My Chemical Romance : คำสาปและความสำเร็จขบวนพาเหรดสีดำ

My Chemical Romance : คำสาปและความสำเร็จขบวนพาเหรดสีดำ

เรื่องราวของ ‘My Chemical Romance’ ขุนพลแนวหน้าของดนตรีอีโม เจ้าของผลงานอัลบั้ม Black Parade กับความสำเร็จที่มาพร้อมคำสาป

KEY

POINTS

  • จากเหตุการณ์ 9/11 ทำให้ ‘เจอราร์ด เวย์’ (Gerard Way) ตัดสินใจหันหน้าเข้าสู่เส้นทางสายดนตรีอย่างจริงจัง และก่อตั้งวง ‘My Chemical Romance’ ขึ้นมา
  • My Chemical Romance เป็นหนึ่งในวงที่ทำให้กระแสอีโมโด่งดัง ทั้งดนตรีและแฟชั่น
  • อัลบั้ม ‘The Black Parade’ เป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของวงการดนตรี รวมถึงตัววงเอง ที่มันนำมาซึ่งความสำเร็จ พร้อมกับคำสาป
     

มันไม่ใช่ร็อก! มันก็แค่พวกตามกระแส…” 

ในต้นยุค 2000 ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเปลี่ยนผ่านทางดนตรี ที่ได้ก่อกำเนิดแนวเพลงใหม่ขึ้นมามากมาย จากดนตรีร็อกแบบเดิม ก็ลดทอนความหนักลง และปรุงแต่งกลิ่นใหม่ให้มีรสชาติอื่นขึ้น หรือไม่ก็อาจจะถูกลดความนิยมลง จนดนตรีแนวอื่นขึ้นมาเป็นกระแสหลักแทน

และช่วงเวลานี้เอง ที่กระแสดนตรีหนึ่งกำลังอยู่ในช่วงเบ่งบาน ซึ่งผู้คนต่างเรียกกันว่า ‘อีโม’ (Emo) ด้วยบทเพลงที่มักกล่าวถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ การระบายความอัดอั้น และเปล่งเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด อีกทั้งยังพ่วงมาด้วยแฟชั่นการแต่งตัวโทนดำ ทาขอบตาหนา ๆ ไว้ผมยาวรากไทรและเจาะหูเจาะปาก จนมันกลายเป็นแฟชั่นสุดฮิตอยู่ช่วงหนึ่ง ถึงขนาดที่ว่าวัยรุ่นไทย ณ ตอนนั้น ก็นิยมแต่งตัวแนวนี้กันเต็มบ้านเต็มเมือง
.
อีกหนี่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้แฟชั่นนี้ กลายเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น ก็เพราะการมาของวงดนตรีที่มีชื่อว่า ‘My Chemical Romance’ วงหน้าใหม่ ที่จะมาเขย่าโลกดนตรีให้สั่นสะเทือน ด้วยความแปลกแหวกแนว ที่บทเพลงของพวกเขามาในแนวคอนเซ็ปต์อัลบั้ม (Concept Album) หรือก็คือการที่แต่ละเพลงในอัลบั้ม จะถูกจัดอยู่ในจักรวาลเดียวกัน เป็นเรื่องเป็นราวร้อยเรียงกันไป อีกทั้งเนื้อหาที่ตรงจริตของเหล่าวัยรุ่น ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และกลายมาเป็นหนึ่งในขุนพลแนวหน้าของดนตรีอีโม 

นอกเหนือจากกระแสแฟชั่นอีโมแล้ว เมื่อพูดถึงชื่อของ My Chemical Romance เหล่าแฟนเพลงก็ต้องนึกถึงอัลบั้มมาสเตอร์พีซ อย่าง ‘The Black Parade’ ที่อัดแน่นไปด้วยเพลงคุณภาพมากมาย และการใส่เรื่องราวให้คนฟังได้ตีความกัน อีกทั้งอัลบั้มนี้ ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ดีที่สุดแห่งยุค 2000 อีกด้วย

ถึงแม้เจ้าขบวนพาเหรดสีดำ จะนำพาความรุ่งโรจน์มาให้วงก็ตาม แต่มันก็แฝงมาด้วยเรื่องราวแปลก ๆ มากมายที่เกิดขึ้น ราวกับเป็นคำสาปจากคฤหาสน์สุดเฮี้ยน ที่พวกเขาเคยเข้าไปพำนักกันในตอนที่กำลังทำอัลบั้มชุดนี้ 

หนุ่มน้อยผู้ค้นพบจุดหมายของชีวิต

เจอราร์ด เวย์’ (Gerard Way) เด็กหนุ่มวัย 15 ปี ที่กำลังเฝ้าร้านขายหนังสือเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาใช้ชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่มีความฝันหรือแรงจูงใจใด ๆ เป็นเพียงเด็กรับจ็อบร้านขายหนังสือทั่วไป เพื่อหาเงินค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ 

กระทั่งวันหนึ่งที่ราวกับมัจจุราชได้มาเตือน ขณะที่ เจอราร์ด กำลังเฝ้าร้านตามปกติ ก็มีหัวขโมยสองคน บุกรุกเข้ามาเพื่อหาของมีค่า ก่อนที่จะจับตัวเขากดลงกับพื้น พร้อมกับหยิบปืนจ่อเข้าไปที่หัว 

แม้จะเป็นเพียงไม่กี่นาทีที่เกิดเหตุ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เด็กน้อยวัยเพียงสิบกว่าขวบ ได้ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา และรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต ไม่นานหลังจากวันที่เกิดเหตุ เจอราร์ด จึงตัดสินใจเริ่มต้นวาดรูปอย่างจริงจังนับตั้งแต่นั้นมา 

ชีวิตดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจุดเปลี่ยนมาถึงอีกครั้ง เมื่อในปี 2001 ก็เกิดโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญคนทั้งโลก นั่นก็คือ เหตุการณ์ 9/11 ที่ผู้ก่อการร้ายใช้เครื่องบินพุ่งชนตึก ‘เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์’ (World Trade Center) ในนครนิวยอร์กทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

เจอราร์ด ที่รู้สึกสลดใจเมื่อรับรู้เหตุการณ์ดังกล่าว จึงอยากจะทำอะไรสักอย่างที่พอจะบอกเล่าความรู้สึกผ่านผลงานของตน แต่หากจะบอกเล่าผ่านงานวาดเขียนที่เขาถนัด ก็คงจะสื่อความหมายไปถึงผู้อื่นได้ไม่มากพอ จู่ ๆ เขาเกิดนึกย้อนกลับไปวัยเด็ก ว่าตนเองก็พอจะมีความสามารถในการร้องเพลงอยู่บ้าง 

จึงเป็นจุดที่ทำให้ เจอราร์ด จากที่จับสีไม้วาดภาพ เปลี่ยนมาเป็นเขียนเนื้อเพลงแทน และได้แต่งเพลงแรกในชีวิตขึ้นมา อย่าง ‘Skylines and Turnstiles’ ก่อนที่จะค่อย ๆ รวบรวมสมาชิกพลพรรคสายดนตรี รวมถึงดึงตัวน้องชาย ‘ไมกี้ เวย์’ (Mikey Way) มาก่อตั้งวงด้วยกัน

เมื่อสมาชิกครบองค์ประกอบ พวกเขาก็คลุกตัวช่วยกันแต่งเพลงจนแทบจะลืมวันลืมคืน แม้จะเขียนเพลงกันไปนับหลายสิบเพลงแล้วก็ตาม หากแต่ชื่อวงยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ ไมกี้ นึกถึงหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่ในช่วงนั้น อย่าง ‘Three Tales of Chemical Romance’ ก่อนที่จะหยิบยกประโยคบางส่วน มาตั้งเป็นชื่อวง จนในที่สุด วงดนตรีที่ชื่อ ‘My Chemical Romance’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ห้องใต้หลังคาเล็ก ๆ 

 

วงดนตรีผู้ปลุกกระแสอีโม

เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว เพลงก็มีแล้ว ชื่อวงก็มีแล้ว ไม่รอช้า พวกเขาจึงรีบเข้าห้องอัดเพื่อบันทึกเสียง และในปี 2002 อัลบั้มเดบิวต์ก็ถูกปล่อยออกมา ในชื่อ ‘I Brought You My Bullets, You Brought Me Your Love’ ที่ยึดแนวทางของคอนเซ็ปต์อัลบั้มเป็นหลัก

แม้ผลตอบรับจะไม่ประสบความสำเร็จเสียเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็เริ่มเป็นที่พูดถึงในกลุ่มของวงดนตรีใต้ดิน จนได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่อย่าง ‘Reprise Records’ และมีการปรับเปลี่ยนมือกลองจาก ‘แมตต์ เปลลิเซียร์’ (Matt Pelissier) เป็น ‘บ็อบ ไบรเออร์’ (Bob Bryar)

กระทั่งได้ปล่อยผลงานอัลบั้มชุดที่สอง อย่าง ‘Three Cheers for Sweet Revenge’ ที่ยังคงคอนเซ็ปต์อัลบั้มอยู่เช่นเดิม แต่ในคราวนี้ พวกเขาบรรจงแต่งเพลงให้มีความปราณีต ใส่อารมณ์ความรู้สึก เพื่อให้เพลงมีความลึกซึ้ง มีเพลงฮิตหลายเพลง อาทิ ‘I’m Not Okay (I Promise)’ , ‘The Ghost of You’ และบทเพลงอันทรงพลังอย่าง ‘Helena’ ที่เจอราร์ด หยิบยกมาจากเหตุการณ์ที่เขาสูญเสียยาย ผู้ที่คอยเลี้ยงดูตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก

และในช่วงเวลาที่อัลบั้มถูกปล่อยออกมา ก็เป็นช่วงที่ดนตรี ‘อีโม’ (Emo) เริ่มได้รับความนิยม จนกลายมาเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก และ My Chemical Romance ก็เป็นหนึ่งในวงที่เหล่าแฟนเพลง ให้คำนิยามว่าเป็นวงอีโมด้วยเช่นกัน

ซึ่งสาเหตุที่วงดนตรีประเภทนี้ถูกเรียกว่า อีโม ที่ย่อมาจากคำว่า ‘Emotional’ ก็เพราะตัวเพลง มักจะมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่ชัดเจน ผ่านทางเนื้อร้องและทำนอง ไม่ว่าจะการกรีดร้องโอดครวญหรือการแสดงท่าทางอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งการแต่งกายที่มักจะแต่งออกมาในธีมดำทะมึน ผมยาว กรีดตาสีดำ และแฟชั่นนี้ ก็ค่อย ๆ แพร่ขยายออกไปจนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่เด็กวัยรุ่น 

พวกเขาเริ่มเป็นที่รู้จัก และมีกลุ่มแฟนเพลงเป็นของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ มันจึงสร้างความกดดันให้กับทางวง ที่กำลังจะมีแผนปล่อยอัลบั้มชุดถัดไป พวกเขาจึงตัดสินใจ พากันไปเก็บตัวแต่งเพลงที่คฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘The Paramour Mansion’ ซึ่งเป็นที่พักสุดเฮี้ยน ที่เจ้าของได้เสียชีวิต และมีคนพบเหตุดวงวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุหลักที่พวกเขาเลือกที่แห่งนี้ ก็เพราะต้องการซึมซับอารมณ์ความรู้สึก เผื่อจะนึกไอเดียการแต่งเพลงได้มากกว่าเดิม

แม้ระหว่างการทำอัลบั้ม จะเต็มไปด้วยความอึดอัดและอุปสรรคก็ตาม แต่ในที่สุด อัลบั้มนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ และผลงานชิ้นนี้ มันจะสร้างปรากฎการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในวงการดนตรี และเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม

 

อัลบั้มมาสเตอร์พีซ

ในปี 2006 ผลงานอัลบั้มชุดที่สามก็ออกวางจำหน่าย ภายใต้ชื่อว่า ‘The Black Parade’ ทางวงได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเอง จากเดิมที่เป็นสไตล์อีโม แต่ในครั้งนี้ เขาสวมชุดสไตล์ย้อนยุคแบบ 60s – 70s ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก The Beatles ในอัลบั้ม Sgt. Peppers Lonely Heart Club Band 

แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือแต่ละเพลงในอัลบั้ม มันเต็มไปด้วยบทเพลงอันทรงพลังสุดอลังการ และคอนเซ็ปต์เพลงที่พูดถึงเรื่องราวที่ลึกลงไปมากกว่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ ซึ่งจะเป็นการพูดถึงเกี่ยวกับโลกหลังความตาย ความรู้สึกของจิตใจ และความสูญเสีย 

มีเพลงชั้นยอดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘Teenagers’, ‘Fanous Last Words’, ‘Blood’ ที่ร้อยเรียงด้วยท่วงทำนองชวนติดหู ไพเราะ และเสียงร้องที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย มีเอกลักษณ์ รวมถึงไลน์กีตาร์อันน่าดึงดูด ที่ชวนสะกดให้ฟังจนจบเพลงแบบไม่รู้ตัว

ผลตอบรับในอัลบั้มนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย ทั้งในแง่ของคำวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ ที่สามารถทำยอดขายกว่า 240,000 ก๊อปปี้ในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย ซึ่งทะยานขึ้นอันดับ 2 บน Bilboard 200 ในอเมริกา  และกวาดรางวัลมาอย่างมากมาย  อีกทั้งตั๋วเข้าชมก็ถูกขายหมดอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่นาที

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทางวงก็ยังได้แรงบันดาลใจจากศิลปินระดับตำนานอย่าง ‘Queen’ ซึ่งจะสังเกตุเห็นว่าแต่ละเพลงในอัลบั้ม ล้วนเต็มไปด้วยความเป็นศิลปะและท่วงทำนองเปียโนอันไพเราะ รวมถึงเพลงบัลลาดสุดลึกซึ้งสะเทือนอารมณ์ อย่าง ‘I Don’t Love You’ และ ‘Cancer’ ที่กล่าวถึงผู้ป่วยจากโรคมะเร็ง พร้อมกับแฝงเรื่องราวที่เจอร์ราด ต้องเลิกรากับคนรักเก่าของเขาเอาไว้ในเพลง

โดยเฉพาะเพลงอมตะของวง อย่าง ‘Welcome to the Black Parade’ ที่นอกเหนือจากมิวสิควีดีโอสุดอลังการแล้ว เราจะรับรู้ถึงกลิ่นอายของวง Queen อย่างชัดเจน ทั้งเนื้อร้องบางท่อนและเมโลดี้บางส่วน ที่ล้อไปกับเพลง ‘Bohemian Rhapsody’ ได้อย่างแนบเนียน รวมถึงการซ่อนนัยสำคัญไว้ในบทเพลง ให้เหล่าคนฟังได้พากันตีความ

และ Welcome to the Black Parade ก็กลายเป็นซิงเกิ้ลยอดฮิตที่สุดของวง ซึ่งสามารถไต่ขึ้นไปบนอันดับ 1 ใน UK Singles Chart และติดท็อป 10 ในหลาย ๆ ประเทศ ไม่เพียงแค่นั้น ในแวดวงนักวิจารณ์ ก็ให้ความเห็น พร้อมกับยกย่องในความสร้างสรรค์ ถึงเนื้อหาอันลึกซึ้ง ที่แฝงไปในทุก ๆ บทเพลงในอัลบั้ม ถึงขนาดที่นักวิจารณ์บางคน ก็ยกให้เป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์อัลบั้ม ที่ดีที่สุดแห่งยุค 2000 

 

ขบวนพาเหรดต้องสาป

My Chemical Romance ในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นช่วงขาขึ้นของพวกเขาอย่างแท้จริง จากการสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ให้กับวงการดนตรี แต่ใครจะรู้ ว่านอกเหนือจากความสำเร็จที่ได้รับแล้ว มันก็มาพร้อมกับ ‘คำสาป’ ที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม

ซึ่งต้องท้าวความไปถึงตอนที่วงเข้าไปคลุกตัวกันทำอัลบั้ม ในที่พักสุดเฮี้ยน อย่าง The Paramour Mansion เรื่องราวแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นกับสมาชิกในวงตลอดมา อย่างเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะแค่เรื่องโชคร้ายทั่วไป แต่เมื่อนานวันเข้า โชคร้ายที่ว่า มันกลับหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ 

ในตอนแรกที่พวกเขาเหยียบเท้าเข้ามายังที่พักแห่งนี้ ก็เริ่มรู้สึกถึงรางร้ายบางอย่าง ที่แฝงอยู่ในบรรยากาศอันวังเวง เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ความผิดปกติก็เริ่มชัดเจนขึ้น บางคนก็รู้สึกอึดอัด ราวกับว่ามีคนจ้องมองตลอดเวลา หรือบ้างก็พบเจอดวงวิญญาณ

อย่างเจอร์ราด เวย์ ที่ทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำเป็นประจำ แต่ก็มักจะมีอาการนอนไม่หลับ และเมื่อพอหลับ ก็จะฝันถึงเรื่องราวน่ากลัวอยู่เสมอ นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจเขียนเพลงที่ชื่อว่า ‘Sleep’ ขึ้นมา อีกทั้งยังถูกแฟนที่คบหากันมานาน ขอเลิกแบบกระทันหัน ทำให้เจอร์ราด เวย์ ถึงกับเสียสติไปพักหนึ่ง

และคนที่ดวงซวยที่สุด ก็คงจะเป็น ไมกี้ เวย์ ที่ได้พักอาศัยอยู่ในห้องที่เคยมีคนเสียชีวิต ทำให้มักจะพบเจอเรื่องแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง บวกกับมีอาการซึมเศร้าอยู่แล้ว จึงทำให้รู้สึกประสาทหลอนและหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา จนอาการยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่เพื่อนสมาชิกในวง เกรงว่า หากตัวเขายังคงอยู่ต่อไป อาจจะต้องเป็นบ้าเข้าสักวัน จึงตัดสินใจให้ไมกี้ เวย์ ออกจากที่พักนี้ไปก่อน และดึง แมตต์ คอร์เตซ กีตาร์เทคนิคเชียนของวง มาช่วยเล่นเบสระหว่างทำเดโม่

หรือในตอนที่ทางวงกำลังถ่ายทำมิวสิควีดีโอ เพลง ‘Famous Last Words’ ในระหว่างถ่ายทำ ก็เต็มไปด้วยอุปสรรคและอุบัติเหตุ ทั้งเจอราร์ดบาดเจ็บบริเวณขา จนเอ็นฉีกขาดและหัก รวมถึง บ็อบ ไบเออร์ มือกลองของวง ก็ถูกไฟที่ใช้ประกอบฉากเผาที่ขา จนเป็นแผลไฟไหม้ขั้นรุนแรง ซึ่งในภายหลังมันก็กลายเป็นแผลติดเชื้อ จนลามขึ้นสมองและเกือบทำให้เสียชีวิต 

จากเหตุการณ์ดังกล่าง บ็อบ ไบเออร์ ก็ต้องถอนตัวออกจากวง และได้มือกลองคนอื่นมารับไม้ต่อ แต่มือกลองคนใหม่ที่ว่า กลับมีพฤติกรรมที่ชอบลักขโมย จนต้องถูกไล่ออก ซึ่งทางวงต้องเสียเวลาไปกับการหามือกลอง ทำให้วงไม่ได้ทัวร์ไปอยู่พักใหญ่

รวมถึงในปี 2008 มีสื่อได้เขียนบทความถึงเหตุการณ์ที่เด็กสาวอีโมคนหนึ่ง ตัดสินใจแขวนคอจนเสียชีวิต ซึ่งคาดว่าแรงจูงใจมาจากบทเพลงของ My Chemical Romance วงที่เธอชอบ และเนื้อหาของเพลงก็สื่อถึงความตาย อีกทั้งในบทความก็ใส่สีตีไข่ กล่าวหาว่าอีโมเป็นหนึ่งในลัทธิที่เชิญชวนให้คนมาฆ่าตัวตาย ส่วนแม่ของเธอก็ยังให้ความกับสื่อว่า ลูกสาวมักจะคลุกตัวอยู่กับเพลง My Chemical Romance ที่เมื่อลองฟังแล้ว เนื้อหาของเพลงก็มักจะมีแต่การทำร้ายตัวเองและการฆ่าตัวตาย 

สุดท้าย My Chemical Romance ก็กลายเป็นแพะรับบาปไปเสียอย่างนั้น จนสื่อต่าง ๆ ต่างพากันเล่นประเด็นนี้กันยกใหญ่ แต่ในภายหลัง ทางวงก็ได้ออกมาแถลงการณ์ว่าวงของพวกเขาแต่งเพลงเพื่อปลอบประโลมจิตใจผู้คนเพียงเท่านั้น อีกทั้งเหล่าแฟนคลับของวง ก็ออกมาช่วยโต้แย้งถึงกรณีที่วงถูกกล่าวหา พร้อมกับประกาศชูป้ายว่า “My Chemical Romance คือวงดนตรีที่คอยช่วยชีวิตพวกเขา”

เวลาผ่านไป ความนิยมของวงกลับลดลงเรื่อย ๆ อีกทั้งเมื่อออกอัลบั้มชุดใหม่ ก็กลับไม่ประสบความสำเร็จเทียบเท่าผลงานก่อนหน้านี้ จนในที่สุด สมาชิกต่างลงความเห็นว่า ในเมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะมีแต่ปัญหา ทางออกที่ดีที่สุด ก็คงจะเป็น ‘การยุบวง’ และในปี 2013 ถือเป็นการปิดฉากวงดนตรีผู้นำกระแสอีโมอย่างเป็นทางการ

 

กลับมาอีกครั้ง (?)

หลังจากที่วงยุบตัวลง สมาชิกที่เหลือก็ได้แยกย้ายไปทำงานตามเส้นทางของตัวเอง เจอราร์ด ออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองหนึ่งชุดในปี 2014 และกลับไปทำงานที่เขารักตั้งแต่เด็ก อย่างการวาดรูป ซึ่งดูเหมือนว่าเส้นทางนี้ก็จะดำเนินไปด้วยดี มีหลากหลายชิ้นงานที่การันตีถึงความสามารถในการวาดของเจ้าตัว เช่น เคยร่วมออกแบบตัวละครกับทาง Marvel จนออกมาเป็นตัวละครที่ชื่อ ‘Peni Parker’ และยังเป็นโปรดิวเซอร์เรื่องฮีโร่ชื่อดัง อย่าง ‘The Umbrella Academy’ ของ Netflix อีกด้วย

แต่ในวันฮาโลวีนเมื่อปี 2019 ทางวงก็ประกาศข่าวดีให้แฟนเพลงได้ทราบ ว่า My Chemical Romance เตรียมจะกลับมาเล่นคอนเสิร์ตอีกครั้งที่ลอสแอนเจลิส ก่อนที่จะตัดสินใจประกาศทัวร์คอนเสิร์ตในหลาย ๆ ที่ 

จนในปี 2022 ทางวงก็ปล่อยเพลง ‘The Foundations of Decay’ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณอันดี ว่าพวกเขาอาจจะกลับมาสร้างสรรค์อัลบั้มผลงานชิ้นถัดไป รวมถึงคำสาปจากขบวนพาเหรดอาจจะถูกลบล้างลง หลงเหลือไว้เพียงทำนองที่พร้อมจะบรรเลงให้เหล่าแฟนเพลงยุคอีโมให้หายคิดถึง 

 

ภาพ : Getty Images

อ้างอิง : 

THE TRAGIC REAL-LIFE STORY OF MY CHEMICAL ROMANCE | Grunge

My Chemical Romance | Britannica

Exclusive: Ex-MCR drummer shares his memories of recording 'The Black Parade' | Alternative Press

My Chemical Romance speak about ’emo’ suicide | NME