07 ต.ค. 2567 | 13:21 น.
KEY
POINTS
‘เจมส์ บลันท์’ (James Blunt) เป็นชื่อที่คุ้นเคยสำหรับใครหลายคน จากเพลงฮิตติดหู อย่าง ‘You’re Beautiful’ แต่ถ้าคุณรู้จักเขาเพียงเท่านั้น คุณอาจจะพลาดโอกาสในการเข้าใจผู้ชายที่ซ่อนอารมณ์ขันเฉียบคมไว้ ภายใต้ภาพลักษณ์ของ ‘นักร้องเพลงเศร้า- หนุ่มโรแมนติก’
บลันท์ ไม่เพียงเผชิญหน้ากับคำวิพากษ์วิจารณ์และกระแสต่อต้าน ด้วยการสร้างสรรค์บทเพลงที่มีความหมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่เขายังใช้เครื่องมือหนึ่งที่คนดังน้อยคนจะใช้ได้อย่างกล้าหาญ นั่นคือ ‘อารมณ์ขัน’
ย้อนกลับไปในปี 2004 หลังจากที่ ‘Back to Bedlam’ อัลบั้มแรกของเขาถูกปล่อยออกมาและประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ด้วยยอดขายทะลุเกิน 18 ล้านชุด ชื่อของ เจมส์ บลันท์ กลายเป็นที่รู้จักในระดับโลก ตอนนั้นเขาคิดว่าความฝันได้กลายเป็นจริงแล้ว หลังตัดสินใจทิ้งอาชีพทหาร มุ่งหน้าเป็นศิลปิน แต่ไม่ทันที่จะได้หายใจสะดวก ความสำเร็จนั้นเองกลับนำพามาซึ่งกระแสต่อต้านและเสียงวิจารณ์ที่รุนแรงตามมา
บลันท์ กลายมาเป็นเหยื่อของคำวิจารณ์ เป็นเป้าหมายที่ง่ายดายในการเสียดสี ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเป็น ‘ผู้ชายที่อบอุ่นเกินไป’ (Too Nice) และด้วยพื้นฐานที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูง บลันท์ ถูกนำไปเชื่อมโยงกับทุกสิ่งที่คนยุคสมัยนั้นมองว่า “ไม่เท่” บลันท์ ถูกตราหน้าว่าเป็นนักร้องที่มีแต่เพลงเศร้า ซ้ำซาก และขาดความเป็นตัวของตัวเอง บางครั้งถึงขนาดกลายเป็น ‘ชื่อแทน’ ในคำเปรียบเปรยของสังคมอังกฤษเลยทีเดียว
ชื่อของเขาเคยถูกใช้เพื่อล้อเลียนคนที่แสดงอารมณ์อ่อนไหวมากเกินไป เช่น “อย่า James Blunt ไปหน่อยเลย” หมายถึง อย่าอ่อนไหวหรือเศร้าเกินไป หรือถูกใช้เพื่อหมายถึงสิ่งที่น่าเบื่อหรือซ้ำซาก เช่น “งานนี้ James Blunt มาก” คือเป็นงานที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น หรือซ้ำซากจำเจ
บลันท์ เคยแสดงปฏิกิริยานี้ เมื่อถูกถามถึงการรับมือกับกระแสต่อต้านที่โถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แม้เขาจะไม่เข้าใจกระแสความเกลียดชังเหล่านั้น แต่เขาเลือกจะไม่ปล่อยให้ความไม่เข้าใจนี้บั่นทอนจิตใจ บลันท์ จัดการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และใช้อารมณ์ขันในการตอบโต้กลับ ในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด
“ผมไม่คิดว่าผมจะตอบโต้กระแสวิจารณ์ด้วยการบ่นว่า ทำไมทุกคนถึงไม่ชอบเพลงของผม ผมคิดว่ามันจะดีกว่า ถ้าผมหัวเราะไปกับมัน แล้วก็เผชิญหน้ากับมันด้วยรอยยิ้ม” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง
เมื่อเสียงวิจารณ์ไม่ได้ลดลง บลันท์ เลือกใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะ Twitter เป็นพื้นที่แสดงตัวตนที่แท้จริง การโพสต์ข้อความตอบโต้คำวิจารณ์ด้วยมุขตลกเสียดสีและการล้อเลียนตัวเอง กลายเป็นเอกลักษณ์ที่แฟน ๆ จดจำได้ เขาทำให้คำวิจารณ์กลายเป็นเรื่องตลก และไม่ปล่อยให้มันมีอิทธิพลเหนือจิตใจ
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนทวีตว่า “ใครเป็นคนเชิญ James Blunt มางาน Invictus Games?”
บลันท์ ก็โต้ตอบกลับด้วยข้อความที่แสนเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความเจ็บแสบ “Prince Harry. By text. BOOM!”
หรืออีกครั้งหนึ่งเมื่อมีคนบ่นว่า “เพลงของ James Blunt ทำให้ผมอยากจะกระโดดจากหน้าผา”
เขาก็แค่ตอบกลับว่า “ขอบคุณที่ฟังนะครับ อย่าลืมเลือกหน้าผาที่วิวสวย ๆ ด้วยล่ะ!”
มุขตลกเหล่านี้ ไม่เพียงทำให้คนที่วิจารณ์ต้องคิดทบทวนคำพูดของตัวเองใหม่ แต่ยังทำให้ บลันท์ ได้รับความชื่นชมจากผู้ที่มองเห็นการตอบโต้ที่ไม่ธรรมดานี้ จนกลายเป็น ‘ตำนานแห่งโลก Twitter’ มีคนติดตามกว่า 2.2 ล้านคน และกลายเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่ใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ลึกลงไปภายใต้ปราฏการณ์อันผิวเผิน เราจะพบว่าอารมณ์ขันของเขายังเป็นการเยียวยาตัวเองไปพร้อมกัน ในขณะที่หลายคนเลือกจะต่อสู้กลับด้วยความโกรธ บลันท์ กลับทำสิ่งตรงกันข้าม เขาใช้พลังของเสียงหัวเราะเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกด้านลบ
ด้วยความโดดเด่นเช่นนี้เอง จึงมีผู้จัดพิมพ์ข้อเขียนของ บลันท์ เป็นหนังสือชื่อ ‘How to Be a Complete and Utter Blunt’ ในปี 2020 รวบรวมจากข้อความที่ บลันท์ โพสต์ใน Twitter ตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งเต็มไปด้วยการตอบโต้ที่มีไหวพริบและเสียดสีตัวเอง
สาระสำคัญของหนังสือ ประกอบด้วย ‘ประสบการณ์บนโซเชียลมีเดีย’ เขาใช้ Twitter เป็นช่องทางในการตอบโต้คำวิจารณ์ในเชิงลบที่ได้รับจากสาธารณะ และเปลี่ยนการแสดงความคิดเห็นเหล่านั้นให้กลายเป็นเรื่องขำขัน ด้วยการตอบโต้ที่มีเสน่ห์และน่าประทับใจ บลันท์ กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘Reluctant Social Media Sensation’ (ผู้มีชื่อเสียงที่ไม่เต็มใจบนโซเชียลมีเดีย)
จุดเปลี่ยนในชีวิตของ บลันท์ อยู่ที่ตอนตัดสินใจใช้โซเชียลมีเดียนั่นเอง แม้จะเริ่มต้นด้วยความไม่แน่ใจ แต่การใช้คำพูดที่มีไหวพริบและการตอบกลับอย่างโดนใจ ทำให้เขาได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้ที่ชอบ/ไม่ชอบ หนังสือได้เปิดเผยให้เห็นแง่มุมอีกด้านหนึ่งของ บลันท์ ที่ไม่ใช่แค่ศิลปินเพลง แต่ยังเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและกล้าหาญที่จะพูดความจริงเกี่ยวกับตัวเอง
ในฐานะนักแต่งเพลง บลันท์แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่มีเนื้อหาเข้าถึงใจคนฟัง ด้วยการนำประสบการณ์ชีวิตจริงมาถ่ายทอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ ความรัก หรือแม้แต่การเผชิญหน้ากับความตายของเพื่อนสนิทอย่าง ‘แคร์รี ฟิชเชอร์’ (Carrie Fisher) ที่ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดเพลง ‘Dark Thought’ ซึ่งเขาบรรยายความรู้สึกในขณะนั้นได้อย่างลึกซึ้ง
“เป็นการเยี่ยมบ้านครั้งสุดท้ายของเธอ เป็นช่วงเวลาที่ความทรงจำและความรู้สึกพรั่งพรูออกมาโดยไม่ต้องคิดอะไร มันซื่อตรงและเป็นธรรมชาติ”
บลันท์ ยังใช้ชีวิตในแบบที่หลายคนไม่คาดคิด นักร้องผู้มีภาพลักษณ์เรียบร้อยคนนี้ เปิดไนต์คลับของตัวเองในสวนหลังบ้านที่อิบิซาเพื่อจัดปาร์ตี้ สถานที่นี้ ได้รับการขนานนามว่า ‘Blunty’s Nightclub: Where Everybody’s Beautiful’ ที่นี่ไม่เพียงเป็นสถานที่ที่เขาใช้ในการผ่อนคลายและพบปะเพื่อนฝูงเท่านั้น แต่ยังได้เชื่อมต่อกับคนดนตรีระดับโลกอีกด้วย
การสร้างภาพลักษณ์ของ ‘นักร้องโรแมนติกผู้มีความตลกขบขันและพร้อมจะล้อเลียนตัวเอง’ เป็นสิ่งที่บลันท์ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เขากลายเป็นบุคคลที่มีบุคลิกสองด้านชัดเจน ด้านหนึ่งคือความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงหัวใจคนฟัง อีกด้านหนึ่งคือการเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยให้คำวิจารณ์มาบั่นทอนจิตใจ เขารับมือกับคำวิจารณ์ได้อย่างมีศิลปะ เปลี่ยนสิ่งที่อาจจะทำให้เขารู้สึกแย่กลายเป็นพลังบวก และสามารถหัวเราะไปพร้อมกับมันได้อย่างเต็มที่
สุดท้ายแล้ว เจมส์ บลันท์ ไม่เพียงเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานเท่านั้น แต่เขายังเป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ที่ไม่ยอมปล่อยให้คำพูดของใครมามีอิทธิพล การใช้เสียงหัวเราะและอารมณ์ขัน คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในการเผชิญหน้ากับทุกคำวิจารณ์
สำหรับแฟนๆ ชาวไทย ที่อยากจะสร้างความทรงจำครั้งใหม่กับ เจมส์ บลันท์ พบกับคอนเสิร์ต ‘The Who We Used To Be Tour Live In Bangkok 2024’ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่ Idea Live ชั้น 5 BRAVO BKK สามารถซื้อบัตรได้ทาง https://www.ticketmelon.com/pmg/jamesbluntliveinbangkok2024
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา :
- Blunt, James. How to Be a Complete and Utter Blunt. Constable. 2020.
- Slightly Bigger: Interview with James Blunt
- James Blunt Says The Rolling Stones Have Never Had a Hit As Singular As 'You're Beautiful'
- James Blunt: ‘The first time I crowdsurfed, I fell flat on the floor’
- James Blunt: ‘Have I changed and grown up? No, not really’