กัมโปงกลาม : เฉดสีที่หลากหลายของ ‘สิงคโปร์’ กับงาน ‘The Glam Circuit Festival 2024’

เมื่อกล่าวถึงประเทศอย่าง ‘สิงคโปร์’ (Singapore) แน่นอนว่าแลนด์มาร์กสำคัญที่ต้องไปให้ถึงให้ได้ก็คงหนีไม่พ้นสิงโตพ่นน้ำ ‘เมอร์ไลออน’ (Merlion) หรือสวนสนุก Universal Studio แห่งเกาะเซนโตซา (Sentosa) แต่นอกจากสถานที่อันเป็นภาพจำเหล่านั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ๆ ก็ล้วนมีความงามซ่อนอยู่ในทุกหนแห่ง และสำหรับสิงคโปร์ ‘กัมโปงกลาม’ (Kampong Glam) หรือ ‘กัมโปงเกลัม’ (Kampong Gelam) ก็ได้แฝงไปด้วยความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

‘กัมโปง’ (Kampong) มีความหมายว่า ‘หมู่บ้าน’ ส่วนคำว่า ‘กลาม’ (Glam) ก็แปลได้ว่า ‘ต้นเสม็ดขาวใบยาว’ ที่พบได้มากในบริเวณดังกล่าว จนได้กลายเป็น ‘กัมโปงกลาม’ หรือหมู่บ้านแห่งต้นเสม็ดขาวใบยาว ในภาษามาเลเซียนั่นเอง (อาจจะคล้ายกับบางนา บางกะปิ ในประเทศไทยเรานี้เอง) ซึ่งที่แห่งนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสิงคโปร์ ไม่ห่างออกไปมากจากอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวยอดฮิตอย่าง ‘มาริน่าเบย์’ (Marina Bay)
.
นับว่าเป็นย่านเมืองเก่าที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายเลยทีเดียว ที่มีแลนด์มาร์กสำคัญ ‘มัสยิดสุลต่าน’ (Sultan Mosque) มัสยิดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นมาที่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1824 ตั้งเด่นสง่าอยู่ไม่ไกลไปจาก Village Hotel Bugis โรมแรมแห่งย่านบูกิสที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับตรอก ‘ฮาจิเลน’ (Haji Lane) ที่ผู้คนต่างพากันสังสรรค์ในยามค่ำคืน

นอกจากนั้นแล้ว ความพิเศษมากกว่าเดิมในครั้งนี้ ก็คือในช่วงวันที่ 13 ถึง 22 กันยายน 2024 ทางพื้นที่ของกัมโปงกลามก็ได้มีการจัดกิจกรรมพิเศษอย่าง ‘The Glam Circuit Festival 2024’ ที่ได้เปลี่ยนย่านกัมโปงกลามให้มีสีสันกว่าเดิมผ่านบูธกิจกรรม อาหาร และดนตรีมากมายในย่านดังกล่าว เพื่อเรียกน้ำย่อยให้กับงานแข่งรถ ‘กรังด์ปรีซ์ ซีซั่น สิงคโปร์ 2024’ (Grand Prix Season Singapore 2024) หรือ ‘GPSS 2024’ งานที่จะมีการจัดแข่งรถฟอร์มูลาวันในสิงคโปร์ ที่ผู้คนมากมายก็ต่างเฝ้ารอ

ในบทความนี้ The People Go จะพาผู้อ่านทุกท่านทะยานไปชมเมืองเก่าของสิงคโปร์ที่แฝงไปด้วยวัฒนธรรมและความหลากหลาย จนกลายเป็นรสชาติที่น่าสนใจและน่าแวะไปเยือนไม่น้อย หากใครได้มีโอกาสไปสิงคโปร์สักครั้ง อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่บทความนี้

สิงคโปร์ไม่ใช่เกาะที่มีพื้นที่ใหญ่มาก รวมถึงขนส่งสาธารณะของพวกเขาก็ครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกับรถไฟใต้ดิน MRT ที่มีตั้งแต่สายสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง และสีน้ำตาลให้ผู้คนได้เลือกสัญจร และถ้าหากคุณอยากจะเดินทางไปที่ย่านกัมโปงกลามก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่นั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงินหรือสีเขียวไปลงที่สถานีบูกิส (Bugis) แล้วเดินขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพียงไม่กี่ช่วงตึกคุณก็จะถึงกัมโปงกลามแล้ว

แม้แดดจะจ้า แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่สามารถเดินได้อย่างไม่ร้อนหรือเพลียแดดเท่าไรนัก ทำให้ผมสามารถเดินสำรวจกัมโปงกลามในช่วงกลางวันได้อย่างทั่วถึง ในบริเวณดังกล่าวก็จะเป็นตรอกซอกซอย หรือถนนเส้นเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยร้านและคาเฟ่ต่าง ๆ ให้เราได้สำรวจชม โดยมี ‘มัสยิดสุลต่าน’ ที่ทำหน้าที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญ

ไม่ห่างออกไปผมได้แวะไปที่ร้านหนังสืออิสลามที่หนึ่งที่หน้าร้านได้มีข้อความเขียนเอาไว้บนกระดานดำว่า “Bookshops bring together the infinite expense of human thought & imagination into one space.” การที่เราจะรู้จักพื้นที่นั้น ๆ ได้ดีขึ้น ถ้าลองแวะเวียนเข้าไปในร้านหนังสือท้องถิ่นก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ (แถมผมเองก็ลืมหนังสือที่กะว่าจะนำมาอ่านที่สิงคโปร์ไว้ที่รถที่จอดเอาไว้ที่สนามบินด้วย) 

ร้านนี้จะมีสองชั้นด้วยกัน ในชั้นแรกก็จะมีเคาน์เตอร์รวมถึงชั้นหนังสือที่เป็นหนังสือเกี่ยวกับศาสนาอิสลามเสียส่วนใหญ่ และเมื่อขึ้นบันไดไปที่ชั้นบนก็จะมีหนังสือในประเภทที่กว้างมากขึ้น ตั้งแต่การเมืองโลก เศรษฐกิจ รวมไปถึงนวนิยายและเรื่องสั้นต่าง ๆ ทว่าขาลงบันไดก็ทำให้ผมได้เซอร์ไพร์สอีกครั้งหนึ่ง เพราะบันไดที่ผมยืนอยู่นั้นมีอายุกว่า 100 ปีแล้ว! 

อีกหนึ่งความน่าสนใจของกัมโปงกลามก็น่าจะเป็นกราฟฟิตี้มากมายที่ถูกเพนท์ออกมาอย่างสวยงามบนตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ บริเวณนั้น จึงให้ความรู้สึกของความเป็นเมืองเก่าที่ไม่เก่า แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ถูกนำมาตกแต่งใหม่ให้สวยงามและทันสมัยมากขึ้น
หากเดินชมเมืองเก่าและศิลปะบนฝาผนังจนเบื่อแล้วก็สามารถหาร้านอาหารที่ตั้งอยู่อย่างชุกชุม หรือไม่ก็จิบเครื่องดื่มในคาเฟ่บริเวณนั้นได้ แต่ถ้าอยากไปเดินในสถานที่ที่ชิคขึ้นมาหน่อย ขยับไปอีกนิด ในย่านเดียวกัน จะมีตรอกที่ชื่อว่า ‘ฮาจิเลน’ (Haji Lane)

ฮาจิเลนเป็นตรอกเล็ก ๆ ที่ลากยาวจากถนน North Bridge ไปจนถึงถนน Bridge โดยจะมีร้านต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่คาเฟ่ (อีกแล้ว) ไปจนถึงร้านอาร์ททอยและร้านขายแผ่นเสียง (และแน่นอนว่าผมไปสถิตอยู่ที่ร้านนี้) นอกจากนั้นก็ยังมีร้านขายเสื้อผ้ามือสองมากมายให้เราได้เข้าไปเลือกสรรกัน และแน่นอนว่าด้วยความที่พื้นที่มีขนาดเล็กมาก เฉกเช่นเดียวกับทางเข้าของร้าน ที่ผมแทบจะไม่เห็น…

แต่ว่าไฮไลท์จริง ๆ ของฮาจิเลนอาจะไม่ใช่ช่วงกลางวัน แต่เป็นยามราตรีต่างหาก… 

เมื่อตกกลางคืนตรอกฮาจิเลนก็ได้เปลี่ยนตัวเองจากความชิค ๆ คูล ๆ กลายเป็นแสงสีและความบันเทิงทันตาเห็น หากเดินเข้าไปในนั้น ทั้งสองข้างทางจะอุดมไปด้วยบาร์ยามค่ำคืนและนักท่องเที่ยวมากมายที่ปักหลักกันที่บริเวณนี้ ซึ่งก็คล้ายคลึงกับตรอกข้าวสารที่ประเทศไทย

ผมเลือกที่จะไปใช้เวลายามค่ำคืนที่ร้าน ‘Blu Jaz’ ที่ตั้งอยู่ตรงซอยข้าง ๆ กัน ซึ่งก็คือ ‘บาหลี เลน’ (Bali Lane) ที่ฝั่งหนึ่งจะติดกับฮาจิเลนและอีกฝั่งหนึ่งจะติดกับถนนใหญ่อย่างถนน Ophir จุดเด่นของ Blu Jaz ก็คือดนตรีสดยามค่ำคืนที่บ้างก็จะเป็นแจ๊ส บ้างก็จะเป็นบลูส์ ตามชื่อร้าน

ในวันนั้นผมได้มีโอกาสชมการแสดงดนตรีบลูส์อย่าง ‘Skunk Jives & Guest’ มาบรรเลงการด้นสดให้ฟังจนผมลุกไปไหนไม่ได้ โดยเฉพาะความจัดจ้านในการ Improvisation ของนักดนตรีแต่ละท่านในวันนั้น ผมจึงนั่งฟังจนร้านปิดและได้ชนหมัดกับนักดนตรีทุกคนในวันนั้น นับเป็นคืนที่พิเศษไม่น้อย ผมเดินไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงโรมแรม

อีกหนึ่งมือที่ทำให้ผมประทับใจกับการมาเยือนสิงคโปร์ครั้งนี้เป็นอย่างมากก็ต้องยกให้กับร้านอาหารสไตล์ตุรกี-เมอร์ดิเตอร์เรเนียนอย่าง ‘Cappadocia’ ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนคนเดิน Bussorah ในกัมโปงกลาม ไม่ห่างออกไปมากจากนานาสถานที่ที่ผมได้กล่าวไป โดยร้านนี้ก็นำพาความพิเศษ (ในขนาดที่ใหญ่ยักษ์ให้เราได้ลิ้มลอง) มาให้กับเราอย่างมากมาย

แต่นอกจากอาหารแล้ว ความพิเศษอีกหนึ่งอย่างผมก็ขอยกให้กับ ‘กาแฟตุรกี’ ที่ไม่ได้มีดีเพียงรสชาติและความแรง แต่เมื่อดื่มเสร็จแล้วทางเจ้าของร้านก็ได้มาสาธิตให้ดูว่ามันสามารถดูดวงของเราจากแก้วกาแฟได้ ด้วยความทีตัวกาแฟ เมื่อดื่มเสร็จจะมีตะกอนเหลืออยู่ที่ก้นแก้ว หากเราเอาฝารองแก้วปิดที่ปากแก้วเอาไว้ ก่อนจะกลับหัวและหมุนตามเข็มนาฬิกาสามครั้ง เมื่อเปิดออกมาเราจะได้เห็นตะกอนเหล่านั้นกลายเป็นรูปทรงต่าง ๆ ที่อาจทำนายอนาคตของเราได้ บ้างก็เป็นรูปภูเขา บ้างก็เป็นรูปแมว บ้างก็เป็นรูปถนน ซึ่งจะสามารถตีความได้ในแบบที่แตกต่างกันออกไป

และแน่นอนว่าไฮไลท์พิเศษมากมายก็อยู่ที่งาน ‘The Glam Circuit Festival 2024’ ที่จัดอยู่บริเวณกัมโปงกลาม เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องงาน กรังด์ปรีซ์ ซีซั่น สิงคโปร์ 2024 ที่กำลังจะมาถึง โดยการนำเสน่ห์ของย่านมาผสมผสานกับกิจกรรมสนุก ๆ ตั้งแต่เกมแข่งรถ บูธที่เปิดให้คนมากรี๊ดและได้คูปอง และบูธอาหารและสินค้าเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์อีกมากมาย