่องกลอนเรื่องอะไรทุกอย่างหนูต้องแบบต้องรู้ต้องละเอียด แล้วหนูก็เลยโดนไปแข่งเขียนกลอนด้วย ก็จะได้ที่ 1 ด้วยความแบบว่าเขียนกลอนเก่ง แล้วหนูก็ไปแข่ง ปรากฏหนูแข่งลูกทุ่งได้ที่ 1 ของจังหวัด แล้วก็ได้แข่งลูกกรุงอีก ร้องเพลงหงส์เหิน เหินแบบสุด ๆ หงส์เหมราชเอย สง่าผ่าเผย เหินแบบ โอ้โห เนี่ยต้องร้องอันนี้แล้วกูก็ต้องไปร้องลูกทุ่งอีก

พอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เรียนดนตรี พอเรียนดนตรีก็จะเป็นอีกแนวนึง ที่จริงกว่าจะได้มาเรียนหนูต้องไฟต์กับที่บ้านเยอะมากเลยเหมือนกัน เพราะว่าแบบด้วยความที่มหิดลค่าเทอมมันแพงมาก แพงมาก ๆ เลย แล้วแบบคนต่างจังหวัดจะแบบมาทำไมมาอยู่ที่นี่มันไกลบ้านเรา โอ้โห ต้องขึ้นเครื่องบินมา แล้วก็ต้องมาปักหลักอยู่ที่นี่คนเดียว เริ่มทุกอย่างเองคนเดียวไม่มีครอบครัวไม่มีอะไร ตอนนั้นหนูไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้เหมือนกัน

มิลลิ : แล้วทำไมที่บ้านให้มา

ฟาร์ : คุณอาเป็นคนบอกว่าจะจ่ายค่าเทอมเอง ทำไงก็ได้ให้หลานขึ้นมาอยู่ให้ได้ คุณอาเป็นคนพูดเลยว่าแบบว่าสนับสนุนนะ ทำยังไงก็ได้ แต่ขอว่าต้องตั้งใจ ต้องประสบความสำเร็จ หางานจากตรงนี้ให้ได้

มิลลิ : ประสบความสำเร็จก็เลยเกียรตินิยมเลย

ฟาร์ : ก็ไม่ได้เกียรตินิยมหรอก ไม่แต่ว่า คือต้องบอกว่าเข้ามาปีหนึ่งต้องตั้งใจเอาเกียรตินิยมเลยแล้วเรียนได้ 3.98 เลย

The People : อ่านเจอมาว่าคุณพ่อมิลลิเหมือนเวลาเข้าร้านหนังสือเข้าไปเลือกหนังสือเล่มหนึ่ง เวลาอ่านจบแล้วต้องสรุปให้คุณพ่อฟัง

มิลลิ : อันนี้ รู้ได้ยังไง แล้วไปรู้ที่ไหนมา พ่อฉันไปให้สัมภาษณ์ที่ไหนนะ (หัวเราะ) ประมาณนั้นค่ะ ที่บ้านจะสั่งสมประสบการณ์การอ่านหนังสือตลอดอะไรอย่างนี้ ก็หนังสือการ์ตูนที่อ่านก็จะไม่ได้เป็นแบบการ์ตูนแบบอนิเมะหรือมังงะ หนูจะอ่านการ์ตูนแบบทวีป 7 ทวีป ทวีปแอฟริกามีอะไรบ้าง ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า แล้วก็จะมีเป็นการ์ตูนชุดความรู้สึก

ส่วนคุณพ่อจะอ่านเพชรพระอุมา เพชรพระอุมาก็จะ โอ้โห มีเป็นแบบ 10-20 เล่มเลย แล้วก็มิลลิโตมาก็โตมากับการอ่านหนังสืออยู่แล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็เลยชอบอ่านหนังสือมาก ๆ แต่เวลาพูดคำว่าเวลาเขาถามว่าแบบเวลาว่างชอบทำอะไร แล้วเราตอบว่าอ่านหนังสือ เขาไม่ค่อยเชื่อนะเว้ย เขาดูเหมือนเราแบบไม่มีสติ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนชอบอ่านมาก ตอนนี้ก็จะ ถ้าสนใจสุด ๆ ของตัวเองก็จะเป็น Harry Potter มีเก็บทุกเล่ม แล้วก็เนี่ยทุก ๆ วันก็จะต้องได้อ่านการ์ตูนใน WEBTOON

การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

ครอบครัวของ 3 สาว

The People : ถ้านึกถึงความทรงจำที่มีต่อครอบครัว เราจะนึกถึงความทรงจำไหนกับพ่อกับแม่

มิลลิ : แว็บเข้ามาเลย ไปทำทัวร์กับบ้าน พ่อกับแม่หนูเป็นมัคคุเทศก์ทั้งคู่ คุณแม่จะมีอีกอาชีพหนึ่งด้วยคือเป็นครูการศึกษาพิเศษ คือสอนเด็กออทิสติก สอนเด็กพิเศษ แต่ว่าเราก็ไปทำงาน คือด้วยความที่เราเป็นลูกคนเดียว เขาอยากใช้เวลากับเรา แล้วหนูไม่เคยมีพี่เลี้ยงหรืออะไรเลย หนูก็จะอยู่กับที่บ้านเสมอ แล้วก็ไม่ก็คุณยายหรืออะไรอย่างนี้ ซึ่งเขาก็จะเลือกที่จะเอาหนูกระเตงไปด้วยทุกที่

ตอนตั้งแต่ประถมเลยค่ะแบบ จำความได้ขึ้นมาก็คือโตในรถ แบบว่าเรียนที่โรงเรียนเสร็จ แล้วก็เดินไปเรียนว่ายน้ำเสร็จ คุณพ่อมารับไปเรียนคุมง เรียนคุมงเสร็จคุณพ่อรับหนูไปดักกันตรง เขาเรียกว่าอะไรตรงทางขึ้นทางด่วนดินแดง แยกดินแดงที่มันจะต้องขึ้นทางด่วน แล้วคุณแม่ก็จะจอดกระเตาะไฟรอ แล้วคุณพ่อก็เอามอเตอร์ไซค์มาจอด แล้วคุณพ่อกลับไปทำงานที่บริษัททัวร์ต่อ แล้วหนูก็ขึ้นรถเก๋งคุณแม่ คุณแม่ไปสอนเด็กพิเศษที่บ้านของเด็กพิเศษคนนั้น แล้วหนูก็อยู่กับคุณแม่จนแบบก็ไปถึงก็ไปอาบน้ำทำการบ้านของตัวเองแล้วก็กลับ กลับมาก็นอนในรถแล้วกลับมาบ้าน แล้วเขาก็อุ้มหนูลงจากรถ คือโตในรถ แล้วหนูก็เพิ่งนึกได้ว่าแล้วทำไมไม่กลับบ้านไปกับพ่อเลยวะ (หัวเราะ)

ฟาร์ : ติดแม่หรือเปล่า

มิลลิ : ไม่ ๆ คืออะไรก็ไม่รู้ แล้วเขาจะพาเราไปออกทัวร์ด้วยในฐานะสตาฟ เราก็จะโอเครู้หมดเลยระบบการทำงานเป็นยังไง ถึงปั๊มเราต้องรีบตื่นตอนลูกค้านะ เราต้องหยิบกล่องทิชชูไปรอหน้ารถให้ลูกค้าอีกทิชชูเพื่อจะเข้าห้องน้ำได้ ต้องจัดของเสิร์ฟแบบนี้ เดินเสิร์ฟของในรถเป็นยังไง ทำให้เรารู้เลยว่าชีวิตนี้ฉันไม่เป็นมัคคุเทศก์แน่ ๆ ฉันจะไม่ทำงานนี้แน่นอนแบบว่า 100% no more งานบริการทำให้เรารู้ตัวเอง แล้วเขาก็จะ พอมันไปเป็นสตาฟมันก็จะไปต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง ด้วยความที่เป็นไกด์เราก็ ถ้าไปเที่ยวเองเราก็จะแบ็กแพ็ก ไปต่างประเทศแต่เด็กเลย ไปมาเป็น 10 ประเทศแล้วตอนนี้ ตั้งแต่เด็กเลย แบบเดินทางตั้งแต่เด็กเลย เพราะฉะนั้นก็จะโดนแบบว่าอึดถึกทนนิดนึง โดยการให้ทำอะไรด้วยตัวเอง ดูแลตัวเอง

The People : ของฟาร์ล่ะ

ฟาร์ : ถ้าจำได้ก็คือเล่นดนตรีนี่แหละค่ะก็คือวงเหล้า วงเหล้าของคุณพ่อ พูดได้ใช่ไหมคะ เป็นวงเหล้าคุณพ่อ คุณพ่อก็จะพาเพื่อนมากินเหล้ากัน แล้วพ่อก็จะเล่นกีต้าร์ เพื่อนพ่อก็จะตีขวดแก๊ก ๆๆ

มิลลิ : วงสนทนา with alcohol

ฟาร์ : ใช่ แม่ก็จะร้องเพลงกับพ่อ ส่วนหนูก็จะอยู่ตรงกลาง แล้วก็เต้นเป็นสันทนาการ

แป้ง : ของหนู อาจจะเป็นคือที่โรงเรียนเวลาเราจะมีงานโรงเรียน คือเราจะได้ไปเต้นบนเวทีของงานโรงเรียน ซึ่งตอนเด็ก ๆ แม่หนูชอบ แม่หนูตื่นเต้นกับการที่หนูจะได้ขึ้นเวทีไปเต้น แล้วเขาแต่งหน้าหนู เขาแต่งหน้าให้หนูแล้วก็เพื่อนหนู แบบแก๊งเพื่อนสาวที่แบบมีแม่เราแต่งหน้าให้

คือแม่หนูสายฝอแต่เด็กเลย คือสายฝอตั้งแต่หนูยังเด็ก แล้วแบบก็เป็นความทรงจำที่แบบ เออ ชอบ Quality time ตรงนั้นน่ะที่แบบแม่เตรียมตัวให้เรา แต่งตัวให้เรา ทำผมให้เรา แล้วก็ไม่ใช่แค่เราทำให้เพื่อนเราด้วยอะไรอย่างนี้ แล้วก็พอไปแสดงโชว์ เขาก็มาดูเรา แล้วก็แบบ เฮ้ย มันจะมีประกวดแบบ Popular ใครได้พวงมาลัยเยอะสุด คนนั้นจะได้ตุ๊กตาหมี หรือสังฆทานอะไรว่าไปซื้อ ซึ่งแม่หนูก็สู้คนมากก็คือแบบไปกว้านซื้อพวงมาลัย แล้วน้อยหน้าใครไม่ได้คือควักแบงก์ 20 ติดแม็กค่ะ คือจะต้องอลัง

คือจริง ๆ หนูก็เป็นแค่เด็กธรรมดาคนนึงที่แบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แบบ How หนูไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องเป็นศิลปิน หนูไม่คิดว่าตัวเองจะ คือถ้าเทียบกับอายุ 18 เข้าวงการแต่งเพลงเอง หนูก็แบบมัน Crazy มาก แต่ว่าแล้วตอนเดบิวต์มาแรก ๆ หนูจะมีความตื่นเต้นกับทุกอย่าง จะมีความตื่นเต้นกับทุกอย่างเลยที่มันเกี่ยวกับวงการบันเทิง ซึ่งแบบเราใช้ชีวิตแบบสวมตัวเป็นศิลปินได้มาสักแบบ 2 เกือบ 3 ปี หนูรู้สึกว่าหนูไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว from start หนูย้อนกลับไปดูคลิปตัวเองตอน Audition เว้ย รู้สึกว่าเด็กนี่เป็นใครวะ ทำไมมันคิดอย่างนี้วะ ไม่อยากฟัง ไม่อยากฟัง mindset ตัวเองตอนนั้น

ตอนนั้นหนู Negative กับทุกอย่างเว้ย แล้วหนูก็รู้สึก หนูคิดว่าตัวเองแบบเรียกว่าไง ถูกกดด้วย Beauty Standard แล้วทำตัวเป็น Victim ทั้ง ๆ ที่ตัวเองทำอะไรได้ด้วยตัวเองตั้งเยอะ แบบไม่จำเป็นต้องพูด แต่ก็เข้าใจตอนนั้นเรายังเด็กมาก แล้วเราก็ไม่รู้จะจัดการกับความคิดพวกนี้ยังไงเว้ย พอเราอยู่ในวงการมากขึ้น ทุกคนแม่งคือคนเท่ากัน รู้สึกว่าแบบดีแล้วแหละที่มีโอกาสได้เรียนรู้อะไรพวกนี้ เพราะก็ถือว่าเป็นชีวิตบทใหม่

ตอนนี้ก็คือแบบไม่มีความกังวลใน Beauty Standard อีกแล้ว ออกจะหงุดหงิดด้วยซ้ำเวลามีคนแบบพูดจาที่มันยังแบบ out ไปแล้ว แบบพูดทำไม Who cares like ทุกวันนี้ก็คือแบบก็ตั้งใจสร้างผลงาน แล้วก็พยายามจะเป็นศิลปินในแบบที่ตัวเองอยากเป็นนั่นแหละค่ะ

การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

แรกพบสบตา

The People : จำวันแรกที่เรารู้จักกันได้ไหม แต่ละคนเราเห็นคนนี้เป็นยังไง จากวันแรกเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

ฟาร์ : ของหนูทุกคนยังเหมือนเดิมสำหรับหนู

แป้ง : หนูว่าฟาร์ไม่เปลี่ยนไปเลย

ฟาร์ : หนูเป็นคนที่เท่าเดิม เพราะว่าทุกอย่างสำหรับหนู หนูมองทุกอย่างเท่าเทียมอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก แล้วก็ไม่ค่อยคิดอะไรกับใครหรือว่าคิดลบอะไรอยู่แล้ว รู้สึกว่าทุกอย่างมันปกติเท่าเดิมหมดเลย ถ้าหนูถามก็คงจะเรื่องการทำงานก็จะเติบโตขึ้นอยู่ แล้วก็อยากจะพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แต่ว่าเรื่องความคิดหนูยังมีความคิดที่ดีกับทุกคนเหมือนเดิม ยังเป็นอย่างนี้เหมือนเดิม

The People : ประทับใจอะไรในตัวแป้งบ้าง

ฟาร์ : คงมองเป็นน้อง

แป้ง : ไม่ประทับใจเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ)

มิลลิ : ด้วยซ้ำเหรอ

แป้ง : ด้วยซ้ำ นี่เราต้องมาทำงานกับเด็กนี่เหรอ

มิลลิ : NO เดี๋ยวสิ (หัวเราะ) เออ เป็นไงวะ รู้สึกว่าแบบว่าต้องแข่งกับคน เพื่อที่จะเป็นศิลปิน

ฟาร์ : รู้สึกตอนนั้นตอนที่เจอครั้งแรกรู้สึกไม่เคยคิดจะแข่งตั้งแต่แรกเลย ถ้าเหมือนตอนเจอแป้งครั้งแรก คือตอนนั้นรู้สึกว่าน้องเป็นคนเก่งมาก แล้วรู้สึกว่า โอ้โห เชี่ยประเทศไทยมันมีคนแบบนี้อีกว่ะ ยังมีอีกมากเลย มันไม่ได้มีนะ แล้วแบบพอเรามาเจอมาเห็นน้อง ได้คุยกัน แล้วรู้สึกว่าน้องเป็นคนน่ารักดี

แป้ง : เจอกันครั้งแรกตอนนั้นเพื่อไปคุยกับครูที่เขาสอน Ice breaking แล้วเราดันไปวันเดียวกันกับฟาร์ แล้วพอเลิกแล้วเธอกับฉันไปกินข้าวด้วยกัน 2 คน

ฟาร์ : ของนวยเจอครั้งแรกน้องก็เป็นคนเก่ง เป็นคนเก่งมาก แต่ว่าหนูไม่ค่อยกล้าคุยกับนวยเพราะว่าด้วยความที่มันดัง แล้วหนูเขิน เขินมันดังมาก แบบ โอ๊ย คนดังอะไรอย่างนี้ แต่ปรากฏว่าไอ้นวยเป็นคนเดินเข้ามาคุยเอง

การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

มิลลิ : มิลลิเห็น 2 คนนี้ มาตั้งแต่ 2 คนนี้เจอมิลลิอีก เพราะว่าเป็นเจนก่อนหน้านี้ แล้วมิลลิก็จะได้ดูว่าคลิปวิดีโอที่เขาส่งเข้ามาเป็นยังไง มีความเป็นรุ่นพี่นิดนึง เราเห็นคนนี้ตั้งแต่เขายังแบบยังไม่ถูกคัดเลือกเลย แล้วก็ดูเขามาแล้วก็รู้สึกว่ามี character มีความ unique ไปสัมภาษณ์หรือไปอะไรอย่างนี้ก็เห็นแล้วก็ โห สุดกันจังวะ ไอ้พวกบ้านี่บ้ากันไปใหญ่แล้ว ทำอะไรกัน โหดจังวะ ก็ในแง่ของความสามารถประทับใจมาก ๆ อยู่แล้วค่ะ แล้วก็เพิ่งจะมาได้คลุกคลีแล้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยจริง ๆ ก็ตอนทำ DREAMGALS นี่แหละ แล้วก็มันจะมีช่วงก่อนหน้านี้ที่โอเคไปอยู่ outing อะไรอย่างนี้ หนูก็จะอยู่กับแป้ง เจอฟาร์อยู่แล้ว คือสังคมมันค่อนข้างใกล้ ๆ กัน เราก็จะพอแบบเห็นกันอยู่แล้ว แต่ว่าคลุกคลีได้เห็นกันจริง ๆ ก็ตอนทำโปรเจกต์นี้อะไรอย่างนี้ค่ะ ครั้งแรก ๆ เนี่ยจะรู้สึกว่าฟาร์เนี่ยจะดูเป็นพี่โต

แป้ง : เหมือนกันเลย

มิลลิ : รู้สึกว่าเขาเป็นพี่แหละ คือเราแบบว่าพี่ฟาร์นึกออกป่ะ ทุกวันนี้ตัดคำว่าพี่เหลือแต่ฟาร์ เพราะว่าไอ้ฟาร์ มันจะเป็นอย่างนี้ ฟาร์มันจะเป็นแบบ เขาเป็นคนอ๊องแอ๊งอะไรของเขา มันเป๋อป่องค่ะ เป๋อป่อง เราก็ต้องบอกเขาว่าเอาอย่างนี้ แต่ว่าดีที่แบบว่าเขาเป็นคนรับฟัง เพราะฉะนั้นมันเลยง่ายว่าโอเคพอเขาบอกแบบนี้แล้วเขาเออเขาเก็ต เขาเห็นอีกมุมนึง เขาก็จะเก็ต แต่ว่าเขาก็จะเป็นคนที่มีคำถามอะไรอย่างนี้ว่าแบบนี้คืออะไรหรือยังไง เราก็ต้องป้อนข้อมูลนิดนึง

ส่วนแป้ง เขาจะมี Energy Negative อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราจริง ๆ แล้วเนื้อแท้ของมิลลิเป็นคน Negative แต่ว่าเราชอบที่จะส่งพลังงาน Positive เราก็เลยอยากจะคุยกับคนนี้เยอะ เพราะว่าเราอยากแบบอยากแชร์อะไรกับเขา แล้วก็เขา เจอเขาครั้งแรกเขาร้องไห้ใส่หนู เขาชื่นชอบหนู หนูก็เขิน เราก็ โอ้โห ประทับใจมาก แบบว่าจำได้เลยเพราะว่าไม่เคยคิดว่าจะเจอใครแล้วร้องไห้ใส่เรา แล้วเขาก็พูดหนูมีความหมายกับน้องมันมาก แล้วหนูก็แบบ โห ไม่คิดว่าสิ่งที่เราเลือกที่จะทำ

ไม่คิดว่าสิ่งที่เราเลือกทำด้วยความชอบของเราตั้งแต่แรก มันส่งผลต่อคนมากขนาดนี้ แล้วเราดีใจที่เขาอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเขาเอง โดยมีเราเป็นแรงบันดาลใจ ทุกวันนี้เขาก็ยังเหมือนเดิม แล้วก็เขาก็ยังมีอีกหลายอย่างให้เรียนรู้และดีที่เขาเป็นคนที่พร้อมจะเรียนรู้ แล้วก็อยากอยู่ช่วยเขาไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน

The People : มีสิ่งไหนที่แป้งทำแล้วรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่ารักมาก ไม่คิดว่าจะได้สิ่งนี้จากคน ๆ นี้

มิลลิ : คือแป้งบางทีจะมีคำพูดที่แบบว่าโฉ่งฉ่าง แบบโฉะขึ้นมา แต่ว่าเรารู้สึกได้ว่าเวลาแป้งพูดกับเรา แป้งระมัดระวังคำพูดมาก เรารู้สึกพิเศษกว่าคนอื่นนิดนึง อุ๊ย ไอ้หนูนี่มันแคร์เราเหมือนกันนี่หว่า เขาจะเป็นคนปากร้าย แต่ว่าเขาใจดีกับหนูอะไรอย่างนี้ เขาแคร์หนู เวลาเขาพูดหนูรู้สึกได้ถึงการระมัดระวังและความแคร์กันจากในนั้นอะไรอย่างนี้ แล้วก็รู้สึกว่าก็ขอบคุณอะไรอย่างนี้ ขอบคุณนะ (หันไปขอบคุณแป้ง)

ส่วนฟาร์ ก่อนหน้านี้จะทะเลาะกัน เพราะว่าฟาร์จะมีความคิดเป็นของตัวเองสูง ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเองสูง นวยจะพยายามเป็นผู้ฟังให้ได้ดีที่สุด จริง ๆ แล้วหนูเป็นคนชอบฟังมากนะคะ แล้วก็ฟาร์ตอนนั้นก็ช่วงทำงานด้วยกันนี่แหละ แบบเริ่มทำงานด้วยกันตอนแรกก็จะแบบเหนื่อยมาก เหนื่อยกับการทำงานกับฟาร์มาก เพราะว่าพอบอกว่าให้ลองแบบนี้ไหม ฟาร์จะเลือกปฏิเสธก่อนเป็นอย่างแรก แต่ว่าก็เหมือนได้ไปคุยอะไรกันมา แล้วฟาร์กลับมาอีกทีแบบพลิกเลย เรายังชมฟาร์กับคนอื่นอยู่เลยแบบว่า โห พี่หายไปเลยความเหนื่อยนั้นอะไรอย่างนี้ แบบตอนแรกนวยจะต้องพยายามแบบ hold ทั้ง 2 คน เพราะนี่คนนี้เขาจะพุ่ง ตัวนวยเองก็เป็นคนที่พุ่งนะคะ แต่ว่าพอเรา hold เราต้องลงมานิดนึง

ฟาร์ : ตอนนั้นคุย เพราะว่าแบบเราไม่มีความมั่นใจในตัวเอง หลัง ๆ เราเริ่มแบบไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ด้วยความที่แบบเราเจอปัญหา แล้วก็พี่ ๆ เขาคุยกันว่าอยากให้ลองทำก่อนที่เขาบอกมา อย่ากลัวว่ามันไม่ดี หนูกับเขาก็ เขาก็เริ่มพูดข้อดีให้เราฟัง แต่ก่อนเราไม่ค่อยเห็นค่าตัวเอง เราก็เลยเริ่มกลับมา กลับมาลองทำดู เริ่มฟังน้องมากขึ้น

มิลลิ : เพราะว่าแบบเปิดใจมากขึ้น พอเขาเปิดใจได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ แล้วรู้สึกเขาน่าจะชอบตัวเองมากขึ้น แล้วก็นี่ว่าช่วงที่เขาแบบ ทุกวันนี้เขาเป็นคนรับฟังมาก ๆ เราก็เลยรู้สึกว่าดีจังเลย เพราะเราก็อยากให้เขาเก่งขึ้นไปอีก เพราะเราก็รู้ว่าเขาเก่งอยู่แล้วอะไรอย่างนี้ ใช่ นี่ว่ามันเป็นความรู้สึก ๆ หนูว่าอยากเห็น 2 คนนี้ไปแบบไปอีกเยอะ ๆ

ถ้าวันนึงมิลลิได้กลับไป Coachella แล้วในโปสเตอร์ คือความฝันหนูนะโอเคหนูอยากกลับไป Coachella ในฐานะที่โปสเตอร์มันมีชื่อหนูอยู่ในนั้น โอเคแล้วถ้าวันนึงวันนึงมิลลิได้ขึ้นมาเป็นแบบ Headline เป็นแบบชื่อมิลลิใหญ่ อันเวทีต่อมาก็อยากให้เป็นเวทีของฟาร์กับแป้งค่ะ หนูเห็นภาพแบบนั้น อยากให้ไปด้วยกัน

แป้ง : ตอนแรกหนูไม่รู้จักฟาร์เลยนะ ไม่รู้จักว่าฟาร์คือใคร รู้จักแค่ว่าเขาผ่าน Audition เหมือนเราเลย วันนั้นต้องไปเจอ ก็ไปเจอ ไปลองกินข้าวด้วยกันหน่อย แล้วก็แบบ อ้าว เขาเป็นคนที่แบบร้องเพลงตามร้าน เขามีงาน หนูก็อยากลองตามฟังคนนี้มันจะขนาดไหนกันเชียวอะไรอย่างนี้ หนูก็ไปนั่งฟังเขาร้องเพลง วันนั้นหนูแบบ เฮ้ย นี่มันศิลปินแห่งชาติน่ะ มึงร้องขนาดนี้ได้ยังไง กูฝึกมาแทบตาย ไอ้นี่แม่งยืนร้องสบายใจเฉิบ แล้วมันชิวมาก แล้วแบบ Entertain ทุกคน แล้วรู้สึกแบบเหี้ยทำไมเก่งจังวะ แบบทำไมเก่งได้ขนาดนี้ Entertain คนก็ได้

ถ่ายคลิปไปอวดเพื่อนน่ะว่าแบบมึงเนี่ยคนนี้แม่งโคตรเก่งเลย เขาร้องได้ไงวะ ถ่ายคลิปไปอวดเพื่อน แต่ว่าก็อันนั้นมัน First impression ส่วนปัจจุบันหนูมองว่าพี่คนนี้ พี่ฟาร์เขาจะมี Character นี้ต่อหน้าคนไม่รู้จัก หนูก็จะรู้สึกแบบ เอ้ย พี่คนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่จัง

แต่จริง ๆ มันติงต๊องจังวะ ก็เอ็นดูเขาค่ะ แล้วก็แบบด้วยความที่หนูกับฟาร์จะแบบผูกพันกัน สนิทกันมากกว่าแบบก่อนที่จะมาเจอมิลลิตอนนี้ที่เป็น DREAMGALS เพราะว่าเราเข้ามาด้วยกัน เราแบบฝึกเทรนมาด้วยกัน ก็จะเห็นฟาร์ตลอด ก็รู้สึกว่าฟาร์เป็น Comfort Zone ของหนูที่สุดแล้วกันในเหล่าบรรดา YOUNG YUPP! หนู Comfort ที่จะพูดกับฟาร์มากที่สุดแล้ว ก็รู้สึกว่าถึงแม้ว่าเขาจะแบบไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรได้ขนาดนั้น แต่ว่าเขาก็เป็นที่พึ่งทางใจ

ฟาร์ : หนูอยากจะบอกน้องเหมือนกันว่าหนูเป็นคนที่อยากจะรับฟังน้องมาก แล้วรู้สึกอยากให้น้องระบายมาอย่างเดียว ด้วยความเราเป็นคนที่สื่อสารไม่เก่ง ก็เลยแค่แบบว่าระบายมาให้ฟัง เพราะนี่รู้สึกเหมือนกับว่าเราหัวอกเดียวกัน หรือว่าเจอเรื่องคล้าย ๆ กันมา แล้วพอเห็นน้องมันรู้สึกเหมือนมันเหมือนกับอยู่ดี ๆ มันก็รู้สึกอยากรักเขาแบบไม่มีเงื่อนไข เราคิดอย่างนั้นเลย

แป้ง : จำได้ตอนนั่งกินข้าวกัน ไม่ได้คุยเรื่องอะไรนะ คุยกันเรื่องแบบเนี่ยตอนเด็ก เคยเจอมาแบบนี้ แล้วเราก็เข้าใจกันในมุมมองของเรา โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรกันเลย

ฟาร์ : สำหรับเรื่องปัญหาครอบครัวนะคะ สมมุติหนูว่าคนบางคนเขาก็ไม่เคยที่จะเป็นเป็นพ่อแม่มาก่อน เขาก็อาจจะต้องเรียนรู้ในบางเรื่อง อาจจะมีข้อผิดพลาดในบางเรื่องอย่างนี้ เราก็เลยเข้าใจครอบครัวเรา หนูไม่เคยโทษ หรือรู้สึกโกรธครอบครัวเลย ไม่เลย แต่สิ่งเหล่านั้นกลับรู้สึกว่า มันทำให้เราเป็นเราอย่างในทุกวันนี้ ซึ่งอันที่จริงทุกครอบครัวแหละค่ะ หนูเชื่อว่ามีปัญหาเป็นของตัวเอง

มิลลิ : ใช่ ๆ แต่นายเชื่อใช่ไหมว่า นายจะมีครอบครัวที่ดีได้

ฟาร์ : เราก็ยังเป็นคนที่ให้ความรักคนอื่นอยู่เสมอ นั่นคือความฝันของเรา

การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

แป้ง : ใช่ค่ะ นั่นคือ Big Dream ของหนูเหมือนกัน พี่รู้ไหมว่าหนูอยากมีลูกก่อนอายุ 27 ปี หนูก็เลยปฏิญาณตนว่าแบบหนู โอเค ไม่ต้องไปมองที่ไหนไกล ก็เลยไม่ได้เป็นคนแบบที่เราไม่ชอบ คือเราทำอะไรไม่ได้ เขาคือพ่อแม่ แล้วอย่างน้อยเขาก็ยังเลี้ยงเราอยู่ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ How to เลี้ยงเรา มันคือ Love Hate ครับ แต่หนูไม่อยากเบียดเบียนใคร หนูก็เลยชีวิตเป็นอิสระด้วยตัวเราเองอย่างนี้ โอเค หนูก็เลือกด้วยตัวเองว่าแบบเราไม่ชอบ เราก็แค่ออกมา

อายุ 18 ก็คือเก็บของออกจากบ้านเลย คือหนูคิดตั้งแต่ตอนหนูอายุ 13-14-15 ว่าตอนกูอายุ 18 กูจะออกจากบ้านแค่นั้นเลย แล้วหนูก็แค่ทำตามสิ่งที่หนูคิดแค่นั้นเอง เพราะหนูรู้สึกว่าโอเคหนูเรียนจบแล้ว แล้วมหา’ลัยมันคือชอยซ์ แล้วหนูไม่จำเป็นต้องทำตามใครต้องการแล้ว หนูไม่แคร์อีกแล้ว

มิลลิ : เราเชื่อว่าทำได้นะ

ฟาร์ : ทำได้แน่ ๆ

แป้ง : ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของหนูคือหนูอยากมีครอบครัวที่มีความสุขแล้วกัน หนูไม่ได้อยากมีครอบครัวที่เพอร์เฟกต์ ไม่ได้อยากแบบมีลูกที่เพอร์เฟกต์ แค่อยากเลี้ยงคน ๆ หนึ่ง อยากให้เขาเกิดมาแค่นั้นแหละ แล้วเราก็มอบความรักให้เขา

The People : ทำไมถึงอยากมีครอบครัว

แป้ง : แค่รู้สึกว่าเราขาดครอบครัว แบบคำว่าครอบครัวตอนเด็กไป เรารู้สึกว่าตรงนั้นมันสูญหายไป แล้วหนูรู้สึกว่าชีวิตเรามันทำทุกอย่างที่อยากทำได้อยู่แล้ว แล้วหนูก็คิดว่าไม่ได้ผิดอะไรที่แค่หนูอยากจะ fulfil สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตหนู

หนูแบบหนูโตมากับ Conditional love เว้ย หนูต้องเรียนให้เก่งเพื่อที่จะได้คำชมจากแม่ หรือต้องร้องเพลงเพราะเพื่อที่แบบแม่จะได้ชมว่าเราร้องเพลงเพราะ คือมันแบบมัน Conditional มาก ๆ เลยแบบ แล้วเราแค่แบบอยากมอบรักที่ไม่มีเงื่อนไขให้แบบใครสักคนนึงโดยที่เขาแบบไม่ต้องพยายามอะไรเลย

มิลลิ : จริง ๆ เคยพบจิตแพทย์ทั้งครอบครัวเลยค่ะ ช่วงเข้ามาใหม่ ๆ คือเคยแบบ เคยว่าฉันจะไม่อยู่แล้ว ฉันจะโดดลงไปตึกออฟฟิศ ตึกเก่า ก็แบบว่าหนักพอสมควร น่าจะหนักที่สุดในชีวิตแล้ว น่าจะหนักที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ เพราะว่าเรารู้ว่าเรารักครอบครัวมากที่สุด แล้วคนที่เรารักที่สุดไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่เรารักถัดมาคืองานตรงนี้คืออะไร แล้วก็ไม่ให้ทำ ตอนแรกก็จะไม่ให้ทำ ไม่เชิงไม่ให้ทำนะคะ แต่มันจะมีความแบบ โอ๊ย แบบไม่เข้าใจ ทำไม

ด้วยความที่เขารักเรามากเขาเลยไม่อยากให้อะไรมาพรากเราไปจากเขาอะไรอย่างนี้ แต่ว่าในขณะเดียวกันเราก็โตขึ้นทุกวัน แล้วมันจะต้องมี คือนอกจากมิลลิต้องรีบโตให้ทันสิ่งที่ตัวเองได้รับมาหรือประสบการณ์แล้ว ครอบครัวมิลลิต้องรีบปรับตัวให้ทันด้วย ซึ่งอันนี้เขาไม่ได้เตรียมใจมา อย่างที่บอกเลี้ยงลูกมันยากมาก เขาไม่ได้เตรียมใจมาว่าลูกกูจะต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ หรือลูกฉันจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่ว่าเขาก็พยายาม มีช่วงเวลาหนัก ๆ ให้ที่บ้านเจอเยอะมาก

อย่าง เข้า สน. (หลังการ Call out เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด) ที่บ้านไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ค่ะ แต่ว่าดีที่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเข้มแข็งกันมาก แล้วเราพยายามเข้าใจกัน แล้วความน่ารักของที่บ้านหนูคือหนูคุยกันได้ทุกคน คือหนูแม่พ่อเราคุยกันได้เสมอเลย คือหนูสามารถคอมเมนต์แม่ว่าแม่ไม่เวิร์กในเรื่องนี้ แม่ไม่เลิศเลย แม่กับป๊าสอนเราอยู่แล้วว่าตรงนี้ไม่ได้ต้องแก้ มินนี่สามารถ หนูสามารถบอกป๊าได้ว่าป๊าตรงนี้ป๊าต้องฟังแม่ด้วยอะไรอย่างนี้ มันแชร์กันได้หมดเลย นี่คือความน่ารักของครอบครัวมิลลิ แล้วก็พอมันมีสิ่งนี้มันเลยทำให้ทุกอย่างไปในทางที่ดีขึ้น

แต่ถามว่าตอนนั้นมันหนัก มันหนักมากจริง ๆ แล้วมันถูกแบกรับความคาดหวังมาตลอดอยู่แล้ว โอเค พอเก็ตในแง่ของต้องเรียนให้ดีมากพอตามที่เขาต้องการ เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่งั้นจะถูกตัดสิ่งที่ชอบออกทิ้งหมด เพื่อต้องทำเกรดให้ได้ ซึ่งค่อนข้างเป็น norm ใน Asia culture แต่ว่าความหนักคือของเรามันดันกลายเป็นมิลลิอีก มันเลยแบบไม่รู้ว่ามี ไม่มีใครแพลนไว้ว่าต้องเจอ สิ่งนั้นมันเลยหนักมาก ๆ แล้วพอเขาต้องโตตามเรา แล้วมันเกิดการ Stuck โตตามกันไม่ทันเนี่ย ตรงนั้นมันเลยเป็นช่องโหว่ที่เจ็บปวดกับเราอะไรอย่างนี้ ซึ่งตอนนี้เราเลือกแก้ปัญหาโดยการคุยไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าใจ ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ว่าดีขึ้นเยอะมาก ๆ ค่ะ

ศิลปิน

The People : จำวันแรกที่เพลงเราปล่อยแล้วคนทั้งประเทศได้ฟังได้ไหม รู้สึกยังไง

ฟาร์ : รู้สึกว่าของจริงหรือเปล่าอยู่เลยค่ะ ยังรู้สึกว่าแบบไม่เหมือนจริงเลย จนตอนขึ้นไปร้องเพลง หรือว่าตอนที่เพลงปล่อย หรือว่าตอนที่เห็นคลิป ยังคิดอยู่เลยว่าแบบเด็กคนนึงคนที่อยู่ในห้องร้องเพลงคนเดียวจะมาแบบจะมาอยู่ตรงนี้ได้อะไรอย่างนี้ ก็คนอื่นยังช็อคเลย เพราะว่าเข้าใจ feel แบบว่าเด็กต่างจังหวัดไหมคะ ที่แบบว่าเรามา เราไม่เคยรู้ว่าโลกคือมันเป็นยังไง เพราะปกติเราอยู่แต่ป่า เราอยู่แต่กับเขา

The People : แล้วการที่เราร้องเพลง ได้ใครมาฝึกให้เราร้องไหม

ฟาร์ : ไม่มีเลยค่ะ แต่ได้ยินเอง เราได้ยินว่าสิ่งนี้มันคือสิ่งที่เราชอบ เหมือนกับว่าหนูซึมซับการฟัง Diva ต่าง ๆ ใช่ไหมคะ ซึมซับพ่อกับแม่ฟัง แล้วพ่อกับแม่เป็นคนที่ร้องเพลงไม่เคยผิดคีย์เลย ใช่ พ่อกับแม่ร้องเพลงแบบตรงคีย์ เล่นกีต้าร์ แล้วพ่อไม่รู้เรื่องทฤษฎีดนตรีเลยนะ แต่พ่อตีคอร์ดถูกเฉย ตีคอร์ดผ่าน ร้องเพลงแบบ เกิดมาไม่เคยเจอใครเหมือนเธอ โดยที่ไม่ได้ดูคอร์ด อย่างนี้เลย แล้วพ่อก็ร้องถูกด้วย แล้วเราก็เลยร้องได้ แล้วเราก็พอเราร้องปุ๊บเราก็รู้เลยว่านี่ไม่ได้ร้องเพี้ยนนะ

The People : พ่อกับแม่ทำงานอะไร

ฟาร์ : พ่อกับแม่จริง ๆ ทำงานโรงพยาบาลค่ะ พ่อกับแม่เป็นผู้ช่วยพยาบาล ทำงานคู่กัน เรียนจบด้วยกัน แล้วก็เป็นแฟนกัน แล้วก็แต่งงานกันเลย แล้วทีนี้ปรากฏว่าเขาก็เล่นกีต้าร์จีบกัน ร้องเพลงจีบกัน แต่จริง ๆ ก่อนที่พ่อกับแม่จะเล่นดนตรี ก่อนหน้านั้นน่ะคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายร้องเพลงจีบกันตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว

มิลลิ : บ้านนักร้อง

ฟาร์ : ใช่ แล้วคือปู่กับย่าด้วยร้องเพลงดูพระจันทร์ ดูสินั่นพระจันทร์ (ร้องเพลง)

มิลลิ : เกี้ยวพาราสีเหรอ มีอยู่จริง

ฟาร์ : ใต้ต้นมะขามหลังบ้าน ๆ แล้วเขาก็หลบกันอย่างนี้เลย (ทำท่าหลบหลังต้นไม้) มันเป็นยุคที่ปู่บวชอยู่แล้วปู่สึกเพื่อที่จะมาจีบย่า เพราะว่าย่าใส่บาตรให้ปู่ทุกวัน จนปู่หลงรักอย่างนี้เลย ตอนนี้ย่าตัดไปแล้ว ปู่โกรธไม่คุยด้วย

แป้ง : มีอยู่จริง

มิลลิ : นี่แหละคนเราถ้ามันมีดวงมันจะมีสามี ใส่บาตรอยู่ดี ๆ ก็มีได้

ฟาร์ : เพราะเขาร้องเพลงจีบกันตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็เลยชอบ พอเรารู้เรื่องเราก็เลยชอบ

มิลลิ : โห โคตรช็อค

การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

ฟาร์ : แล้วหนูก็เลยชอบดนตรีมาเพราะว่าตระกูลหนูรักดนตรีอะไรอย่างนี้ รักในเสียงเพลงกันอยู่แล้ว วาดรูปอะไรอย่างนี้ก็ศิลปะหมดเลย ก่อนที่ แต่ว่าก่อนที่จะร้องเพลงค่ะ หนูเคยร้องเพลงตอน ป.1 ถึง ป.4 ใช่ไหมคะ แล้วหนูไปร้องให้กับอาจารย์คนนึงฟัง แล้วเขาไม่ฟังหนูที่เคยบอก เขาไม่ฟังหนูด้วยความที่อาจจะไม่สวยหรืออะไรเราก็ไม่รู้หรอก แต่ว่าปรากฏเขาร้องได้แค่ 2 คำ ร้องเพลงของพี่ดา เอ็นโดรฟิน ไม่ต้องรู้ (ร้องเพลง) พออย่างนี้เลย ๆ แล้วเขาก็ไล่เราออก หนูเลยหยุดร้องเพลงไปจน ม.2 แล้วเพิ่งกลับมาร้องเพลง แต่ก่อนนั้นน่ะก่อนระหว่างที่หยุดไปก่อน ม.2 หนูไปตีแบดมินตันเอย ไปเป็นนางรำเซิ้งเอย ไปทำมาแล้ว ไปแข่งมาแล้วด้วย

แป้ง : มีเรื่องอะไรแบบนี้อีกไหม อยากฟัง (หัวเราะ)

มิลลิ : วันนี้จะเป็นวันที่พวกหนูได้แชร์กันมากที่สุด ถ้าถามว่ารู้จักกันตอนไหน ตอนนี้แหละค่ะ (หัวเราะ)

The People : แล้วของมิลลิมีความฝันที่จะต้องเป็นศิลปินตั้งแต่เด็กเลยไหม

มิลลิ : มิลลิแค่รู้สึกว่าอยากทำงานในวงการบันเทิง การเป็นศิลปินมันดู เฮ้ย เป็นไปไม่ได้อะไรอย่างนี้ ก็ฝันเฉย ๆ ว่าอยากจะทำงานวงการบันเทิง เป็นความฝันอันดับ 0 ด้วยไม่บอกใครว่าอันดับ 1 เราจะเป็นนักจิตวิทยาค่ะ เราหาอะไรที่มันดูเป็นไปได้ แล้วมันเวิร์กกับทั้งตัวเราและที่บ้านอะไรอย่างนี้ แต่ว่าไอ้อันความฝันสูงสุดเราก็ทำของเรามาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ไป Audition ประกวดไปอะไรอย่างนี้ รู้ตัวเองว่าชอบอยู่แล้วมาตั้งแต่แรก จริง ๆ มิลลิเคยไปรายการ ถ้าคุณแน่อย่าแพ้เด็กประถม ถ้าคุณแน่อย่าแน่เด็ก ป.4 ของช่อง 3 มันมีเซ็ตถ้าคุณแน่อย่าแพ้เด็ก ป.4 แล้วหนูจะเป็นเซ็ตถ้าคุณแน่อย่าแพ้เด็กประถม น้องมินนี่ ป.1 ค่ะ เราก็ไป Audition อันนี้คุณแม่พาไป Audition แล้วก็ผ่านเข้าไปถ่ายรายการอยู่ 3-4 เทป แล้วก็ค่อนข้างชอบแล้วก็สนุกกับมันมาก ๆ แล้วก็คุณแม่สร้างเสริมประสบการณ์การกล้าแสดงออกของเราโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ด้วยการให้ไปรับของฟรีในงานกาชาดหรืออะไรแบบนี้

แป้ง : ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองต้องเป็นมาศิลปิน แค่ ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ไง แต่พอเห็นมิลลิแล้วก็แบบเราก็เป็นได้นี่หว่า ก็คือแบบหนูไม่เคย Take action เกี่ยวกับการเป็นนักร้องหรือศิลปิน ไม่มี วัน ๆ ของหนูคือร้องคาราโอเกะลง App คาราโอเกะ แล้วเราหนูมี Community อยู่ในนั้น ทุกคนจะรู้จักว่า GALCHANIE คือใคร เอาจริง ๆ ตอนเมื่อก่อนเป็นยังไงไม่รู้ความฝัน แต่ตอนนี้หนูรู้สึกว่าหนูอยากล้างหูคนไทย หนูแค่รู้สึกว่าอยากเป็นสีสันใหม่ ๆ ให้เขาได้ลองฟัง นี่คือความฝันที่ยิ่งใหญ่ของหนู

ตอนหนูปล่อยเพลงแรก ตอนนั้นหนูยังเด็ก เด็กมาก แต่หนูคิดว่ามันต้องดัง เพลงนี้ 1 ล้านวิว แต่ตอนนี้สองแสนค่ะ (หัวเราะ) คือหนูจะมีความวิเศษวิโสอะไรคิดกับตัวเองเสมอเลยว่าแบบหนู unique ๆ เอาความ unique เป็นความสบายใจ แล้วหนูก็คิดว่าแบบคนไทยอาจจะแบบตามหาสิ่งนี้อยู่หรือแบบแล้วตอนนั้นมันยังไม่ค่อยมีแบบ Solo Artist ที่อายุน้อยด้วยไง แต่พอปล่อยออกไปเคว้งเลย แต่ไม่เสียใจ แค่รู้สึกว่าอาจจะทำไม่โดน ยังไม่ตรงจุดแค่นั้นเลย

มิลลิ : เก่ง ๆ มีความมั่นใจดีแล้ว แต่มิลลิไม่มั่นใจเลย เราไม่มีเว้ย เราไม่มี  คือถ้าแป้งบอกว่าเอามาจากเรา นายผิดคนแล้ว คืออย่างนี้เราไม่มี ตอนกำลังจะปล่อยพักก่อนหรืออะไร ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย รู้สึกว่าก็ชอบแล้วล่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไง ไม่รู้สึกอะไร แบบรู้สึกว่าเพลงนี้จะดังไหมคืออะไร ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้น ไม่มีเลย แล้วเราบนบอกว่าถ้าถึงล้านวิวนะบนขอแม่ผึ้ง พุ่มพวง ว่าเดี๋ยวถ้ามันถึงล้านหรืออะไรอย่างนี้ หนูจะไปหาแม่ผึ้งนะ แล้วเราเข้าใจว่าแม่ผึ้งอยู่พระโขนงไง แต่อันนั้นแม่นาก สรุปต้องไปนู่น ถึงล้านนึงไปนู่นวัดทับกระดาน สุพรรณบุรี

ยกกันไปน่ะ เพื่อที่จะไปไหว้แม่ผึ้ง เพราะว่าบอกสัญญาไว้กับแม่ว่าจะมาหาแม่ถ้ามันได้ล้านนึง แล้วเราก็แบบได้ล้านนึง เป็น One-Hit Wonder ของเรา แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ได้รู้สึกเลยว่าแบบฉันจะต้องดังแน่นอนกับเพลงนี้ไม่มีเลย แต่แค่รู้สึกว่าฉันก็ชอบเพลงของฉันนะ แบบมันไม่ดีหรอวะ ถ้านายไม่ชอบ แบบพอปล่อยออกไปแล้วก็แบบไม่เป็นไรเราชอบแล้ว เขาไม่ชอบก็ไม่เป็นอะไรเว้ย แล้วก็โดนมีดราม่าขึ้นมาอีกใช่ไหม หนักพอสมควรตอนนั้น แต่ว่าเราไม่มีความมั่นใจเท่านี้จริง ๆ เราจริง ๆ เราตัวเล็กเราปลาเล็กมาก เราไม่ใช่ เราเป็นปลาตัวจิ๋ว หนู lack ความมั่นใจมาก ๆ แต่ดีใจที่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้มั่นใจ แต่กำลังพยายาม empower ตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ

The People : หลังจากที่เราเข้ามาเป็นศิลปินกันเต็มตัวแล้ว สิ่งที่เราตระหนักได้เมื่อเข้ามาอยู่ในโลกนี้คืออะไร

มิลลิ : การเป็นตัวเองเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในการทำงานตรงนี้เพราะว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังหนูเป็นตัวเองมาก ๆ เลยค่ะ ทุกวันนี้หนูยังใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากใช้ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินเร็วขนาดไหน เข้ามาตอน 16-17 แต่ว่าหนูมีเพื่อน หนูยังมีเพื่อนที่มหา’ลัย มีเพื่อนมัธยม เรายังติดต่อยังไปกินข้าว หนูยังไปต่อยมวยได้ ไปว่ายน้ำ ไปทำอะไร หนูยังใช้ชีวิตของหนูได้แบบปกติสุขมากค่ะ แล้วแฟนคลับหนูก็น่ารักมาก ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ เขาแฮปปี้กับการที่หนูเป็นหนูแบบนี้ด้วยซ้ำ เขาไม่คาดหวัง เขาน่าจะคาดหวังจนคาดหวังอะไรไม่ได้แล้ว จนแบบว่าแล้วแต่เธอเลย เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนไปเลย หนูว่านี่คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในอาชีพนี้ หนูได้เป็นตัวเองเต็มที่มาก แล้วหนูไม่ต้องพยายามเป็นใครเลย มีความสุขมาก

ฟาร์ : ของหนูนอกจากหนูตามนวยเลย คือหนูรู้สึกว่าหนูอยากที่จะเป็นตัวเอง แล้วรู้สึกว่าหนูอยากที่จะกล้ามากขึ้นด้วยครับ รู้สึกตัวเองยังมีกำแพงอะไรหลาย ๆ อย่างอยู่ที่แบบว่ายังทำให้ไม่ได้เป็นตัวเองมากพอ รู้สึกว่ายังปิดกั้นตัวเองอยู่ รู้สึกว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่อยากที่จะแบบออกมาจากกำแพงหรือว่าออกมาจากกรงของตัวเองให้ได้สักที ไม่ว่าทุกอย่างมันจะเกิดจากอะไรก็ตามแต่ แต่ว่ารู้สึกว่าหนูอยากที่จะแบบไม่อยากมีกรงตรงนี้แล้ว รู้สึกอยากที่จะโบยบินสักทีแล้วก็เผยความเป็นตัวเองให้มันแบบว่ามันบานออกไปให้ทั่วเลยค่ะ แล้วก็อีกอย่างนึงคือแฟนคลับด้วย แล้วรู้สึกว่าแบบไม่คิดเหมือนกันว่าจะแบบมีคนที่เขาแบบว่าเห็นเราแล้วแบบแววตาเขาเป็นประกายขนาดนั้น แล้วเราเห็นมอง เขามองเข้ามาที่เราแล้วเขาแบบ เขาซื้อของมาให้เรา เขาซื้อของกินมาให้เรา

เขารู้ว่าเราชอบกิน แต่ที่จริงแล้วคือแบบเห็นดวงตาที่เขามองเราตอนเราร้องเพลง แบบหลายคนมากที่แบบเข้ามาฟังหนูร้องเพลง แล้วก็แบบร้องไห้ เราก็รู้สึกว่าทำไม ตอนแรกตั้งคำถามว่า เฮ้ย ร้องไห้ขนาดนั้นเลยหรอวะ ทำไมวะ เราแบบไปทำอะไรหรืออะไรอย่างนั้น แต่จริง ๆ แล้วเราเพิ่งรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีความหมายกับเขามากจริง ๆ กับการสื่อสารที่เราส่งไป

มิลลิ : มันสุดยอดมากเลยเนาะ แบบว่าคนแปลกหน้าที่เขารักเรา อันนี้คือ Unconditional  love เว้ยแบบที่แป้งบอก อันนี้คือ Unconditional love คือคนแปลกหน้าที่รักเราโดยไม่มีเงื่อนไขมีอยู่จริง โดยที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดด้วยซ้ำ

แป้ง : โดยที่เราไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ

ฟาร์ : มีแฟนคลับหนูคนหนึ่งที่เขาเป็นแบบซึมเศร้า แล้วเขาออกจากโรงพยาบาลเพื่อมาฟังหนูร้องเพลงคืนนั้นคืนเดียว แล้วเขาก็ร้องไห้ในคืนนั้นที่หนูเห็นเขาใส่หมวก แล้วเขาก็ร้องไห้ จากนั้นเขาก็กลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อ จำได้ จำได้เลย แล้วเรารู้สึกว่าเขามาเพื่อแค่มาดูเรา แล้วเขาก็กลับไปเลย จำได้

มิลลิ : บางทีสิ่งที่เราทำมันมีความหมายมากกว่าที่เราคิดเยอะ เราเลยต้องคิดเยอะ ๆ ไงก่อนทำ

The People : สิ่งไหนที่ทำให้ความมั่นใจฟาร์กลับมา ได้กำลังใจจากใคร

ฟาร์ : คำพูดดี ๆ จากคนรอบข้างมากกว่าค่ะ ที่จริงหนูเป็นคนที่ไม่ค่อยโดนคำพูดดี ๆ ด้วยความที่เขาอาจจะมองว่าเราเป็นคนเข้มแข็ง หลายคนจะบอกว่า เฮ้ย เก่ง ฟาร์มันเก่งอยู่แล้ว เขา หลายคนจะบอกว่าหนูเก่งมาก ซึ่งหนูถามตัวเองอยู่ตลอดเลยว่าหนูเก่งจริง ๆ เหรอ ทั้งที่คนอื่นน่ะเป็นคนบอกตลอดมึงเก่ง ๆ แต่ว่าคนเก่งก็ต้องการคำพูดดี ๆ เหมือนกัน

มิลลิ : มีครั้งหนึ่งหนูชมฟาร์ หลังจากที่เรา หนูเหนื่อยหน่ายกับการที่ฟาร์ไม่ฟังอะไรแล้ว แล้วเขากลับมาแล้วรับฟัง แล้วเขาทำแล้วมันดีมาก ๆ สมมุติว่าถ้ามันเวิร์กหนูก็จะบอกอยู่แล้วว่ามันเวิร์ก แต่หนูชมฟาร์โดยที่ปกติที่หนูเลือกที่จะชม เพราะหนูรู้สึกว่าวันนั้นมันดีมาก ๆ แล้วเขาเซอร์ไพรส์ เขาหันมาบอกว่าวันนี้มึงชมกูเยอะจัง ก็เลยแบบย้อนกลับมาคิดเลยนะ เฮ้ย ปกติกูไม่ชมฟาร์ ก็ชมตลอดเลยนะ แต่วันนั้นน่ะอาจจะพิเศษ หรือก่อนหน้านั้นฉันอาจจะไม่ระมัดระวังคำพูด แต่ว่าฉันแบบว่าฉัน ทุกครั้งที่ฉันพูด ฉันพูดจริง ๆ ที่ฉันพูดชมฉันก็ชมจริง ๆ ที่ฉันด่าฉันก็ด่าจริง ๆ ฉันด่าจริง ๆ แต่ฉันก็รักเธอ (ยิ้ม)

แป้ง : หนูไม่รู้จะพูดอะไร แต่หนูรู้สึกเหงา การเข้ามาทำงานด้านนี้ หนูรู้สึกโดดเดี่ยวมากเลยเว้ย หนูเป็นคนเดียวในคลาสที่หนูไม่เข้ามหา’ลัย แล้วเพื่อนมีเพื่อนใหม่หมดเลย แล้วหนูก็รู้สึกเหมือนแบบอยากมีเพื่อน แต่กูก็อยาก กูก็ต้องทำงาน แบบมันเหมือนชีวิตที่เราควรจะได้ใช้จริง ๆ มันสูญหายไปสักพัก มันก็เลยแบบ โอเค มันรู้สึกเหงา โดดเดี่ยวแบบบอกไม่ถูก แล้วมันไม่ได้มีใครให้คุยด้วย แบบคนที่อยู่ในที่ทำงานเขาก็ไม่ใช่แบบเจนเดียวกับเรา เราก็ยังไม่ได้เจอใครที่คลิกจริง ๆ

หนูเป็นคนลง Detail หนูเป็นคน Detail กับทุกคน หนูไม่อยากรู้จักใครแค่ผิวเผิน เวลาหนูอยากรู้จักใครหนูอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นกว่านี้ หนูก็เลยแบบหนูให้ค่ากับความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือแฟน ซึ่งก็พยายามค้นหาสิ่งที่ยึดเหนี่ยวตรงนี้ให้เรายังรู้สึกว่ายังเป็น เรายังได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นของเราอยู่ ก็แต่ในแง่ของแบบวงการที่เข้ามาต่าง ๆ นานา หนูก็เล่าไป from start แล้วว่าแบบตอนแรกหนูคิดยังไง

แล้วตอนนี้หนูมองว่าตัวเองเป็นยังไง ซึ่งหนูคิดว่ามีอะไรอีกเยอะมากเลยที่หนูไม่รู้ แล้วหนูจะต้องรู้สักวันโดยที่หนูก็ไม่ต้องบอกว่าตัวเองต้องรู้สักวันนะ แต่เดี๋ยวมันก็จะรู้เองในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ Open ขึ้นแล้วกัน เมื่อก่อนหนูไม่ค่อยฟังใคร เมื่อก่อนหนูดื้อ รับสารภาพ เมื่อก่อนหนูโดนค่ายปรับทัศนคติประจำ แบบอย่างนี้ไม่ได้นายทำงานกับคนหมู่มากต้องอย่างนู้นอย่างนี้นะ แต่ก็พอ mindset เราเปลี่ยนไปด้วย เราเจอสิ่งที่ดีขึ้นน่ะ เราจะเป็นคนที่ดีขึ้นเองโดยที่เราก็ไม่รู้ตัวว่าเราดีขึ้นน่ะครับ หนูก็เลยรู้สึกว่าแบบเราต้องดีขึ้นได้กว่านี้อีกแน่ จะเป็นคนที่มีความสุขโดยที่ไม่ต้อง fake

The People : การที่ทุกคนได้มาอยู่ในจุดนี้ ได้เป็นศิลปินเต็มตัวมีความหมายอย่างไรบ้าง

มิลลิ : เป็นทุกอย่างอยู่แล้วค่ะ มันเป็นทุก ๆ อย่างไปแล้ว ถ้าไม่เป็นมิลลิวันนี้อาจจะไม่เรียนต่อมหา’ลัย ถ้าไม่ได้เป็นมิลลิวันนี้อาจจะไม่ได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้นั่งคุยตรงนี้ ถ้าไม่ได้เป็นมิลลิอาจจะกำลัง อาจจะเล่น TikTok อย่างหนักเพื่อเป็น TikToker ดูเป็นคนทำอะไรแปลก ๆ เป็นประจำอยู่แล้ว รู้สึกว่าก็คงดิ้นรนต่อไป

ก็ดีใจมากที่ชีวิตนี้มีตัวตนเป็นมิลลิเกิดขึ้นมา แล้วตัวตนในมิลลินั้นไม่เคยทิ้งความเป็นมินนี่ที่เป็นตัวหนูที่แท้จริงไปไหนเลย แล้วก็รู้สึกดีที่ได้พาเขาโตขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วก็เห็นอะไรมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็ตอนนี้ก็ยังไม่กลายเป็นคนที่ตัวเองเกลียด เพราะว่าย้อนกลับไปดูสัมภาษณ์ตัวเองว่าเราเคยไม่ชอบ เคยเป็นแบบนี้ ๆๆ หนูเห็นเลยว่า mindset ตัวเองมันโตขึ้นจริง ๆ

ในความหมายของมิลลิมันเป็นทุกอย่างไปแล้วจริง ๆ มันค้ำจุนตัวหนู ค้ำจุนครอบครัวหนู มันทำให้หนูได้ใช้ชีวิตต่อได้และยังใช้ชีวิตในความฝันของหนูต่อไปได้ หนูรู้ว่ามันมีความหมายกับหนูมากแค่ไหน เพราะว่าตอนปี 4 เนี่ยล่าสุดเลยอาจารย์ที่ ม. ถามว่าคิดว่าจะร้องเพลงไปถึงเมื่อไหร่ หนูบอกว่าหนูตอบแบบพุ่งเลยแบบไม่คิดเลยนะ อ๋อ ก็จนกว่าจะร้องไม่ได้ แล้วก็คิดถึง 50 Cent ที่ยังแบบเป็นแร็ปเปอร์แบบสุดเก๋า อายุ 50 กว่า 60 แล้วไม่รู้ที่แบบเพิ่งมาออกคอนเสิร์ตที่ไทยอยู่เลย แล้วรู้สึกว่าเห็นตัวเองเป็นแบบนั้น คงทำตรงนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะก็ เพราะรู้ตัวว่ารักมันมาก แล้วก็หลงรักมันเพิ่มขึ้นทุกวัน

ฟาร์ : หนูก็มีความสุขกับการแบบว่าได้ร้องเพลงแล้วก็มอบรอยยิ้มให้คนอื่นได้ รู้สึกว่าแบบการที่เราบรรเลง หนูชอบรักการบรรเลง รักเสียงดนตรี รักทุกอย่างในดนตรีมาก ๆ แล้วพอเราแบบสื่อสารหรือว่าเราส่งสาส์นไปแล้วก็แบบคนรอบข้างเขามีความสุขมาก ๆ รวมไปถึงนักดนตรีที่หนูเล่นด้วยครับ หนูจะให้ความสำคัญกับเพื่อน ๆ นักดนตรีหนูมาก ๆ เลย เพราะว่าหนูไม่ได้แบบว่าเป็นแค่คน ๆ เดียวแล้ว ถ้าเพื่อน ๆ หนูเล่นด้วย หนูจะเล่นกับเพื่อน ๆ ด้วยรอยยิ้ม เพื่อน ๆ จะหันมามองหน้ากัน สื่อสารกันอย่างนี้

ตอนที่ร้องเพลงที่ร้านหรือที่ไหนหรือว่าที่คอนเสิร์ตอย่างนี้ครับ ทุกครั้งมันจะมีความสุขมาก ๆ เลยแบบได้บรรเลงเสียงเพลง แล้วได้ส่งสาส์นไปให้กับคนฟัง คนที่เขาแบบเขาตั้งใจรับฟังเรา แล้วเขาก็แบบเชื่อมั่นสายตาที่เขามองเราอย่างนี้ แล้วเขาแบบว่ามองแล้วเขาก็ขยับโยกไปด้วย เขาเปิดใจให้กับเรา แล้วเขาก็แบบเขาเต้นไปกับเรา โดยที่บางคนอาจจะไม่ได้รู้จักหนูด้วยซ้ำหรือว่าอะไรอย่างนี้ แต่เขาแบบเขามองหนูด้วยสายตาที่แบบ เฮ้ย เธอส่งมาหาเราว่ะอย่างนี้ แล้วเขาก็จะแบบโยกตามเราอย่างนี้ หรือครั้งหนึ่งที่หนูเคยไปร้องที่ที่หนึ่งแล้วทุกคนแบบเต้นรำกัน มีความสุขกัน ตอนนั้นก็เป็นโมเมนต์ที่ดีมาก ๆ เลย มันกลายเป็นแบบเหมือนกับอยู่ดี ๆ ก็ดึงดูดให้คน 2 คนมาเต้นรำกัน หมุนกันเอยอะไรเอยแล้วแบบมีความสุขมาก ๆ

การรวมตัวของ 3 สาว ‘DREAMGALS’ จากคนแปลกหน้า สู่เกิร์ลกรุ๊ปที่อยากส่งความมั่นให้ผู้หญิงทุกคน

เพื่อนหญิงพลังหญิง

The People : โปรเจกต์ DREAMGALS เกิดขึ้นได้อย่างไร

มิลลิ : เดี๋ยวหนู short แบบว่าตรงประเด็นให้ ที่มาของโปรเจกต์ DREAMGALS ก็คือว่ามิลลิอยากทำงานกับ 2 คนมาก แล้วมิลลิบอกที่ค่ายว่า โอ้ อยากทำงานกับ 2 คนนี้จังเลย ค่ายบอกว่าได้สิ

ฟาร์ : เร็วไป ๆ ๆ

มิลลิ : เร็วไปเหรอ ๆ ขอโทษ ๆ ๆ (หัวเราะ) โอเค แล้วก็เห็นคลิป 2 คนร้องเพลงด้วยกันแล้วดี มิลลิก็เสนอตัวเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย แล้วก็เสนอที่ค่าย แล้วที่ค่ายก็บอกว่าเฟี้ยวแล้วก็หายไป แล้วค่ายก็กลับมาด้วยโปรเจกต์ DREAMGALS คือค่ายคิดมาค่ะ ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังชื่อ Dreamgirls เลยที่ Beyoncé เล่นอะไรนู่นนี่นั่นเนาะ แล้วก็มาเป็นพวกเรา 3 คน แล้วก็แบ่งเป็นทั้งหมด 3 เพลงโดยที่เราใช้ความถนัดของแต่ละศิลปินจับคู่กับโปรดิวเซอร์คู่ใจของแต่ละคน GALCHANIE ก็กับ MAYOJAMES ฟาร์ก็ มิค-เพชรภูมิ ของมิลลิก็ SpatChies แล้วก็ทุกคนก็จะแบ่งกันคุมในแต่ละเพลง นี่จะเป็น SORRY, NOBODY CARES แล้วก็ PRIORITY ก็มีทั้งหมด 3 เพลงแล้วก็จริง ๆ คอนเซปต์คำว่า DREAMGIRLS เนี่ยเราเปลี่ยนให้มันเป็น GALS เพื่อมันจะสมัยใหม่มากขึ้นคำว่า GALS อะไรอย่างนี้ใช่ไหมคะ เพราะนี่ว่า โอเค เพราะว่าเราคือยุคปัจจุบันตรงนี้นี่แหละ แล้ว DREAMGIRLS พอเราพูดถึงคำว่า DREAMGIRLS ทุกคนจะนึกถึงสาวในอุดมคติ

แต่จริง ๆ แล้วคำว่า DREAMGIRLS ของพวกเราคือผู้หญิงในอุดมคติของเรา เราอยากเป็นผู้หญิงแบบไหน หรือในอีกแง่มุมหนึ่งคือ DREAMGIRLS คือผู้หญิงที่เดินตาม DREAM ของตัวเอง เดินตามความฝันของตัวเอง

The People : 3 เพลงที่ปล่อยออกมาสื่อถึงความเป็นตัวของตัวเองยังไงบ้าง

มิลลิ : เพลงที่พูดถึงคอนเซปต์ของของคำว่า DREAMGALS เลย แต่เราก็จะมีความกวน ๆ ของเราโดยที่ในเพลงก็จะสื่อว่า เฮ้ ถ้านายอยากได้ผู้หญิงในฝันมากล่ะก็นายก็ไปนอนสิประมาณนี้ เอามาขยายต่อ เพราะว่าฉันอาจจะเป็นผู้หญิงในฝันของนายก็ได้แต่อาจจะเป็นฝันร้ายหน่อยนะอะไรอย่างนี้เป็นประมาณนั้นค่ะ คือแสดงความเป็นตัวเองสุด ๆ แล้วก็ในเพลง NOBODY CARES เนี่ยก็คือไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครแคร์หรอกผู้หญิงในฝันของนายจะเป็นยังไง ฉันจะเป็นของฉันแบบนี้อะไรอย่างนี้ แล้วเพลงนี้ก็จะเป็นเพลงที่ปล่อยมาสุดท้าย แล้วก็เป็นเพลงที่นำพา Character ของเราได้เด่นชัดที่สุด มิลลิก็จะแร็ปแบบแร็ปเลย ฟาร์ก็จะร้อง Diva แป้งเนี่ยจะเป็นตรงกลางแล้วดึงเราสองคนอยู่ด้วยกัน จะเป็นความความกลมกล่อม เป็นผงชูรสอูมามิตรงนั้น ใช่ค่ะ NOBODY CARES

ฟาร์ : ส่วน PRIORITY ก็จะแบบเกี่ยวกับผู้หญิงที่แบบตามความฝัน แล้วมีเวลาให้กับความฝัน แต่ไม่ได้มีเวลาให้กับคนรักหรือว่าหวานใจ ซึ่งแบบก็จะต้องใช้เวลาในการทำงาน ๆๆ แล้วก็ไม่ได้มีเวลาให้กับเขาตรงนั้น ก็จะเป็นเพลงเศร้า เป็นเพลงที่แบบสื่ออารมณ์กันแบบรุนแรงมากทั้งตอนอัด ทั้งเสียงที่ออกมาเอย แล้วก็ต่าง ๆ ทุกคนโชว์สกิลร้องกันหมดเลยทั้ง 3 คนด้วย แล้วก็เป็นเพลงได้พี่มิค-เพชรภูมิเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย

แป้ง : เพลงแรกที่ปล่อยออกมาแล้วคือ SORRY ก็ SORRY ของ DREAMGALS นะคะ เราได้ยินคำว่าขวัญใจแฟนชาวบ้าน แล้วนี่ก็เลยแบบคิดว่าเพลงนี้จะต้องเป็นเพลงที่แบบเต้น ๆ สนุก ๆ อะไรอย่างนี้ใช่ไหม เป็น feel แบบว่าประชด ๆ หน่อย แบบว่าไม่สน ไม่แคร์ เชิด เลิศ หยิ่งแต่ว่าเราสวย ซึ่งเนื้อหามันจะเป็นประมาณว่าเรา บางทีความสวยมันสร้างเรื่อง เพราะว่าบางทีเราก็อยู่ของเราเฉย ๆ แต่มีแฟนใครก็ไม่รู้มาชอบเรา ซึ่งเราก็อยู่ของเราเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรอย่างนี้ใช่ไหมคะ ผู้หญิงก็พยายามจะ blame ผู้หญิงด้วยกันเองแทนที่จะแบบโทษผู้ชายที่นอกใจหรืออะไรอย่างนี้ หนูว่าอันนี้มันเหมือนแบบทำมา 1 คือเพื่อ Express ว่าเป็นความผิดของฉันเหรอที่สวยจนแฟนของเธอมาชอบ บางทีโฟกัสผิดไปนิดนึงแทนที่ว่าจะเป็นแฟนของ You แฟนผู้หญิงของ You มาด่าเรา เราด่าผู้ชายไหมเพราะเรายังไม่ทันทำอะไรเลย

The People : อยากจะฝากอะไรถึงผู้หญิงที่ยังไม่กล้าออกมาใช้ชีวิต ไม่กล้าออกมาเป็นตัวของตัวเองบ้าง

ฟาร์ : อาจจะไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะสำหรับฟาร์แบบหลายคนยังมีกรงตรงนี้อยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหนูที่เป็นผู้ชาย หรือเพื่อนหนูที่เคยเป็นแบบเป็นหลายแบบเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่ยังมีกรงอยู่เลยทุกวันนี้ สำหรับหนู หนูเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดใช่ไหม แต่หนูจะช่วยเขา เหมือนเพื่อนหนูคนนึงที่เขาแบบไม่รู้ตัวว่าตัวเองแบบว่าเป็นอะไรหนูก็เลยพาเขาไปเที่ยว พาเขาไปเจออะไร เพื่อให้เขาได้เป็นตัวเอง แล้วปรากฏว่ากรงที่เขาเคยซ่อนไว้มันออกมาแล้วอย่างนี้ แล้วหนูเห็นแล้วหนูได้ภูมิใจ หนูรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นที่จะต้องซ่อนสิ่งนั้นเลย ออกมาจากกำแพงตรงนั้น แล้วรู้สึกว่าต่อให้คุณจะโดนใครลบล้างความเป็นตัวคุณอะไรยังไงมันก็ไม่มีทางที่จะแบบว่าความเป็นตัวคุณมันก็ไม่มีทางที่จะแตกสลายไปแน่นอน ก็อยากให้แบบเราจะเป็นคนช่วยคุณเอง ถ้าเกิดว่ามีปัญหาทักมาได้เลย

แป้ง : หนูแค่รู้สึกว่าหัวใจมันบอกให้ทำอะไร ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการดีกว่าทำในสิ่งที่ทำเพื่อคนอื่น มันจะน่าเศร้ากว่าไหมที่ทำในสิ่งที่คนอื่นต้องการแทนที่จะเป็นของตัวเอง ถ้าคุณแบบใช้ชีวิตไปสักพักโดยการใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น แล้วหันกลับมามองตัวเองที่แบบคุณก็เลือกได้เองแท้ ๆ มันน่าเสียดายเวลามาก ๆ มันไม่มีใครรู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นหรอก ก็ทำซะเถอะอย่ารอให้มันแบบอย่ารอให้คุณต้องมาเสียดายเวลา มันไม่มีประโยชน์อะไร

มิลลิ : คำว่ารู้งี้เป็นคำที่หนูเกลียดที่สุด เพราะมันคือคำที่เราได้พลาดทำอะไรสักอย่างไปโดยที่เราลืมทำอะไรสักอย่างไป แล้วกลายเป็นว่าเรากำลังเสียดายช่วงเวลาก่อนหน้านั้นที่ แหม่ รู้งี้เราน่าจะทำ นวยพยายามใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีคำว่ารู้งี้ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าอยากทำอะไรเราทำเลย เราจะทำแบบเรารู้ว่าเราชอบอะไรเราเอาเลย ๆ เพราะว่าเวลามันเดินอยู่ตลอดเวลา แล้วมันน่าเสียดายมากถ้าเราต้องมานึกย้อนเสียดายกับเวลาที่มันผ่านไป เพราะเรารู้ว่าเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าใช้ชีวิตกับคำว่ารู้งี้เลยค่ะ เพราะว่าคนที่เสียใจแล้วต้องรองรับอารมณ์ของตัวเองและรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเองคือตัวคุณเอง เพราะฉะนั้นทำเลยเพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างจะไม่รู้อะไรเลยค่ะ

The People : กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ อยากจะขอบคุณอะไรตัวเองกันบ้าง

ฟาร์ : ขอบคุณที่ไม่ตายค่ะ ขอบคุณที่ไม่ตัดสินใจที่จะทำร้ายตัวเองหรือว่าขอบคุณที่เลือกทางเดินชีวิตตัวเอง แล้วก็ขอบคุณที่ทำตามความฝัน แล้วก็ขอบคุณที่จะทำมันต่อไป ขอบคุณที่จะล้ม ล้มอยู่แล้วก็ขอบคุณที่จะลุกอยู่ พยายามจะลุกอยู่ด้วยค่ะ

แป้ง : ขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยละทิ้งความเป็นตัวเองแล้วกัน แล้วก็ขอบคุณตัวเองที่ไม่เอา เขาเรียกว่าอะไรสิ่งปมด้อยอะไรพวกนั้นที่สังคมเขาบอกว่า เป็นเด็กมีปมด้อยมาน้อยใจหรือนั่งเสียใจ ไม่ใช้ชีวิตอยู่กับคำว่า Why ใช้ชีวิตแบบลงมือทำเลยอะไรอย่างนี้ก็ขอบคุณตัวเองที่แบบเลิกตั้งคำถามแล้วลงมือทำสักที

มิลลิ : ขอบคุณที่เชื่อว่ามันดีกว่านี้ได้ พอมันเชื่อว่าตัวเองจะดีกว่านี้ขึ้นได้ มันเลยไม่ปิดใจกับอะไรเลย มันเลย Open mind มาก ๆ แล้วมันทำให้เราเชื่อในคนอื่นด้วย เราเชื่อว่าที่บ้านจะเข้าใจเราได้แน่นอนในวันหนึ่ง เราเชื่อในตัวแม่ เราเชื่อในตัวพ่อ ในตัวยาย เชื่อในตัวเอง เราเชื่อว่าปลายทางมันจะต้องดีกว่านี้ไม่มากก็น้อย มันเลยทำให้เราไม่นั่งอยู่เฉย ๆ แล้วก็หยุดทำมัน ความเชื่อมันเปลี่ยนอะไรได้หลายอย่างจริง ๆ มันคือ mindset ของเรา ก่อนที่เราลงมือทำ เราก็ต้องเชื่อด้วย

 

เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง

ภาพ : พิชญุตม์ คชารักษ์