The Velvet Underground : เสียงดนตรีอันลือลั่นเบื้องหลังเปลือกกล้วยในตำนาน

The Velvet Underground : เสียงดนตรีอันลือลั่นเบื้องหลังเปลือกกล้วยในตำนาน

เรื่องราวของ ‘The Velvet Underground’ วงดนตรีที่จะพาผู้ฟังสัมผัสกับผืนกำมะหยี่เนื้อสากในโลกใต้ดินที่ดำมืดของมหานครนิวยอร์กกับอัลบั้มแรกรูปกล้วยที่ทั้งลือลั่นและล้มเหลวในช่วงแรกแต่กลับยืนยงและถูกยกย่องในปัจจุบัน

KEY

POINTS

  • การรวมตัวกันของสมาชิกวง The Velvet Underground
  • แม้จะได้รับการสนับสนุนจาก ‘แอนดี้ วอร์ฮอล’ แต่อัลบั้มแรกของพวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเนื้อหาเพลงที่ก้าวร้าวและหยาบคาย
  • จากวงดนตรีที่ไม่ประสบความสำเร็จในยุคของตัวเอง กลับกลายมาเป็นวงร็อกที่มีอิทธิพลต่อนักดนตรีรุ่นหลัง

หากพูดถึงยุคทองของดนตรีร็อกในปี 1960s คงหนีไม่พ้นวงสี่เต่าทองอย่าง The Beatles หรือคณะหินกลิ้ง The Rolling Stones ที่ครองใจผู้คนมาหลายทศวรรษ แต่ขณะเดียวกัน ในตรอกเล็ก ๆ ของนิวยอร์ก ‘The Velvet Underground’ กำลังเขียนบทใหม่ให้วงการดนตรีด้วยการแหกขนบและสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน

น่าแปลกที่ในช่วงนั้นพวกเขากลับไม่ได้รับการตอบรับในวงกว้าง หนำซ้ำอัลบั้มแรกยังขายไม่ค่อยออก และถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากสื่อกระแสหลัก นิตยสาร Rolling Stone ถึงกับเรียกเสียงกีตาร์ของพวกเขาว่า ‘น่ารำคาญ’ และบางสำนักก็มองว่าเนื้อหาเพลงที่พูดถึงยาเสพติดและเพศวิถีนั้น ‘ไร้รสนิยม’ ทั้งที่ความเป็นจริงพวกเขาแค่ต้องการเล่าถึงเรื่องราวความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายเท่านั้นเอง 

เมื่อโชคชะตาพัดพาบทเพลงขึ้นมาจากใต้ดิน

เรื่องราวของ The Velvet Underground จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหาก ‘ลู รีด’ (Lou Reed) ไม่ได้พบกับ ‘จอห์น เคล’ (John Cale) ในปี 1964 ที่งานเลี้ยงในเมืองนิวยอร์ก ซึ่งทั้งคู่มีต่างมีแนวคิดทางดนตรีที่แตกต่างจากกระแสหลักของยุคนั้น 
รีดเป็นนักแต่งเพลงและมือกีตาร์ที่เคยทำงานให้กับ ‘Pickwick Records’ บริษัทที่ทำเพลงป็อปเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีทิศทางตรงกันข้ามกับรีดที่ต้องการเล่าเรื่องราวชีวิตจริงที่ดิบเถื่อนมาเล่าในเพลง ขณะที่เคลเป็นนักดนตรีจากเวลส์ ผู้หลงใหลในดนตรีอาวองการ์ด (Avant-Garde) และทำงานร่วมกับนักประพันธ์แนวมินิมอลิสม์ (Minimalism) อย่าง ‘ลา มอนเต ยัง’ (La Monte Young) เขาจึงต้องการสร้างแนวดนตรีใหม่ ๆ ขึ้นมา หลังจากทำงานร่วมกันในโปรเจ็กต์ของ Pickwick Records ทำให้พบว่าความต้องการและแรงปณิธานของทั้งสองตรงกัน จึงได้ตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อตั้งวงดนตรีขึ้นมา 

รีดได้นำ ‘สเตอร์ลิง มอร์ริสัน’ (Sterling Morrison) มือเบสและมือกีตาร์ เพื่อนเก่าจากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์เข้ามา และเคลได้นำ ‘แองกัส แมคลีส’ (Angus MacLise) เพื่อนบ้านของเขาซึ่งเป็นมือกลองเข้ามาด้วย ก่อนที่แมคลีสจะลาออกจากวงทันทีที่รู้ว่าวงจะขึ้นเล่นงานแสดงแบบมีค่าจ้าง เนื่องจากแมคลีสไม่อยากถูกควบคุมด้วยตารางเวลาซ้อม และมองว่าการรับเงินเพื่อเล่นดนตรีเป็นเรื่องของการ ‘ขายตัว’ ครั้งหนึ่ง มอร์ริสันเคยให้สัมภาษณ์ว่า “แองกัสทำไปเพื่อศิลปะล้วน ๆ” 

แมคลีสถูกแทนที่ด้วย ‘มัวรีน โม ทัคเกอร์’ (Maureen Moe Tucker) น้องสาวของเพื่อนที่โรงเรียน ซึ่งมีสไตล์ตีกลองที่เป็นเอกลักษณ์จากการที่เธอมักจะยืนตีมากกว่านั่งตี เนื่องจากเธอรู้สึกว่าการนั่งตีมันจำกัดการเคลื่อนไหว ทำให้เธอไม่สามารถแสดงออกทางดนตรีได้อย่างเต็มที่

วงดนตรีที่พวกเขาได้มารวมตัวกันเริ่มต้นจากการแสดงในแกลเลอรีเล็ก ๆ ในนิวยอร์กซิตี้ โดยใช้ชื่อวงที่ต่างกันไปเรื่อย ๆ และด้วยความบังเอิญหรืออาจจะเป็นพรมลิขิต วงได้พบกับหนังสือนามว่า ‘The Velvet Underground’ ที่เขียนโดย ‘ไมเคิล ลีห์’ (Michael Leigh) ที่ว่าด้วยพฤติกรรมที่ผิดปกติทางเพศ พวกเขาชอบชื่อนี้มาก เพราะรู้สึกว่ามันสะท้อนแนวทางดนตรีที่ตนมุ่งหมายจะทำ จนในที่สุดปี 1965 ก็กำเนิดเป็น ‘The Velvet Underground’ วงดนตรีที่จะพาผู้ฟังสัมผัสกับผืนกำมะหยี่เนื้อสากในโลกใต้ดินที่ดำมืดของมหานครนิวยอร์ก

 

The Velvet Underground : เสียงดนตรีอันลือลั่นเบื้องหลังเปลือกกล้วยในตำนาน

 

โปรดิวเซอร์คนแรกนามว่า ‘แอนดี้ วอร์ฮอล’

การรวมตัวกันของพวกเขานำไปสู่ดนตรีที่แปลกใหม่ และไม่เป็นไปตามขนบของเพลงป็อปในยุคนั้น แต่กลับไปสะดุดตาศิลปินป็อปอาร์ตชื่อดัง อย่าง ‘แอนดี้ วอร์ฮอล’ (Andy Warhol) ขณะขึ้นแสดงที่บีซาร์คาเฟ่ (Bizarre Café) ในนิวยอร์ก และโดนเจ้าของร้านไล่ออกทันทีเพราะคิดว่าเพลงของพวกเขาก้าวร้าว จากนั้นในปี 1966 แอนดี้ก็ได้มาเป็นผู้สนับสนุนหลัก รวมถึงเป็นผู้จัดการ และโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มแรกของวง แม้ความจริงแล้วเขาจะมีส่วนในงานดีไซน์มากกว่ากระบวนการอัดเสียง

 

The Velvet Underground : เสียงดนตรีอันลือลั่นเบื้องหลังเปลือกกล้วยในตำนาน

แอนดี้ วอร์ฮอล


วอร์ฮอลเสนอให้ ‘นิโค’ (Nico) นักแสดงและนางแบบชาวเยอรมันเข้าร่วมเป็นนักร้อง เนื่องจากต้องการให้มีสาวสวยผมบลอนด์ช่วยดึงดูดคนดู แม้ตอนแรกสมาชิกในวงจะไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ยอมรับเพราะต้องการการสนับสนุนจากวอร์ฮอล อีกทั้งวอร์ฮอลยัง ‘เจิม’ อัลบั้มชุดแรกด้วยการออกแบบหน้าปก ‘The Velvet Underground & Nico’ (1967) หรือที่รู้จักกันในนาม ‘อัลบั้มกล้วย’ 

 

The Velvet Underground : เสียงดนตรีอันลือลั่นเบื้องหลังเปลือกกล้วยในตำนาน

 

ปกอัลบั้มนี้เป็นรูปกล้วยหอมสีเหลืองเรียบ ๆ บนพื้นหลังสีขาว ซึ่งเป็นศิลปะแนวป็อปอาร์ต และมีสติ๊กเกอร์แปะทับรูปกล้วยไว้อยู่ เขียนข้าง ๆ ว่า

 

ลอกเปลือกออกช้า ๆ

แล้วดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่

 

เมื่อลอกสติ๊กเกอร์ออกจะเห็นเนื้อกล้วยสีชมพูแปร๋นอยู่ข้างใต้ ซึ่งแฝงนัยยะทางเพศอย่างโจ๋งครึ่ม น่าเสียดายที่ผลิตออกมาไม่นานก็เลิกทำเพราะต้นทุนการผลิตสูงเกินไป

นอกจากนี้วอร์ฮอลยังจัดโปรเจกต์ศิลปะมัลติมีเดีย ‘Exploding Plastic Inevitable’ (EPI) ซึ่งเป็นการแสดงในรูปแบบใหม่ที่พลิกโฉมวงการศิลปะและดนตรี โดยผสมผสานดนตรี แสง สี และการฉายหนังทดลอง (Experimental Film) ของเขาเข้าด้วยกัน เขาหลอมรวมความสามารถทางดนตรีของ The Velvet Underground เข้ากับความอัจฉริยะด้านศิลปะของเขา แถมเพิ่มความทันสมัยและสร้างสไตล์อันโดดเด่นของวงขึ้นมาได้

 

อัลบั้มแรก… ที่ไม่ประสบความสำเร็จ

ในยุคที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งเสรีภาพและกระแสต่อต้านสงคราม ทำให้เพลงรักและสันติภาพครองตลาด อย่าง All You Need is Love (1967) จาก The Beatles หรือ For What It's Worth โดย Buffalo Springfield (1966) ที่พูดถึงการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจในแคลิฟอร์เนีย แต่ The Velvet Underground กลับไม่สนทิศทางโลก และเลือกนำเสนอความเป็นจริงอันโหดร้ายของสังคมยุค 60s ตามความต้องการของรีด ผ่านบทเพลงที่สมจริงและตรงไปตรงมา พวกเขาไม่ได้สร้างเพลงที่สวยงามหรือดึงดูดใจ แต่กลับเลือกที่จะดับความเพ้อฝันของคนนิวยอร์ก 

อย่างเพลง ‘Heroin’ ที่พูดถึงประสบการณ์ อารมณ์ และความรู้สึกขณะใช้ยา (เฮโรอีน) แสดงถึงความสุขและความพินาศในเวลาเดียวกัน และ ‘I'm Waiting for the Man’ บรรยายถึงการเดินทางไปซื้อยาเสพติดที่เมืองฮาร์เลมอย่างโจ่งแจ้ง นอกจากนี้ใน ‘Venus in Furs’ ยังพูดถึงเรื่องเพศที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมชื่อเดียวกับเพลงซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘BDSM

นอกจากเนื้อหาเพลง หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ The Velvet Underground แตกต่างคือ การนำดนตรีล้ำยุคและมินิมอลลิสม์เข้ามาผสมกับร็อกแอนด์โรล และใช้เทคนิคดนตรีที่แปลกใหม่ เช่น เสียงโดรน (drone sound) และเสียงไมค์หอน (feedback) ในเพลง Venus in Furs ที่มีเสียงวิโอลาหนักแน่นแสนบาดหูจากเคล เสียงทัคเกอร์ใช้กระเดื่องเท้าอย่างหนักหน่วง แทมบูรีนสั่นระรัว มอร์ริสันเล่นเบสในลูปซ้ำไปมา ขณะที่รีดขับร้องเนื้อเพลงด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแต่เย้ายวน

แม้อัลบั้มแรกจะบันทึกเสียงเสร็จในปี 1966 แต่ด้วยกฎหมายทำให้ปล่อยอัลบั้มแรกได้ในปี 1967 และอุปสรรคยังไม่หมดแค่นั้น เพราะเพลงของพวกเขาถูกแบนจากสถานีวิทยุหลายแห่ง อีกทั้ง ‘Verve’ ค่ายเพลงของพวกเขายังไม่ค่อยโปรโมตให้อีก เมื่อการออกอากาศเป็นศูนย์ ยอดขายจึงตกต่ำ เนื่องจากเนื้อหาเพลงที่ล่อแหลมและเสียงดนตรีที่แปลกใหม่เกินไปสำหรับผู้ฟังยุคนั้น จนทำให้อัลบั้มกล้วยที่กลายเป็นลายเสื้อยืดของเรากับบทเพลงของมันที่กลายเป็นตำนานในทุกวันนี้กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ในช่วงที่เพิ่งจะออกมาแรก ๆ

 

ความขัดแย้งและการแยกทางของสมาชิก

แม้ว่า The Velvet Underground จะมีอิทธิพลต่อวงการดนตรีอย่างมหาศาล แต่ช่วงเวลานั้นพวกเขากลับต้องเผชิญปัญหาภายในวงทั้งเรื่องการเงินและความสัมพันธ์ โดยขายอัลบั้มแรกได้เพียง 30,000 เล่มหลังจากเปิดตัวไปได้ 5 ปี  อีกทั้งนิโคยังแยกทางกับวงในปี 1967 เพื่อออกผลงานเดี่ยว หลังจากนั้นรีดก็ได้ไล่วอร์ฮอลออกในปีเดียวกัน ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงสมาชิกอีกหลายครั้ง

ความสัมพันธ์ภายในวงเริ่มตึงเครียด โดยเฉพาะระหว่างรีดและเคล เหตุเพราะรีดไม่ชอบแนวทางเพลงทดลองของเคล และต้องการให้วงทำเสียงดนตรีที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

รีดได้ให้คำขาดกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในวงว่ามีแค่สองทางเลือก คือ “เคลต้องออก” หรือ “Velvet Underground ต้องยุบวง” สมาชิกคนอื่นจึงตกลงอย่างไม่เต็มใจ เคลจึงได้เล่นการแสดงครั้งสุดท้ายกับวงในปี 1968

เคลถูกแทนที่โดย ‘ดั๊ก ยูล’ (Doug Yule) ซึ่งทำให้แนวทางดนตรีของวงเริ่มเปลี่ยนไปจากสองอัลบั้มแรก อัลบั้ม ‘The Velvet Underground’ (1969) เปลี่ยนแนวเป็นเสียงที่นุ่มนวลและเป็นโฟล์คมากขึ้น แม้จะมีเพลงฮิตอย่าง ‘Candy Says’ และ ‘What Goes On’ แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้วงประสบความสำเร็จทางการค้าได้มากนัก 

แรงกดดันจากความล้มเหลวทางการค้าทำให้รีดตัดสินใจลาออกหลังจากอัลบั้ม ‘Loaded’ ในเดือนสิงหาคม 1970 ตามมาด้วยมอร์ริสันและทัคเกอร์ออกจาก The Velvet Underground ที่ไม่มีรีดในปี 1971 ต่อมา วงดนตรีที่นำโดยยูลออกอัลบั้ม ‘Squeeze’ ในปี 1973 แต่ก็คว้าน้ำเหลวเช่นเคย และหลังจากนั้น The Velvet Underground ก็ค่อย ๆ ล่มสลาย 

 

หวนคืนสู่เวที

หลังจากแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเองนานหลายปี ในปี 1990 รีดและเคล ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในอัลบั้ม ‘Songs for Drella’ ซึ่งเป็นผลงานที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับแอนดี้ วอร์ฮอล ที่ล่วงลับไปในปี 1987 ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ทั้งสองกลับมาทำงานร่วมกัน และทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับการกลับมาของ The Velvet Underground

กระแสข่าวลือเพิ่มมากขึ้น เมื่อสมาชิกดั้งเดิมทั้งสี่ (รีด, เคล, มอร์ริสัน, และทัคเกอร์) ขึ้นแสดงร่วมกันที่ Jouy-en-Josas ประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้นช่วงปี 1992-1994 The Velvet Underground ได้กลับมารวมตัวกันอย่างเป็นทางการ

การกลับมาของพวกเขาถูกบันทึกไว้ในอัลบั้ม ‘Live MCMXCIII’ (1993) ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ถ่ายทอดการแสดงสดจากทัวร์ยุโรป โดยเคลรับหน้าที่ร้องเพลงที่เคยเป็นของนิโค เช่น ‘Femme Fatale’ และ ‘All Tomorrow’s Parties

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะได้ทัวร์ในสหรัฐฯ หรืออัดเพลงใหม่ รีดและเคลก็กลับมามีปัญหากันอีกครั้ง ส่งผลให้วงต้องแยกทางกัน

จุดสิ้นสุดอย่างแท้จริงของ The Velvet Underground เกิดขึ้นเมื่อมอร์ริสันเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี 1995 และต่อมารีดก็จากไปในปี 2013 ทำให้ความหวังในการกลับมารวมตัวของวงจบลงอย่างถาวร

 

จากวงดนตรีที่ถูกมองข้าม สู่ตำนานแห่งโลกดนตรี

แม้ว่าในยุค 60s พวกเขาจะเป็นเพียงวงที่มียอดขายตกต่ำ แต่ปัจจุบัน The Velvet Underground คือ ศิลปินผู้มาก่อนกาลที่เปลี่ยนโลกดนตรีไปตลอดกาล และทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีร็อก พวกเขากล้าที่จะทดลองเสียงใหม่ ๆ และเล่าเรื่องราวที่ไม่มีใครกล้าพูดถึง 

ในปี 1996 พวกเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล (Rock and Roll Hall of Fame) และได้รับรางวัลในปีนั้นเอง ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำคัญและอิทธิพลของวงที่มีต่อวงการเพลง

ดนตรีของพวกเขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังมากมาย เช่น David Bowie, Joy Division, Sonic Youth และ Nirvana อีกทั้งแสดงให้เห็นว่านอกจากดนตรีจะสร้างความบันเทิง ดนตรียังเป็นศิลปะที่สะท้อนความจริงของสังคมและมนุษย์ได้อย่างทรงพลัง และสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

 

ถึงอัลบั้มแรกของ The Velvet Underground จะขายได้แค่ 30,000 เล่ม แต่ทุกคนที่ซื้ออัลบั้มนี้ไปต่างก็ไปตั้งวงดนตรีกันทั้งนั้น” 

 

คำกล่าวของ ‘ไบรอัน อีโน’ (Brian Eno) นักดนตรี โปรดิวเซอร์ และศิลปินด้านเสียงชาวอังกฤษ ที่มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อวงการดนตรี ยังเป็นจริงจนถึงทุกวันนี้
แม้เวลาจะล่วงเลยไป แต่เสียงดนตรีและจิตวิญญาณของ The Velvet Underground ยังคงก้องกังวานในวงการเพลง พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่า ‘ศิลปะที่แท้จริงอาจไม่ถูกเข้าใจในทันที แต่มันจะคงอยู่ตลอดไป’ ซึ่งหากไม่มีพวกเขา ทิศทางของดนตรีร็อกในวันนี้อาจไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้

 

ภาพ : Getty Images และปกอัลบั้ม The Velvet Underground & Nico

อ้างอิง
River City Bangkok. (2020). Andy Warhol & The Velvet Underground. Retrieved February 14, 2025. 

khuuun. (2016). #02 - The Velvet Underground | พังค์ อินดี้ และดนตรีนอกกระแส. Retrieved February 14, 2025. 

Britannica kids. the Velvet Underground. Retrieved February 14, 2025.

Nick Tabor. (2025). John Cale. Retrieved February 14, 2025. 

David Fricke. (2025). the Velvet Underground. Retrieved February 14, 2025. 

Riley Fitzgerald. (2021). The Velvet Underground – ‘The Velvet Underground & Nico’: Why It Mattered. Retrieved February 14, 2025. 

Sound of History. (2024). How The Velvet Underground became the most influential band in history. 

Amplified - Classic Rock & Music History. (2022). The Velvet Underground: One Of The Most Unique And Underappreciated Bands Of The 60s | Amplified. Retrieved February 17, 2025. 

The Financial Time. (2020). Venus in Furs — The Velvet Underground’s chilling drone-rock track was highly influential. Retrieved February 18, 2025.

pufferfish218. (2024). The Velvet Underground. Retrieved February 18, 2025.