‘เจค็อบ คอลลิเออร์’ ดนตรีคือเสียงประสานของจักรวาล

‘เจค็อบ คอลลิเออร์’ ดนตรีคือเสียงประสานของจักรวาล

‘เจค็อบ คอลลิเออร์’ หนุ่มผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อัจฉริยะ’ และ ‘เด็กปรมาจารย์’ แห่งวงการดนตรี

KEY

POINTS

  • เด็กหนุ่มผู้เติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี
  • ความสามารถอันโดดเด่นที่ดึงดูดความสนใจของ ‘ควินซี โจนส์’ ตำนานผู้ผลิตเพลงระดับโลก
  • ผลงานที่ผสมผสานแนวดนตรีที่มีความหลากหลาย ไม่ยึดติดกับขนบใดขนบหนึ่ง เพราะมองว่าการแบ่งแยกดนตรีออกเป็นประเภทต่าง ๆ เป็นข้อจำกัด 

ในโลกดนตรีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีศิลปินหน้าใหม่คนหนึ่งที่กำลังสร้างปรากฏการณ์ด้วยพรสวรรค์อันน่าทึ่งและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เขาคือ ‘เจค็อบ คอลลิเออร์’ (Jacob Collier) เด็กหนุ่มวัย 30 ปีจากอังกฤษ ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อัจฉริยะ’ และ ‘เด็กปรมาจารย์’ แห่งวงการดนตรี

ล่าสุด จาค็อบ เป็นนักดนตรีรุ่นเยาว์เพียงไม่กี่คน ที่ได้ขึ้นปก Downbeat นิตยสารแจ๊สที่มีความน่าเชื่อถือและมีอายุเก่าแก่ยาวนานถึง 90 ปี โดย จาค็อบ ขึ้นปกฉบับเดือนกันยายน 2024 ภายใต้ธีม The Beyond Issue ทั้งที่โดยปกตินิตยสารฉบับนี้มักอุทิศพื้นที่ให้แก่นักดนตรีแจ๊สอาวุโส ที่มีความยิ่งใหญ่ในระดับตำนานเสียเป็นส่วนมาก และมักนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีแจ๊สกระแสหลัก มากกว่าที่จะเป็นแนวทางดนตรีกึ่งทดลอง

‘เจค็อบ คอลลิเออร์’ ดนตรีคือเสียงประสานของจักรวาล

เจค็อบ เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1994 ในลอนดอนเหนือ เขาเติบโตมาในครอบครัวที่เปี่ยมไปด้วยเสียงดนตรี มารดาของเขา ‘ซูซี’ (Suzie Collier) เป็นนักไวโอลิน วาทยกร และศาสตราจารย์ที่ Royal Academy of Music ส่วนคุณปู่ ‘ดิเร็ค’ (Derek Collier) ก็เป็นนักไวโอลินมืออาชีพเช่นกัน เจค็อบมีน้องสาวสองคน และพวกเขาทั้งสามเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี

“ถ้าผมย้อนกลับไปดูความหลงใหลทางดนตรีในช่วงแรก ๆ ของผมตอนอายุ 16 หรือ 17 ปี - ตอนที่บันทึกเสียงในห้องนอนที่ลอนดอน - มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสียงมนุษย์ทั้งหมดเลย” นักดนตรีหนุ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นของความสนใจในดนตรี
 

ด้วยบรรยากาศแวดล้อมเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เจค็อบจะซึมซับความรักและความหลงใหลในดนตรีเข้าไปในสายเลือด แม้ว่าคุณแม่ของเขาจะเป็นนักดนตรีคลาสสิกที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด แต่เธอกลับไม่ได้บังคับให้เจค็อบเรียนดนตรีอย่างเป็นทางการ เขาจึงได้ค้นพบเส้นทางดนตรีของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ

“ผมเติบโตมาในบ้านที่มีแต่ผู้หญิง” เจค็อบเล่า “ความละเอียดอ่อนและความตื่นตัวต่อโลกของพวกเธอหล่อหลอมผมอย่างมากเมื่อตอนเป็นเด็ก”

ในวัยเด็ก เจค็อบใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องดนตรีของครอบครัว ซึ่งต่อมากลายเป็นพื้นที่ที่เขาหัดเดินครั้งแรก และเป็นพื้นที่ผลิตผลงานที่ได้รับรางวัลแกรมมี่ เขาเริ่มต้นด้วยการเคาะกลองและดีดสายไวโอลินอย่างไร้เดียงสา ก่อนที่ความสนใจนี้จะพัฒนาเป็นความหลงใหลในการประพันธ์และสอนดนตรี

แม้ในช่วงแรกเจค็อบจะไม่มีความรู้ทางทฤษฎีดนตรีอย่างเป็นทางการ แต่เขาก็เรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการเล่นและทดลองกับเครื่องดนตรีต่าง ๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เขาได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินหลากหลายแนว ตั้งแต่ ‘เคนดริก ลามาร์’ (Kendrick Lamar) ไปจนถึง ‘เอิร์ธ วิน แอนด์ ไฟร์’ (Earth Wind & Fire) และ ‘เบคกา สตีเวนส์’ (Becca Stevens) ความหลากหลายนี้สะท้อนให้เห็นจากดีเอ็นเอในดนตรีของเขา ที่ผสมผสานแนวเพลงต่าง ๆ เข้ากันอย่างลงตัว

ในปี 2011 เจค็อบ เริ่มแบ่งปันการเรียบเรียงเพลงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ผ่านทาง YouTube โดยนำเพลงดังมาตีความใหม่ด้วยลูกเล่นที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง วิดีโอเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันหลากหลายของเขา ที่เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น ตั้งแต่กลอง เบส คีย์บอร์ด ไปจนถึงการร้องประสานเสียงแบบแยก 8 ส่วน ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทำในห้องนอน

ด้วยความสามารถอันโดดเด่น ไม่เพียงแต่สร้างฐานแฟนคลับให้แก่ เจค็อบ เท่านั้น แต่ยังดึงดูดความสนใจของ ‘ควินซี โจนส์’ (Quincy Jones) ตำนานผู้ผลิตเพลงระดับโลก โดยในปี 2015 ควินซี บินมาชม เจค็อบ แสดงสดที่ Ronnie Scott's แจ๊สคลับเก่าแก่ในย่านโซโห นครลอนดอน และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลายเป็นผู้จัดการของเจค็อบ

“ควินซี และ เฮอร์บี (Herbie Hancock) เป็นเหมือนพ่อทูนหัวสองคนของผมเลย” เจค็อบ พูดถึงสุดยอดนักดนตรีทั้งสองด้วยความชื่นชม “มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จักพวกเขา ความรู้และคำแนะนำที่ผมได้รับมา เป็นสิ่งที่ไม่ต้องพูดออกมา มันเกิดจากการได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันและผ่านการซึมซับรับรู้”

เจค็อบ เล่าต่อว่า “ควินซี มักพูดถึงความสมดุลระหว่างวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณ มันเป็นแนวคิดที่ว่าด้วยการเข้าใจหลักเกณฑ์ วัสดุที่ใช้ เครื่องมือที่มี วิทยาศาสตร์ของเขาได้กำหนดเกมไว้ แต่มันเป็นจิตวิญญาณของเขาต่างหาก ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คน”

การได้รับคำแนะนำจากตำนานเพลงระดับโลกเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยขัดเกลาทักษะทางดนตรีของหนุ่มคนนี้เท่านั้น แต่ยังหล่อหลอมมุมมองและปรัชญาในการสร้างสรรค์ผลงานอีกด้วย

“ผมจำได้ว่า เวย์น ชอร์เตอร์ (Wayne Shorter) เคยบอกผมว่า เล่นในสิ่งที่คุณปรารถนา” เจค็อบ เล่าถึงคำแนะนำที่ได้รับจาก ‘เวย์น ชอร์เตอร์’ นักแซ็กโซโฟนและนักแต่งเพลงแจ๊สชื่อดัง “มันเป็นหนึ่งในคำแนะนำที่ทรงพลังที่สุดที่ผมเคยได้รับ”

ด้วยรากฐานทางดนตรีที่แข็งแกร่งและการสนับสนุนจากบรรดาศิลปินรุ่นใหญ่ เจค็อบ ก้าวสู่การเป็นศิลปินมืออาชีพอย่างเต็มตัว อัลบั้มสตูดิโอแรกของเขา ‘In My Room’ ออกวางจำหน่ายในปี 2016 ตามมาด้วยชุดอัลบั้ม ‘Djesse’ ทั้ง 4 ภาค ที่ทยอยออกมาระหว่างปี 2018 ถึง 2024

แต่ละอัลบั้มใน Djesse series มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในด้านการประสานเสียงและการแต่งเพลง นอกจากนี้ ยังร่วมงานกับศิลปินชั้นนำมากมาย ทั้งในวงการแจ๊สและศิลปินป๊อปที่ติดชาร์ต ตั้งแต่ ‘อลิเชีย คีย์ส’ (Alicia Keys) ไปจนถึง ‘สตอร์มซี’ (Stormzy) แร็ปเปอร์ชาวอังกฤษ โดยรวมแล้ว เจค็อบ ได้ร่วมงานกับนักดนตรีมากกว่า 150 คน นับว่ามีบารมีไม่น้อยทีเดียวสำหรับนักดนตรีรุ่นกระทงแบบนี้ 

“ตอนที่ผมวางแผนอัลบั้มทั้งสี่ชุดในช่วงปลายปี 2017 ผมรู้ว่าผมต้องการให้แต่ละอัลบั้มมีความแตกต่างกันในแง่ของเสียง” เขาอธิบายถึงแนวคิดเบื้องหลัง Djesse series “ผมรู้ว่า Vol. 1 จะเป็นเสียงออร์เคสตราที่กว้างใหญ่ Vol. 2 จะเป็นเสียงอะคูสติกที่ใกล้ชิด Vol. 3 จะเป็นเสียงดิจิทัลที่ทดลองมากขึ้น แต่ Vol. 4 เป็นเครื่องหมายคำถาม - ผมไม่รู้!”

การสร้างสรรค์ผลงานที่มีความหลากหลายและซับซ้อนเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับ เจค็อบ มันช่างท้าทายที่น่าตื่นเต้นเสียจริง

“การเชื่อมต่อกับผู้คน เราต้องใช้ความกล้าหาญเสมอ - ใช่ไหมครับ? มันเริ่มต้นด้วยความกล้าที่จะมองเข้าไปในตัวเองและค้นหาว่าคุณเป็นใคร คุณอยู่ที่ไหน อะไรสำคัญสำหรับคุณ อะไรที่คุณสนใจ - และสร้างภาษาจากสิ่งเหล่านั้น จากนั้นมันก็กลายเป็นความกล้าที่จะแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นไปสู่ผู้คน”

นอกจากการสร้างสรรค์ผลงานในสตูดิโอ Jacob ยังมีชื่อเสียงในด้านการแสดงสด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นคณะนักร้องประสานเสียงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาเริ่มทดลองแนวคิดนี้ในปี 2019 และได้กลายเป็นไฮไลท์ในการแสดงสดของเขาในที่สุด

“มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม เพราะมีความรู้สึกว่า มันใหญ่กว่าตัวผมมาก ผมกำลังเข้าถึงความเข้าใจที่ทุกคนในโลกมี... ตราบใดที่พวกเขาเคยได้ยินเพลง พวกเขาเข้าใจว่าจะต้องทำอะไร ผมรู้สึกทั้งยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกเล็กที่สุดด้วย ในแบบที่สวยงาม ผมรู้สึกเหมือนเป็นพิกเซลหนึ่งในภาพรวม ไม่ใช่ตัวละครหลักในนั้น” เจ้าตัวสะท้อนถึงประสบการณ์ไม่ธรรมดาและน่าจดจำ โดยสื่อถึงในเชิงปรัชญา ว่าดนตรีเป็นพลังเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์

“ผมมองว่าผู้คนต้องการกันและกันมากกว่าที่เคยนะ” นักดนตรีหนุ่มเผยทัศนะของเขาต่อโลกปัจจุบัน “โลกตอนนี้เปิดกว้าง เปราะบาง และมีสีสันมากกว่าที่เคย มันเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจในการสร้างดนตรี มันเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และการเป็นมนุษย์ในใบโลกนี้ด้วย”

“ถ้าคุณมองหาความกลัวในโลก คุณจะพบกับมันทุกที่ ถ้าคุณมองหาความสงสัย ถ้าคุณมองหารอยแตก แล้วคุณก็จะพบมัน... มันเป็นความจริงที่ว่า หลายสิ่งในโลกตอนนี้ น่ากลัวและไม่แน่นอน และไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับปัญหาใหญ่ ๆ ของโลก แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นความจริงเช่นกัน ถ้าคุณมองหาความรักในโลก คุณจะพบกับมันทุก ๆ ที่ ในทุก ๆ สิ่ง บางครั้งมันอาจจะซ่อนอยู่ลึก ๆ”

ผลงานของเจค็อบผสมผสานแนวดนตรีที่มีความหลากหลาย ไม่ยึดติดกับขนบใดขนบหนึ่ง เขามองว่าการแบ่งแยกดนตรีออกเป็นประเภทต่าง ๆ เป็นข้อจำกัดมากกว่าจะเป็นประโยชน์

“ผมไม่เคยคิดมากเกี่ยวกับแนวเพลง หรือเพลงผมอยู่ในแนวไหน และตอนนี้ ผมยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยลงกว่าเดิม” 

ความสามารถในการผสมผสานแนวดนตรีที่หลากหลายนี้ ไม่ได้มาจากความบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการศึกษาและฝึกฝนอย่างหนัก เจค็อบ เคยเข้าเรียนที่ Royal Academy of Music ในลอนดอน ตอนอายุ 16 ปี แต่เขาไม่ได้มองว่าตัวเองจะเป็นนักดนตรีแจ๊สโดยเฉพาะ

“ตอนที่ผมออกจากอะคาเดมี ระหว่างเรียนปริญญา ผมกระหายอย่างรุนแรงที่จะขยายภาษาในสิ่งที่ผมกำลังเรียนรู้ในโลกแจ๊ส แต่มันก้าวไปไกลกว่านั้นอีกขั้น”

ความรู้ทางทฤษฎีดนตรีของ เจค็อบ นั้น ลึกซึ้งจนดูเหมือนไร้ขีดจำกัด แต่เขามองว่าความรู้เหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง

“ผมคิดว่าความรักที่ผมมีต่อดนตรีเพิ่มความละเอียดขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา... ถ้าผมได้ยินอะไรสักอย่าง หรือผมเล่นอะไรสักอย่าง ผมสามารถเข้าใจได้ทั้งในระดับอารมณ์และระดับเทคนิค ถึงองค์ประกอบที่ทำให้มันมีประโยชน์ หรือมีความหมาย หรือตลก หรือมีความน่าสนใจ”

ความสำเร็จของ เจค็อบ ไม่ได้วัดกันเพียงแค่ยอดวิวบน YouTube หรือจำนวนอัลบั้มที่ขายได้ แต่ยังรวมถึงรางวัลแกรมมี่ 6 รางวัลที่เขาได้รับจากอัลบั้ม 4 ชุดแรกของเขา นี่เป็นการยืนยันถึงคุณภาพและความโดดเด่นในผลงานของเขา

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่หนุ่มวัย 30 คนนี้ยังคงมีความกระตือรือร้นและความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อย เขามองตัวเองเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเดินทางในโลกดนตรี และเขายังสนุกที่จะใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการสำรวจตัวตนและโลกรอบตัว

ไม่เพียงเป็นนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ แต่ เจค็อบ คอลลิเออร์ สร้างแรงบันดาลใจที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวงการดนตรี ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและหัวใจที่เปี่ยมรัก ในโลกที่บ่อยครั้งดูวุ่นวายและแตกแยก เสียงดนตรีของเขาเป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมผู้คนเข้าด้วยกัน และเตือนใจเราว่าท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลงแห่งจักรวาลเดียวกัน

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images

อ้างอิง:
Life in colour
“Quincy Jones Has Been Like A Godfather To Me”: Jacob Collier On His Path To Becoming A Musical Prodigy
Edwards, Tina. Jacob Collier’s Technicolor World. Downbeat Magazine. September 2024.