‘Pink Flag’ เมื่อความรักไม่ใช่สีชมพู แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยให้แก้ไขก่อน ‘รักเป็นพิษ’

‘Pink Flag’ เมื่อความรักไม่ใช่สีชมพู แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยให้แก้ไขก่อน ‘รักเป็นพิษ’

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า ‘Red Flag’ ในความสัมพันธ์ แต่รู้หรือไม่ว่าก่อนที่ความรักจะถึงจุดนั้น มีสัญญาณเตือนเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ‘Pink Flag’ ที่หากสังเกตและจัดการได้ทัน อาจช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณรอดพ้นจากการเป็นพิษได้

KEY

POINTS

  • Pink Flag ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่เห็นได้ชัด แต่เป็นความรู้สึกไม่สบายใจเล็ก ๆ ที่เรามักกลบด้วยความรักในช่วงแรก ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างในภาษารัก การให้เวลา หรือการสื่อสาร 
  • ไม่ใช่แค่คู่รัก แต่ Pink Flag สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบความสัมพันธ์ ทั้งเพื่อน ครอบครัว หรือที่ทำงาน สิ่งสำคัญคือการรู้จักสังเกตและจัดการอย่างเหมาะสม 
  • Pink Flag ไม่ได้หมายถึงจุดจบของความสัมพันธ์ แต่เป็นโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้เรียนรู้ เข้าใจ และเติบโตไปด้วยกัน ผ่านการสื่อสารที่จริงใจและการปรับตัวเข้าหากัน

“ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่...” คำปลอบใจตัวเองที่หลายคนคุ้นเคย เมื่อความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง แต่ใจก็ยังฝืนทนต่อไป เหมือนที่ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ร้องในเพลง ‘I Can Fix Him’

“They shake their heads saying, God help her
When I tell them he's my man 
But your good Lord doesn't need to lift a finger 
I can fix him, no, really I can and only I can”

(พวกเขาส่ายหน้าและภาวนาให้พระเจ้าช่วยฉัน 
เมื่อฉันบอกว่าเขาคือคนของฉัน 
แต่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาช่วย 
เพราะฉันเปลี่ยนเขาได้ จริง ๆ นะ และมีแค่ฉันเท่านั้นที่ทำได้)

ในช่วงเวลาที่เราตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำ เราอาจมองข้ามความตะหงิดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป และใช้ชีวิตโดยมองข้ามสัญญาณเตือนต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจ

สัญญาณที่ว่านี้เรียกว่า ‘Pink Flag’ ที่ถึงแม้จะเป็นธงสีชมพู แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความรักที่หวานซึ้ง ตรงกันข้าม มันเป็นเพราะในช่วงนั้น โลกของเราตกอยู่ในภวังค์ของสีชมพู หรือที่นักจิตวิทยาอย่าง ‘อาเธอร์ อารอน’ และ ‘เอเลน อารอน’ เรียกว่า ‘Self-Expansion Model’ คือทฤษฎีที่อธิบายว่า ทำไมเราถึงมักมองข้ามข้อบกพร่องของคู่รัก โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังหลงรักและรู้สึกว่าตัวเองกำลังเติบโตจากความสัมพันธ์

เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรที่เราไม่ชอบ หรืออาจจะเป็นความไม่ลงรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ เราก็เลือกที่จะหลับหูหลับตามองข้าม แต่นานวันเข้า สีชมพูนั้นอาจเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีแดง และยากที่จะตัดใจ หรืออาจมองได้ว่า Pink Flag คือ Red Flag ที่แอบแฝงมาอย่างแยบยล

‘เทรซี รอสส์’ นักบำบัดครอบครัวและคู่รัก อธิบายว่า Pink Flag คือสิ่งเล็ก ๆ ที่แอบกวนใจเราอยู่ ครั้งแรกเราอาจพยายามไม่สนใจ แต่สุดท้ายมันก็กลับมาทำให้เราต้องถามตัวเองว่า “นี่เป็นจุดจบของความสัมพันธ์จริง ๆ หรือเราแค่คิดมากไป?”

จากการรวบรวมของ ‘Huffpost’ Pink Flag ที่พบบ่อยมีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น

ภาษารักที่ต่างกัน เช่น คุณชอบการสัมผัสกอด แต่คู่ของคุณไม่ชอบให้แตะตัว แม้ช่วงแรกอาจไม่รู้สึกอะไรเพราะยังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความแตกต่างนี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่

เรื่องสถานะความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน คุยกันมาหลายเดือนแต่อีกฝ่ายยังหลบเลี่ยงเรื่องการให้คำนิยามความสัมพันธ์ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ได้ต้องการความจริงจังเหมือนคุณ

เรื่องเซ็กส์เป็นอีกหนึ่ง Pink Flag ที่พบบ่อย แม้จะเป็นเรื่องปกติที่ช่วงแรกอาจไม่ลงตัว แต่หากสื่อสารและปรับตัวกันแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือมีความไม่เข้ากันในเรื่องรสนิยมและรูปแบบทางเพศ ก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

การที่คู่ของคุณให้ความสำคัญกับหน้าจอมากกว่าคุณ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือทีวี โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญ เช่น ระหว่างการสนทนาหรือการมีเซ็กส์ ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาอาจไม่ได้ใส่ใจคุณอย่างที่ควร

แม้แต่การที่คุณไม่เคยทะเลาะกันเลยก็อาจเป็น Pink Flag ได้ เพราะนั่นอาจหมายถึงการที่ทั้งคู่ไม่กล้าเปิดใจพูดความรู้สึกจริง ๆ กลัวว่าถ้าพูดออกไปจะทำให้เกิดรอยร้าว

‘ซูซาน แนปป์’ นักบำบัดคู่และครอบครัว ยังเน้นย้ำให้ระวังสัญญาณจากคนที่มี ‘ความผูกพันแบบวิตกกังวล’ (Anxious Attachment) ที่มักรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ ไว้ใจคนยาก และกลัวการถูกทอดทิ้ง จนอาจแสดงออกมาในรูปแบบของการควบคุมหรือต้องการการยืนยันความรักตลอดเวลา

Pink Flag ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในความสัมพันธ์แบบคู่รัก แต่ยังพบได้ในความสัมพันธ์แบบเพื่อน เช่น เพื่อนที่มักอ้างว่าไม่ว่างเมื่อนัดเจอโดยไม่ให้เหตุผล หรือมองเราเป็นคู่แข่งเสมอ รวมถึงความสัมพันธ์ในที่ทำงาน เช่น รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับงานที่ทำ หรือกังวลเรื่องการนินทาลับหลัง

แต่ไม่ว่าจะเจอ Pink Flag แบบไหน สิ่งสำคัญคือ ‘การสื่อสาร’

งานวิจัยของเกเบิลชี้ว่า ‘การตอบสนองเชิงบวกอย่างกระตือรือร้น’ (Active Constructive Responding) สามารถช่วยได้ เช่น เมื่อคู่รักเล่าถึงสิ่งที่กังวล แทนที่จะตอบแบบเพิกเฉย ว่า “อืม”  หรือตอบในแง่ลบอย่าง “ก็แย่เลยสิ” ลองใช้การตอบสนองแบบ ACR ด้วยการถามคำถามเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ลึกซึ้งขึ้น แสดงความเห็นอกเห็นใจ และชวนคิดหาทางออกร่วมกัน

ตัวอย่างเช่น หากคู่รักบอกว่า “ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยให้เวลากับฉันเลย” แทนที่จะตอบว่า “ก็ทนไปเถอะ” ลองตอบว่า “เธอรู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว? ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? เราลองมาคิดด้วยกันดีไหมว่าจะคุยกับเขายังไงดี”

ท้ายที่สุด การเจอ Pink Flag ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ของคุณจะต้องจบลง แต่มันเป็นโอกาสให้คุณได้หยุดและทบทวน ใช้เวลาทำความเข้าใจตัวเองและคนข้าง ๆ ให้มากขึ้น เพราะความรักที่ดีไม่ใช่แค่ความรู้สึกหวานซึ้งในตอนแรก แต่เป็นการเติบโตไปด้วยกัน เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน และพร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน... แต่ถ้าวันหนึ่งคุณพบว่าการปรับตัวนั้นทำให้คุณสูญเสียตัวตน ก็อย่าลืมว่าการรักตัวเองก็สำคัญไม่แพ้การรักใครสักคน

 

เรื่อง: ณัฐธิดา นิติเกษตรสุนทร (The People Junior)

ภาพ: Pexels

อ้างอิง:
HUFFPOST. Caroline Bologna
. 10 ‘Pink Flags’ To Pay Attention To In Relationships
. Retrieved January 28, 2025, from https://www.huffpost.com/entry/pink-Flags-relationships_l_62b24047e4b0cf43c85d10a9

Stylist. Amy Beecham
. Relationship pink flags: what are they and what do they tell us about our romantic partners?. Retrieved January 28, 2025, from https://www.stylist.co.uk/relationships/relationship-pink-Flags-how-to-spot/657008