27 ก.พ. 2568 | 14:18 น.
KEY
POINTS
เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลังโควิด-19 แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อวิถีการดูภาพยนตร์ของคนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
ความท้าทายสำคัญจึงเกิดขึ้นกับคนทำหนัง ผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ เพราะไม่เพียงแต่เล่าเรื่องหนัง แต่ยังต้องออกแบบการสื่อสารให้ตอบโจทย์ผู้ชม
“ถามว่ามีวิธีตายตัวไหม… ไม่มี”
นี่คือคำตอบของดุจดาว พรหโมบล ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โซนี่ พิคเจอร์ส ประเทศไทยที่ทำหน้าที่นำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ทั้งหนังสยองขวัญอย่าง Insidious 6, I Know What You Did Last Summer หนังสไตล์ครอบครัวอย่าง Paddington in Peru และหนังฟอร์มยักษ์ที่อยู่ในความทรงจำของผู้ชมมาหลายเวอร์ชันอย่างมังกรหยก และ The Karate Kid
การคิดหากลวิธีนำเสนอ ‘หนังนอก’ ให้ถูกตาต้องใจ ‘คนไทย’ คืองานและความหลงใหลของดุจดาวมาตลอดชีวิต
The People ชวนคุยกับเธอถึงสารตั้งต้นของความรักในภาพยนตร์ มุมมองต่อวงการภาพยนตร์โลก และวิธีรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของผู้ชมในยุคปัจจุบัน
ดุจดาวเป็นเด็กที่รักการดูหนัง ชอบดูการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก ถึงสุดท้ายจะไม่ได้เรียนสายภาพยนตร์มาโดยตรง แต่ความรักและความฝันก็ทำให้เธอได้มาอยู่ตรงนี้
“ในวัยเด็ก ไม่มีอะไรที่ทรงอิทธิพลมากเกินกว่าการ์ตูนหรอก เรื่องที่ชอบคือโอชิน ดูมังกรหยก ดูเทพบุตรชาวดิน เนื่องจากว่าความเป็นเด็ก ต้องให้พ่อแม่พาไปดูหนัง ส่วนใหญ่เราก็จะดูละครทางทีวีนี่แหละ มีหนังจีน หนังฮ่องกง เข้ามาฉาย เราก็จะจำได้
“พี่เรียนจบรัฐศาสตร์ ไม่ได้จบนิเทศ แต่เป็นคนชอบดูหนัง เพราะสมัยก่อน พ่อแม่ชอบพาไปดู บางเรื่องก็ชอบ บางเรื่องก็ไม่ชอบ แต่พอดูมาเรื่อย ๆ ก็มีความรู้สึกว่า ดูหนังมันสนุกดี เพราะว่าบ้านเราไม่ได้มีจอทีวีใหญ่ขนาดนั้น ดูจอใหญ่ใหญ่อะไรมันก็สนุก มันก็ตื่นเต้น พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ระหว่างคาบก็มาดูหนัง ตั้งแต่สมัยมาบุญครองยังมีโรงหนังเล็ก ๆ”
เธอจำหนังที่เธอดูได้ทุกเรื่อง หนึ่งในเรื่องที่เธอจำได้และยังคงเป็นแนวคิดที่พอจะนิยามชีวิตที่เธอได้ก็คือ เรื่อง Bridges of Madison County ว่าด้วยเรื่องราวความรักของชายหญิงแปลกหน้าที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 4 วัน ก่อนที่ทั้งคู่จะต้องแยกจากกันอีกครั้ง
“หนังที่เริ่มมีความรู้สึกว่าตราตรึง ซึ่งตอนที่เป็นเด็กยังรู้สึกเลยว่าสนุกมาก ๆ ชื่อเรื่อง The Bridges of Madison County มันทำให้รู้เลยว่า ทางที่เราเลือกในชีวิต บางทีอาจไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด แต่เราจำเป็นต้องอยู่กับเส้นทางนั้น”
พอเรียนมหาวิทยาลัยจบ เธอก็ยังมีใจรักภาพยนตร์ และโอกาสครั้งแรกในชีวิตก็มาถึง นั่นคือ การสมัครงานเข้าที่ วอลต์ ดิสนีย์ เรียนรู้อยู่พักหนึ่ง ก็ย้ายมาทำงานที่ Sony Pictures และยังคงสนุกกับการทำงานมาตลอด 20 กว่าปี
“การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ Things happen for a reason มันไม่ได้หมายความว่า End of the World เราต้องถามตัวเองว่า เราชอบหรือเปล่า พี่โชคดีเรื่องนี้ พี่หาตัวเองเจอ พี่ไม่ได้เลือกงาน งานเลือกพี่ เพราะฉะนั้นพี่เลยไม่ได้รู้สึกเหมือนทำงาน”
ช่วงแรกที่เธอเข้ามาในวงการใหม่ ๆ สิ่งเดียวที่ดุจดาวเห็น คือ ใจที่รักภาพยนต์ของทุกคนในอุตสาหกรรม และคำว่าใจรักทำให้ทุกคนในอุตสาหกรรม คือ เพื่อนกัน และคอยสนับสนุนกัน
“ถ้าไปถาม ทุกคนในอุตสาหกรรมนี้จะมีอายุการทำงานมากกว่า 10 ปีทั้งนั้น ถ้าคนที่เขาอยู่กันจริง ๆ จะอยู่กันมาสิบยี่สิบปีเกือบทุกคน คืออยู่ด้วยใจรัก ถึงจะเป็นบริษัทคู่แข่ง แต่เราไม่ใช่ศัตรูกัน สมมติเรามีรอบพิเศษ ค่ายคู่แข่งก็มาดู เราจะเอาหนังลง บางทีเราก็ปรึกษาหารือกัน
“ธุรกิจภาพยนตร์ไม่ได้เหมือนธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค มันขึ้นอยู่กับ Products เป็นสำคัญ ที่เขาบอก Content is King. It’s true”
ทว่าในยุคปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทำให้คนในอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยนตาม Content is King ยังคงเป็นเรื่องจริง แต่การจะเชิญชวนให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงคอนเทนต์นั้นได้คือเรื่องยากที่สุด
“โลกเปลี่ยนไป ทุกสตูดิโอมีหนังใหญ่เหมือนกันหมด ขึ้นอยู่กับว่า ใครมีหนังใหญ่ที่ถูกจริตคนมากกว่า มันเทียบกันยาก เราไม่ได้แข่งกันเอง เราแข่งกันว่า ทำไมคนถึงดูหนังในโรงน้อยลงมากกว่า
“งานสมัยก่อนต้องบอกว่าเป็นการทำหนังเพราะความชอบ เหมือนกับว่าถ้าเราชอบดูหนัง เราทำโดยสัญชาตญาณ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ต้องคิดว่า KOL จะพูดว่าไง TikTok จะยังไง จะขายของยังไง”
การเปลี่ยนแปลงนี้เองคือสิ่งที่อยู่คู่การทำงานของดุจดาวมาโดยตลอด และเป็นพลวัตหนึ่งที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศกำลังเผชิญ เนื่องจากกลุ่มผู้ชมหลักคือคนรุ่นใหม่ การทำงานของเธอจึงต้องปรับเปลี่ยนเพื่อทำความเข้าใจมุมมองของพวกเขา
“เราต้องอย่าลืมว่า คนที่เรากําลังคุยด้วย คนที่ทํามาร์เก็ตติงให้คนรุ่นใหม่ เขาเป็นคนรุ่นใหม่ ถามว่าบางทีเราเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดมั้ย...ไม่ แต่เราก็ต้องเถียง พี่ชอบทํางานแบบให้เถียงกัน หนูต้องเถียงว่าแสตนด์พอยต์ของหนูคืออะไร มันจะได้เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ้าสมมติเราเอาความคิดเห็นของเราเป็นที่ตั้ง มันก็จะไม่ค่อยสมดุลเท่าไหร่ เพราะเรามีรสนิยมต่างกัน”
หนังในดวงใจของคุณคืออะไร อาจเป็นหนังที่รีเลทกับตัวเราจนน้ำตาซึม หรือหนังแห่งความทรงจำวัยเด็กที่เรากลับมาเปิดดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อมีโอกาส
สำหรับดุจดาว เธอมองว่า หนังที่สามารถรีเลทหรือกลายเป็นความทรงจำวัยเด็กของคนส่วนมากมักเป็นหนังในอดีต สะท้อนเมื่อก่อนแตกต่างจากทุกวันนี้อย่างไร
“ลองถามคนทั่วไปว่า หนังที่คลาสสิกในใจคืออะไร พี่เชื่อว่าส่วนใหญ่จะบอกหนังในอดีต นั่นคือตัวบ่งบอกว่า ในแง่ของโปรดักชัน การเขียนสคริปต์ มันดีกว่าสมัยนี้ ไม่ได้บอกว่าหนังสมัยนี้ไม่ดี แต่มันก็เปลี่ยนไปตามสิ่งที่คนชอบ สิ่งที่คนปัจจุบันชอบเสพ มันคือความประทับใจ ไม่ถึงขั้นซาบซึ้งตรึงใจ”
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอยังเชื่อว่า ไลน์อัปภาพยนตร์ของ Sony Pictures ปี 2025 ที่กำลังจะถึงจะสามารถนั่งไปอยู่ในใจของคนดูได้
ไม่ว่าจะเป็น Legend of the Condor Heroes : The Gallants หรือมังกรหยก, Demon Slayer Infinity Castle, The Karate Kid, Paddington in Peru, 28 Years Later, A Big Bold Beautiful Journey,I Know What You Did Last Summer และอนาคอนด้า
และเธอก็ยังเชื่อว่าในยุคที่ใคร ๆ อาจจะอยากดูสตรีมมิ่ง แต่สุดท้ายโรงภาพยนตร์ก็ยังคงเป็นการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการดูภาพยนตร์ ถึงจะไม่ชอบ แต่เพราะอยู่ในโรงภาพยนตร์ เราก็จะดูจนจบ
“สำหรับเรา สตรีมมิ่งแพลตฟอร์มทุกอย่างเป็นอีกช่องทางที่ดีมาก ๆ สำหรับดูซีรีส์ แต่ไม่ใช่การดูหนัง ล่าสุด พี่มีความรู้สึกว่าหนังบางเรื่องไม่สนุก อยากลุกมาก แต่รีวิวเมืองนอกบอกว่าดีมาก พี่ก็อดทน ซึ่งถ้าสมมติดูสตรีมมิ่ง พี่หยุดไปตั้งแต่ 15 นาทีแรกแล้ว แต่เราดูจนจบ เลยรู้ว่าที่เค้าบอกดี มันคงมีพอยต์ประมาณนี้”
สุดท้ายดุจดาวจำกัดความของ คำว่า ‘ภาพยนตร์’ ว่า มันคือสิ่งที่เธอรัก และเป็นเหตุผลที่เธอยังยืนหยัด ทำงานในอุตสาหกรรมนี้แม้จะต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนต่อไป
“หนังเป็นความบันเทิง เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราชอบ เสาร์อาทิตย์ กิจกรรมของเราคือการดูหนังต่อ ๆ กันในโรงภาพยนตร์ มันเป็นความฟินของเรา เหมือนที่คนอื่นชอบเล่นเกม นั่งเล่น 5-6 ชั่วโมง เหมือนกัน หรือคนอื่นนั่งคุยกับเพื่อน นั่งเล่น TikTok สําหรับเรา หนังคือความบันเทิงที่เรามีความสุข”