Sha’aban Yahya: ชายผู้ปลุก ‘มัสยิดสุลต่าน’ อายุ 200 ปีให้กลับมามีชีวิตผ่านศิลปะแห่งแสงและเสียง

Sha’aban Yahya: ชายผู้ปลุก ‘มัสยิดสุลต่าน’ อายุ 200 ปีให้กลับมามีชีวิตผ่านศิลปะแห่งแสงและเสียง

'ชะอาบาน ยะฮ์ยา' (Sha’aban Yahya) ชายผู้แหวกขนบในอุตสาหกรรมเพลง คืนชีพ ‘มัสยิดสุลต่าน’ สถาปัตยกรรมเก่าแก่ในย่านประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ให้กลับมามีชีวิตชีวา

"การทำดนตรีของผมไม่ได้ทำตามกฎเกณฑ์ และสิ่งที่ผมทำได้สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา... เราไม่ได้ทำลายรากเหง้าของประวัติศาสตร์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เรากำลังสร้างอนาคตทางเสียงดนตรีและดึงดูดผู้ฟังมาสู่วงการนี้"

ถ้อยคำอันแฝงไปด้วยความขบถของ 'ชะอาบาน ยะฮ์ยา' (Sha'aban Yahya) ไม่ได้เอ่ยขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่เป็นประกาศิตที่หลอมรวมจากประสบการณ์อันยาวนานกว่า 40 ปีของชายผู้ฝ่าฝืนแนวทางอันราบเรียบในแวดวงดนตรีมาตลอดชีวิต

วันนี้ ชะอาบานในวัย 67 ปียังคงก้าวข้ามขอบเขตเดิม ๆ ขณะเดียวกันก็สร้างสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตเข้าด้วยกัน และผลงานล่าสุดของเขาคือการเนรมิต 'มัสยิดสุลต่าน' (Masjid Sultan) อายุ 200 ปีในย่านกัมโปงกลามของสิงคโปร์ ผ่านศิลปะแสงและเสียงสมัยใหม่ โครงการที่เขามองว่าไม่ต่างจากการถักทอจิตวิญญาณร่วมสมัยเข้ากับวิถีดั้งเดิมของชาวมุสลิมในสิงคโปร์

นี่คือเรื่องราวของศิลปินผู้ปลุก 'มัสยิดสุลต่าน' อายุกว่า 200 ปีให้กลับมามีชีวิตชีวาในงาน Gemilang Kampong Gelam 2025 ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ถึง 25 มีนาคม 2025

บทเพลงแห่งการปฏิวัติ

ชะอาบาน คือ ศิลปินผู้เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งเสียงเพลงและความคิดสร้างสรรค์ เส้นทางดนตรีของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อครั้งยังเยาว์ ด้วยทรัมเป็ตตัวแรกที่ได้รับจากลุงผู้เป็นแรงบันดาลใจ ก่อนที่เขาจะดำดิ่งสู่โลกแห่งดนตรีอย่างเต็มตัว เสียงเพลงนำพาเขาออกเดินทางจากอินโดนีเซียบ้านเกิด สู่มาเลเซีย และในที่สุดปักหลักที่สิงคโปร์ ดินแดนที่หลอมรวมความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้เผยแพร่ศิลปะผ่านบทเพลงได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ชะอาบานเริ่มต้นเส้นทางอาชีพในฐานะนักดนตรีรับจ้าง ก่อนจะค้นพบศักยภาพของตนเองในโลกดนตรีดิจิทัล ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผสานกับเสียงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ความสามารถและพรสวรรค์นำพาให้เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Celestial Court ของ George และ Kovan ในปี 1991-1992 และเดินทางสู่สิงคโปร์เพื่อสร้างสรรค์อัลบั้ม "Return to Jogja" ซึ่งเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงเรื่องราวความรักและประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซียผ่านเสียงดนตรีอันลึกซึ้ง

"ตั้งแต่ผมเริ่มทำงาน 'ดนตรี' ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่กับผมมาโดยตลอด"

เขาย้อนความทรงจำ แม้ริ้วรอยแห่งกาลเวลาจะเริ่มผุดพรายขึ้นบนใบหน้า แต่แววตายังคงเปล่งประกายความมุ่งมั่นไม่ต่างจากเมื่อครั้งอดีต

อัลบั้ม "Return to Georgia" คือหมุดหมายแห่งความอหังการที่สั่นสะเทือนวงการดนตรีอินโดนีเซียอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในยุคที่ข้อห้ามทางวัฒนธรรมยังคงแข็งแกร่ง อัลบั้มกลับบุกเบิกการผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์กับจังหวะและเสียงดนตรีพื้นเมืองของชาติพันธุ์ต่าง ๆ อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน

"ในอินโดนีเซียไม่มีใครทำแบบผม พวกเขาไม่ทำเพราะมีข้อห้ามที่คุณไม่สามารถนำเครื่องดนตรีมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้... แต่การแหกกฎได้สร้างผู้ฟังหน้าใหม่เข้ามา และดูเหมือนว่าพวกเขาชื่นชอบมันอยู่ไม่น้อย" ชะอาบานอธิบายวิถีทางของตนที่ทั้งผิดขนบและสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกัน

กัมโปงกลาม: พื้นที่ประวัติศาสตร์ที่หล่อเลี้ยงสิงคโปร์

ย่านกัมโปงกลามในปัจจุบัน อาจปรากฏแก่นักท่องเที่ยวเป็นเพียงถนนสีสันสดใสที่เต็มไปด้วยร้านค้าทันสมัย ร้านอาหารฮาลาลชื่อดัง และผ้าบาติกสีสด แต่การเข้าใจย่านนี้เพียงเท่านั้นคงตื้นเขินเกินไป เพราะเบื้องหลังอาคารสีสันสดใสและตรอกซอกซอยแคบ ๆ คือประวัติศาสตร์อันยาวนานที่หล่อหลอมตัวตนของสิงคโปร์

ในอดีต กัมโปงกลามเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์โจฮอร์ เป็นที่ประทับของสุลต่านและขุนนางมลายูตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เมื่อเซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ ผู้ก่อตั้งสิงคโปร์สมัยใหม่ เห็นความสำคัญของชุมชนมลายู-มุสลิมในปี 1822 เขาจึงจัดสรรพื้นที่นี้ให้เป็นดินแดนแห่งการสืบสานวัฒนธรรมและศาสนาของกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมของเกาะนี้ และที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า ศาสนา และวัฒนธรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง

หัวใจของย่านกัมโปงกลามคือมัสยิดสุลต่าน โครงสร้างอันโอ่อ่าด้วยโดมสีทองและผนังสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1824 ก่อนจะได้รับการบูรณะใหม่ในปี 1932 ด้วยการออกแบบที่ผสมศิลปะตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเข้าด้วยกัน สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมของสิงคโปร์

การที่มัสยิดแห่งนี้ได้รับการประกาศเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติของสิงคโปร์ในปี 1975 ไม่เพียงแสดงถึงการยอมรับคุณค่าทางสถาปัตยกรรม แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนมลายู-มุสลิมในประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีน นับเป็นสัญลักษณ์อันงดงามของการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง

เมื่อแสงและเสียงหลอมรวมกับความศรัทธา

ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน ชะอาบานได้รับเกียรติให้เป็นผู้สร้างสรรค์ดนตรีและออกแบบเสียงสำหรับการแสดงแสงสีเสียงของมัสยิดสุลต่าน สถานที่สำคัญที่เป็นศูนย์กลางศาสนาและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมในสิงคโปร์มานานกว่า 200 ปี

ชะอาบานเชื่อว่าเสียงเพลงสามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เขาจึงผสมผสานท่วงทำนองดั้งเดิมเข้ากับเสียงดนตรีร่วมสมัย ถ่ายทอดเรื่องราวของมัสยิดผ่านมิติของแสง สี และเสียง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจแก่ผู้ชม ไม่เพียงเป็นการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมและความศรัทธาของชุมชนมุสลิมในสิงคโปร์

"ผมต้องการให้เสียงเพลงช่วยเล่าเรื่องราวของมัสยิด และทำให้คนรุ่นใหม่สัมผัสถึงจิตวิญญาณของสถานที่แห่งนี้ แม้พวกเขาจะไม่เคยเข้าไปข้างในมาก่อนก็ตาม"

"แสง สี และเสียง ไม่ใช่แค่เครื่องมือในการแสดงโชว์เท่านั้น แต่เป็นภาษาสากลที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนทุกเชื้อชาติและศาสนาเข้าด้วยกัน"

เขาเสริมว่า กระบวนการทำงานที่ประณีตเช่นนี้มีเวลาวางแผนเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

"เวลาที่เราทำงานชิ้นนี้สั้นมาก น้อยกว่าหนึ่งเดือนเสียอีก..."

แม้กระบวนการทำงานจะเร่งรีบแต่เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน เพราะผลงานนี้ไม่ใช่แค่การสร้างความบันเทิง แต่เป็นการเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสกับความงดงามของมรดกทางวัฒนธรรมผ่านภาษาของศิลปะร่วมสมัย

บทประพันธ์ที่ถักทอวัฒนธรรมอันหลากหลาย

"สำหรับเรา เดือนถือศีลอดเป็นเดือนที่พิเศษมากสำหรับชาวมุสลิม และยังส่งผลดีต่อสังคมด้วย เพราะถ้ามีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในระหว่างนั้น คุณจะอดทนได้มากขึ้น เห็นอกเห็นใจคนอื่นได้มากขึ้น" ชะอาบานอธิบายถึงความสำคัญของเดือนศักดิ์สิทธิ์นี้ คุณค่าทางจิตวิญญาณที่เขาพยายามถ่ายทอดผ่านตัวโน้ตและเสียงดนตรี

การสร้างสรรค์ดนตรีสำหรับพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมีความละเอียดอ่อนทางศาสนาอย่างกัมโปงกลาม ไม่ใช่เรื่องง่าย ชะอาบานต้องพิจารณาทุกรายละเอียดอย่างรอบคอบ

"แนวทางของผมมีจุดมุ่งหมายชัดเจน เพราะเราต้องเป็นตัวแทนของชุมชนหลากหลาย พื้นที่นี้เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม เทศกาลนี้เกี่ยวข้องกับมุสลิมโดยตรง ดังนั้นผมจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ" เขาอธิบายกระบวนการคิดเบื้องหลังบทเพลง

แม้กระทั่งการเลือกใช้เครื่องดนตรีก็ต้องคำนึงถึงบริบททางศาสนาและวัฒนธรรม

"มีกลุ่มหนึ่งในชุมชนมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้เครื่องสาย คุณรู้เรื่องนี้เพราะภูมิหลังทางศาสนา ดังนั้นผมและทีมพยายามหลีกเลี่ยง แต่ดนตรีมุสลิมในตะวันออกกลางก็เกี่ยวข้องกับเครื่องสาย เราจึงไม่ได้ตัดเครื่องสายออกทั้งหมด แต่เลือกใช้เฉพาะบางส่วน"

งานของชะอาบานในย่านกัมโปงกลามไม่เพียงมีความหมายในแง่ศิลปะ แต่ยังเป็นภาพสะท้อนที่งดงามของสังคมสิงคโปร์ที่ความแตกต่างหลากหลายอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน การที่ย่านประวัติศาสตร์ของชาวมลายูมุสลิมได้รับการดูแลและส่งเสริมในประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายจีน ไม่เพียงแสดงถึงการเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่ยังแสดงให้เห็นว่าอัตลักษณ์ของชาติไม่สมบูรณ์หากขาดทุกส่วนประกอบที่รวมกันขึ้นมา

"สิงคโปร์มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ แต่แผ่นดินนี้ (สิงคโปร์) รัฐบาลส่งเสริมการบูรณาการอย่างมาก"

จากนักดนตรีหัวขบถสู่ผู้สร้างสะพานข้ามกาลเวลา

เส้นทางของชะอาบาน ยะฮ์ยา ไม่ใช่เพียงเรื่องราวของนักแต่งเพลงคนหนึ่ง แต่เป็นอุปมาของการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมในโลกสมัยใหม่ จากเด็กหนุ่มผู้กล้าท้าทายกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมจนถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง มาสู่ศิลปินผู้ใช้ความกล้าและประสบการณ์อันยาวนานในการสร้างสรรค์งานที่ผสานโลกเก่าและใหม่เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน การเติบโตของเขาเหมือนการเติบโตของสิงคโปร์เอง ที่เริ่มจากเกาะเล็กๆ ในทะเลจีนใต้ สู่มหานครระดับโลกที่ยังรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้อย่างเหนียวแน่น

แสงไฟหลากสีที่ทอดยาวบนผนังสีเหลืองอ่อนของมัสยิดสุลต่านในยามค่ำคืนของเทศกาลรอมฎอน ไม่เพียงสร้างความงดงามตระการตา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อระหว่างยุคสมัย เป็นภาพแห่งความหวังว่ามรดกทางวัฒนธรรมยังคงมีที่ยืนในโลกสมัยใหม่ หากได้รับการตีความใหม่ด้วยความเคารพและความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เสียงดนตรีที่ล้อมรอบผู้ชมไม่ใช่เพียงคลื่นเสียงที่กระทบแก้วหู แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงอดีตอันไกลโพ้นกับปัจจุบันอันเร่งรีบ เป็นการเดินทางข้ามกาลเวลาผ่านประสบการณ์ทางศิลปะ

คงไม่มีภาพใดจะงดงามเท่ากับเห็นผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม มายืนเคียงข้างกันเพื่อชื่นชมความงดงามของมัสยิดสุลต่านที่ถูกปลุกให้มีชีวิตด้วยแสงและเสียง 

และดูเหมือนว่าภาพเหล่านั้นได้ปรากฏขึ้น ณ หน้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แล้ว นี่คือความงดงามที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน เหมือนดังที่สิงคโปร์ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ความแตกต่างไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความแตกแยก แต่สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่งดงามกว่าเดิม

 

หมายเหตุ : สำหรับการเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อสำรวจย่านเมืองเก่าอย่าง 'กัมโปงกลาม' ครั้งนี้ ขอขอบคุณ Muse & Motif สำหรับการจัดการทริป และ ParkRoyal on Beach Road ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ทำให้เราสัมผัสความหลากหลายของสิงคโปร์ได้ทุกแง่มุม