‘M2M’ ดูโอเพลงป็อปจาก ‘นอร์เวย์’ ที่ครองใจ ‘นักเรียนหญิงเอเชีย’

‘M2M’ ดูโอเพลงป็อปจาก ‘นอร์เวย์’ ที่ครองใจ ‘นักเรียนหญิงเอเชีย’

เรื่องราวของสองเพื่อนรักแห่งวง ‘M2M’ ที่พบกันครั้งแรกตอน 5 ขวบ จับมือไล่ล่าความฝันด้วยกัน ก่อนจากลาเพื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง

KEY

POINTS

  • M2M ดูโอสาวเพลงป็อปสัญชาตินอร์เวย์ ที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการเพลงป็อป  
  • ความสำเร็จในอัลบั้มแรก ก่อนพบความผิดหวังในอัลบั้มที่สอง 
  • การแยกย้ายไปทำตามความฝันของตัวเอง ก่อนจะกลับมาพบกันอีกครั้งในเดือนกันยายน 

“I remember, date and time. September 22nd Sunday twenty-five after nine.”

ถ้า ‘August’ เป็นเดือนสำคัญสำหรับ ‘สวิฟตี้’ เห็นที ‘September’ จะเป็นเดือนสำคัญสำหรับแฟน ๆ ดูโอสาว ‘M2M’ เช่นกัน 

กว่า 20 ปีที่แล้ว M2M ดูโอสาวเพลงป็อปสัญชาตินอร์เวย์ ได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการเพลงป็อป สองสาว ‘มาริต’ กับ ‘เมเรียน’ ไม่เน้นโชว์เนื้อหนังมังสาขายความเซ็กซี่ แต่เน้นโชว์ความสามารถที่ ‘เป็นธรรมชาติ’ ผ่านการเขียนเพลงด้วยตัวเอง และเล่นเครื่องดนตรีเอง แม้กระทั่งตอนแสดงสด ซึ่งถือเป็นเรื่อง “หายาก” ในหมู่ศิลปินเพลงป็อปในยุคนั้น 

ความนิยมของ M2M พุ่งถึงขีดสุดตั้งแต่ซิงเกิลแรก ‘Don’t Say You Love Me’ ซึ่งถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ ‘Pokemon: The Movie’ ในปี 1999 หลังจากนั้นพวกเธอก็ปล่อยอัลบั้มแรก ‘Shades of Purple’ ในปี 2000 มาตอกย้ำความแรง ซึ่งดูจะโดนใจแฟนเพลงวัยรุ่นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแฟนเพลงชาวเอเชีย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ‘นักเรียนหญิงชาวไทย’ ด้วยเนื้อร้องที่เป็นประโยคภาษาอังกฤษง่าย ๆ เข้าปาก เหมาะสำหรับคนที่กำลังหัดภาษาผ่านการฟังเพลง 

สมาชิกของ M2M คือสองสาวจากเมืองลอเรสกอก ประเทศนอร์เวย์ ได้แก่ ‘มาริต ลาร์เซน’ (ชื่อเต็ม ‘มาริต เอลิซาเบธ ลาร์เซน’ เกิดวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1983) กับ ‘เมเรียน เรเวน’ (ชื่อเต็ม ‘เมเรียน เอลิเซ เรเวน’ เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1984)

ตอนอายุประมาณ 5 ขวบ เด็กหญิงทั้งสองเจอกันที่สนามเด็กเล่น ก่อนจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อรู้ว่าต่างก็มีความสนใจด้านดนตรีเหมือนกัน พวกเธอจึงเริ่มร้องเพลงด้วยกัน และเริ่มทำวงดูโอตั้งแต่อายุ 8 ขวบ โดยตั้งชื่อวงว่า ‘Hubba Bubba’ ตามชื่อหมากฝรั่งที่พวกเธอชอบ 

โตขึ้นมาหน่อย เมเรียนก็เรียนเปียโน ส่วนมาริตเรียนกีตาร์ ทั้งคู่มีโอกาสได้แสดงฝีมือด้วยกันบ่อยครั้ง กระทั่งในปี 1996 ซึ่งพวกเธออายุประมาณ 11 – 12 ขวบ พวกเธอก็ออกอัลบั้มเพลงสำหรับเด็กด้วยกันในชื่อ ‘Synger Kjente Barnesanger’ ในเวลานั้นพวกเธอใช้ชื่อวงว่า ‘Marit & Marion’ (มาริต แอนด์ เมเรียน)

อัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ‘Spellemannprisen’ หลังจากออกอัลบั้มนี้ พวกเธอก็เริ่มเขียนเพลงป๊อปของตัวเอง และส่งเดโมไปตามค่ายต่าง ๆ จนผลงานเกิดไปเตะตาโปรดิวเซอร์เพลงอย่าง ‘เคนเนธ เอ็ม. ลูอิส’ และ ‘ไค โรโบเล’ หลังจากนั้นในปี 1998 พวกเธอก็ได้จรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด ‘Atlantic Records’ ในสหรัฐอเมริกา

ตอนแรกพวกเธอคิดจะใช้ชื่อวงว่า ‘M&M’ แต่ก็ล้มเลิกความตั้งใจไป เพราะชื่อดันไปเหมือนกับขนมยี่ห้อดัง ทางค่ายจึงจัดการประกวดตั้งชื่อวงให้พวกเธอ จนมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเสนอชื่อ ‘M2M’ ขึ้นมา ชื่อนี้จึงกลายเป็นชื่อวงของพวกเธอตั้งแต่นั้น 

เดือนตุลาคม ปี 1999 ซิงเกิลเปิดตัวของ M2M ที่มีชื่อว่า ‘Don’t Say You Love Me’ ได้รับการเผยแพร่ทางวิทยุเป็นครั้งแรก เพลงจังหวะใส ๆ นี้ยังถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ‘Pokemon the First Movie’ และด้วยการโหมโปรโมต บวกกับเนื้อเพลงที่ฟังง่าย ติดหูคนฟังอย่างรวดเร็ว ทำให้ชื่อของสองสาวเริ่มเป็นที่รู้จัก 

Don’t Say You Love Me ขึ้นไปได้ไกลถึงอันดับ 21 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ส่วนที่บ้านเกิดของพวกเธอ เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 2 แต่กลับไปฮิตจนครองอันดับ 1 ในเกาหลีใต้ ทั้งยังประสบความสำเร็จพอสมควรในสหราชอาณาจักร เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา เนเธอร์แลนด์ สวีเดน ฝรั่งเศส เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ อีกทั้งยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold ในสหรัฐฯ และออสเตรเลีย 


 

ต่อมาในเดือนมีนาคม ปี 2000 ทั้งคู่จึงได้ฤกษ์ออกอัลบั้มเปิดตัวที่ชื่อว่า ‘Shades of Purple’ ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 89 บนชาร์ต Billboard Hot 100 และติดอันดับหนึ่งในชาร์ตอัลบั้ม Heatseekers ของ Billboard นอกจากนี้ ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold ในนอร์เวย์ และชิลี รวมถึงระดับ Platinum ในอินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย และไต้หวัน 

‘M2M’ ดูโอเพลงป็อปจาก ‘นอร์เวย์’ ที่ครองใจ ‘นักเรียนหญิงเอเชีย’

ซิงเกิลต่อมา ที่ทำให้สาว ๆ พากันไปยืนร้องเพลงหน้ากระจก คือซิงเกิลที่มีชื่อว่า ‘Mirror Mirror’ สามารถขึ้นถึงอันดับ 62 บนชาร์ต Billboard Hot 100 และได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold จาก RIAA ในสหรัฐฯ 

ตามมาด้วยซิงเกิลที่สามอย่าง ‘The Day You Went Away’ (ซึ่งนักร้องสาวชาวออสเตรเลีย ‘เวนดี้ วิลเลียมส์’ เคยร้องเอาไว้เมื่อปี 1992) ที่แฟนเพลงชาวไทยต่างก็ร้องตามได้จนถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับอีกสองเพลงหลังจากนั้น ได้แก่ ‘Pretty Boy’ และ ‘Girl in Your Dreams’ ขณะที่ซิงเกิลสุดท้ายจากอัลบั้มคือ ‘Everything You Do’ ขึ้นไปได้ถึงอันดับที่ 21 บนชาร์ต Billboard’s Hot Dance Music\Maxi-Singles Sales

อัลบั้ม Shades of Purple ได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากนักวิจารณ์ สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้มากถึง 1.5 ล้านชุด ในปีเดียวกันนี้พวกเธอยังได้รับเชิญให้ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับวง ‘แฮนสัน’ (Hanson) รวมถึงได้ออกรายการโทรทัศน์มากมาย และได้แสดงที่สวนสนุก Epcot ของดิสนีย์ เวิลด์ ด้วย

ความสำเร็จนี้ทำให้สองสาวต้องรีบเข็นอัลบั้มที่สองตามมาในปี 2002 นั่นคืออัลบั้ม ‘The Big Room’ ซึ่งพวกเธอใช้เวลาบันทึกเสียงเพียง 6 วัน และแม้อัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จบนชาร์ตในนอร์เวย์และออสเตรเลีย ทั้งยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Platinum ในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่ความแปลกใหม่ของสองสาวเริ่มหมดลงในเวลานั้น ทำให้อัลบั้มที่ทั้งคู่เริ่มนำเสนอเสียงและเนื้อหาที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ได้รับฟีดแบ็คไม่ดีเท่าอัลบั้มแรก และในที่สุดก็นำมาสู่การแยกย้ายของสองสาว

เนื่องจากยอดขายที่น่าผิดหวัง เพียง 1 แสนชุดในอเมริกา ทั้งคู่จึงถูก Atlantic Records ตัดชื่อออกในระหว่างทัวร์กับ ‘Jewel’ สองสาวรู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจของต้นสังกัดจึงเดินทางกลับนอร์เวย์ และหยุดแสดงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ทาง Atlantic ได้ยื่นข้อเสนอให้เมเรียนเซ็นสัญญาเป็นศิลปินเดี่ยวทันที แต่ต่อมาเธอได้ขอถอนตัวจากข้อเสนอดังกล่าว

หลังจากนั้นสองสาว M2M ก็แยกทางกัน ถึงกระนั้น อัลบั้ม ‘The Day You Went Away: The Best of M2M’ ในปี 2003 ซึ่งวางจำหน่ายหลังจากที่วงแตก กลับทำยอดขายได้มากกว่า 2 ล้านชุด

ในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2007 มาริตอธิบายถึงการยุติวง M2M ว่า “เป็นไปอย่างสันติ” แต่ “เมื่อพวกเขาตัดสินใจว่ามันต้องจบลง มันต้องจบลงจริง ๆ” เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า ในช่วงหลัง พวกเธอเริ่มมีความต้องการในด้านงานเพลงที่แตกต่างกัน มาริตต้องการทำเพลงป็อป ส่วนเมเรียนต้องการทำเพลงร็อก จึงเป็นสาเหตุให้ทั้งคู่จำต้องแยกย้ายกันไปไล่ตามความฝันของตัวเอง 

ส่วนในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2013 เมเรียนกล่าวว่า เธอกับมาริตตกลงกันไว้เสมอว่าจะเล่นดนตรีด้วยกันต่อไป ตราบเท่าที่ยังมีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน แต่ต่อมาทั้งคู่ก็เลิกเล่นดนตรีด้วยกันเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุกอีกต่อไป นอกจากนี้ เธอยังยอมรับด้วยว่า แม้พวกเธอแทบจะแยกจากกันไม่ได้สมัยเป็นเด็ก แต่พออายุ 18 ปี พวกเธอก็เริ่มมีแนวทางค่อนข้างแตกต่างกัน 

เมเรียนเริ่มเดินตามความฝัน โดยเริ่มจากการเขียนเพลงให้ศิลปินดังหลายคน เธอยังได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชัน ‘Tangled’ เวอร์ชันนอร์เวย์ และเริ่มออกอัลบั้มเดี่ยว ‘Here I Am’ ในปี 2005 ซึ่งเป็นอัลบั้มแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเธอ ตามด้วยผลงานอีกหลายอัลบั้ม หลังจากนั้นมาริตก็บินเดี่ยวตามในปี 2006 ในอัลบั้มที่ชื่อว่า ‘Under the Surface’ ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวเพลงโฟล์ก ป็อป และคันทรี ก่อนจะได้รับรางวัลศิลปินนอร์เวย์ยอดเยี่ยมจากงาน MTV Europe Music Awards และตั้งแต่นั้นมาเธอก็ครองชาร์ตเพลงในนอร์เวย์มาโดยตลอด เธอยังก่อตั้งค่ายเพลงอิสระของตัวเอง ‘Handbryggrecords’ และได้ทำงานเพลงของตัวเองผ่านค่ายเพลงแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2016 

จวบจนวันนี้เป็นเวลา 22 ปี ที่คู่หูดูโอจากนอร์เวย์ไม่ได้ทำเพลงร่วมกัน แต่ในวิดีโอล่าสุดที่ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2024 มาริต และเมเรียน ได้ร่วมกันร้องเพลง The Day You Went Away เวอร์ชันอะคูสติก ผ่านบัญชีอินสตาแกรมที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ โดยเขียนแคปชั่นว่า “Let's give this story a better ending” (มาทำให้เรื่องราวนี้จบลงได้ดียิ่งขึ้นกันเถอะ) 

อย่างไรก็ตาม ดูโอชื่อดังยังไม่ได้ให้คำตอบว่าจะมีการรียูเนียนเมื่อไร อย่างไร แต่การกลับมาของพวกเธอก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเน็ต ที่ตั้งตาจะร้องเพลงโปรดตามนักร้องขวัญใจในอดีต โดยเฉพาะในท่อนที่แสดงความสะเทือนใจจากการลาจาก…

“So sad but true. For me there’s only you. Been crying since the day. The day you went away.” 

 

เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: อินสตาแกรม marit2marion และภาพจากปกอัลบั้ม Shades of Purple

อ้างอิง:

M2M: rare and obscure music
We Now Know What M2M Has Been Up To Since The Day They Went Away
Marion Raven and Marit Larsen (M2M)
Marit Larsen And Marion Ravn Reunit, M2M Reunion After 22 Years
M2M (band)