ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ 'ร้านปลาออร์แกนิก' ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ 'ร้านปลาออร์แกนิก'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

จากนักวิชาการสู่ผู้ประกอบการเพื่อสังคม ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้สร้างสะพานเชื่อมระหว่างชาวประมงพื้นบ้านและผู้บริโภค พร้อมพิสูจน์ว่าการทำประมงที่ยั่งยืนและธุรกิจที่เป็นธรรมสามารถเติบโตไปด้วยกันได้

KEY

POINTS

  • จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งร้านปลาออร์แกนิกเพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างชาวประมงพื้นบ้านและผู้บริโภค เกิดจากคำถามเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ในใจมาตั้งแต่ขณะที่เป็นนักวิชาการ
  • ธุรกิจตั้งอยู่บน 3 เสาหลักที่ต้องเกื้อกูลกัน คือ ผู้ผลิตที่ไม่เอาเปรียบและไม่ใช้สารเคมี คุณภาพสินค้าที่ปลอดภัย และการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ภายใต้มาตรฐานออร์แกนิก 4 ข้อที่เข้มงวด
  • จากโครงการเพื่อสังคมเล็ก ๆ เติบโตเป็นวิสาหกิจโดยไม่เพียงสร้างช่องทางการขาย แต่ยังช่วยพัฒนาองค์ความรู้และสร้างความยั่งยืนให้ชุมชนชาวประมง

ประเทศไทยมีชายฝั่งทะเลยาวกว่า 3,148.23 กิโลเมตร ครอบคลุม 23 จังหวัด (ข้อมูลจากศูนย์องค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล เราควรมีอาหารทะเลที่สด สะอาด และปลอดภัย เข้าถึงได้ง่าย 

แต่ความจริง เรายังคงเห็นข่าวสารปนเปื้อนในอาหารทะเล การตั้งราคาที่สูงลิ่ว และยังมองเห็นความคลุมเครือของเส้นทางอาหารทะเล เรื่องราวต่าง ๆ ที่ชาวประมงต้องเผชิญ การขนส่ง กว่าจะถึงมือผู้บริโภค 

“ทุกวันนี้เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอาหารทะเลที่เรากินกันอยู่มันมาจากไหน ถูกจับมาได้อย่างไร หรือพอปลาออกจากหมู่บ้านแล้ว จะถูกใส่สารเคมีอะไรระหว่างขนส่งหรือเปล่า”

ปัญหาเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ 'นุช' ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ เปิด 'ร้านปลาออร์แกนิก' ขึ้นมา ร้านที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างชาวประมงพื้นบ้าน ผู้บริโภค และธรรมชาติ ดำเนินธุรกิจบนรากฐานของความยั่งยืน เพื่อพิสูจน์ว่าอาหารทะเลที่ดี ไม่จำเป็นต้องแพงหรือเต็มไปด้วยสารปนเปื้อน

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

เมื่อคนทำทฤษฎีต้องลงมือปฏิบัติ

จริง ๆ นุชไม่ได้เป็นนักธุรกิจ  เธอเคยเป็นอาจารย์ที่ศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และเป็นนักวิจัยที่มีพื้นฐานด้านความยั่งยืนและตั้งใจที่อยากเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คน

“เราลงพื้นที่กับชาวประมง ได้เห็นปัญหาของท้องทะเลมากมาย แล้วเอาข้อมูลมาทำวิจัย แต่เราไม่เห็นว่ามันจะช่วยบรรลุได้อย่างไร ถ้าสุดท้ายไม่ได้ลงมือทำ” นุชเล่าให้ฟังขณะที่เรานั่งอยู่ภายในร้านขนาดเล็กที่ตกแต่งคล้ายเรือประมง

“ตอนไปเก็บข้อมูลปี 2002 ปลาทูในตลาดกิโลกรัม ละ 50-60 บาท ชาวบ้านได้เงินแค่ 14 บาท ลงพื้นที่อีกทีปี 2012 ผ่านมา 10 ปี ชาวบ้านได้ 14 บาทเท่าเดิม ขณะที่ปลาทูในกรุงเทพฯ ขึ้นเป็นกิโลกรัม ละ 100 บาท แล้วส่วนต่างมันหายไปไหน”

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

ปัญหาส่วนหนึ่งคือชาวประมงไม่รู้ว่าปลาที่พวกเขาจับได้ถูกส่งไปที่ไหน ส่งให้ใคร และราคาเท่าไหร่ อีกทั้งยังไม่เคยตั้งคำถามว่า ทำไมพ่อค้าถึงรับซื้อด้วยราคานั้น

“มันก็เป็นเรื่องที่สั่งสมมาแล้วทําให้เรารู้สึกว่า จริง ๆ แล้วมันมีอะไรที่มันขาดหายไปบนเส้นทางอาหารทะเลของบ้านเรา” 

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อชาวประมงพื้นบ้านมาปรึกษาเรื่องกุ้งล้นตลาด “ชาวประมงบอกว่ากุ้งล้น ซึ่งเขาอยู่ห่างไกลจากถนนหลักมาก ประมาณ 10 กิโลเมตร แต่พ่อค้าคนกลางไม่มารับ ทำให้กุ้งเหลือทิ้ง” 

คำถามง่าย ๆ ที่ว่า “พอจะมีช่องทางในการขายบ้างไหม” ของชาวบ้านคนหนึ่ง กลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดโครงการเพื่อสังคมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับชาวประมงพื้นบ้านและส่งเสริมการทำประมงอย่างยั่งยืน

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

จากตลาดนัดสู่ร้านถาวร

ในช่วงแรก นุชไม่ได้นึกถึงเรื่องธุรกิจ เธอเพียงแค่ต้องการนำเสนอเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน จึงนำสินค้าของชาวประมงไปขายที่ Bangkok Farmers’ Market เดือนละครั้ง พร้อมพาชาวบ้านไปเล่าเรื่องราวของตัวเอง

“พอเราวางปลา ปรากฏว่าลูกค้ามารอคิวยาวมาก คนหนึ่งจับหัว คนหนึ่งจับหางแย่งกัน เพราะว่าสินค้ามาไม่พอ มันก็เลยทำให้เราคิดว่าจริง ๆ แล้วความต้องการของตลาดสูง เพียงแค่ยังไม่มีช่องทางดี ๆ เท่านั้น”

สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น ทำให้นุชเห็นโอกาสที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารทะเลที่สะอาดและปลอดภัยได้ เนื่องจากรู้สึกว่า การจะเข้าถึงอาหารทะเลที่มีคุณภาพดีได้เป็นเรื่องยาก เพราะไม่สามารถที่จะเลี่ยงสารปนเปื้อนจากการขนส่งหรือปัจจัยอื่น ๆ ได้

เธอเชื่อว่าอาหารที่ปลอดภัยจะนำมาสู่สุขภาพที่ดีและปลอดภัยเช่นเดียวกัน 

“คุณป้าเราเป็นมะเร็ง เวลาเราลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลเราได้เข้าถึงอาหารทะเลดี ๆ ก็ใส่ลังกลับมาให้คุณป้า แต่พอมานึกอีกที ไม่ใช่แค่บ้านเราบ้านเดียวที่ต้องการโปรตีนที่ดีจากทะเล และคนเป็นมะเร็งไม่ได้มีแค่บ้านเราคนเดียว

“เราก็เริ่มคิดว่า เส้นทางอาหารทะเลที่ปลอดภัยต้องทําอย่างไร ทําอย่างไรชาวบ้านถึงจะได้สัดส่วนที่สมน้ําสมเนื้อ และทํายังไงให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารทะเลได้”

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการจดทะเบียน ‘บริษัท ปลาออร์แกนิกวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด’ 

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร “ตอนนี้ชาวบ้านถือหุ้นมากกว่า 90% วันที่ปิดโครงการ เราบรรลุวัตถุประสงค์ว่าเราสามารถสร้างเส้นทางบริษัทของเราเองได้ เราจึงตัดสินใจตั้งร้าน เพราะว่าเราต้องการมีตัวตน สมัยก่อนเราเร่ร่อนไปตามตลาด มีตลาดตรงไหนเราก็ไป แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้แสดงตัวตนของชาวบ้าน”

หน้าร้านจึงไม่ใช่แค่สถานที่ขายอาหารทะเล แต่เป็นทางออกที่สร้างประโยชน์ร่วมกันระหว่างชาวประมงพื้นบ้าน ผู้บริโภค และทะเลไทย 

เชื่อมโยงชุมชนและธุรกิจ

ร้านปลาออร์แกนิกไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านขายอาหารทะเล แต่ยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างชาวประมงและโรงแรมหรือร้านอาหาร

“ชาวบ้านไม่เข้าใจว่าทำไมโรงแรมถึงตีคืนกุ้ง” นุชยกตัวอย่างความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างชาวบ้านและโรงแรม

แต่การเป็นกลาง เธอต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ เข้าใจผู้รับสินค้าและชาวบ้านที่จับปลามา สำหรับชาวบ้าน กุ้งตัวใหญ่ก็ดีกว่า แต่มันคือต้นทุนที่แพงขึ้นสำหรับคนที่อยู่ปลายทาง 

“เราเป็นคนกลางที่ต้องเข้าใจเรื่องนิติสิ่งแวดล้อม การที่ได้ขนาดของกุ้งใหญ่กว่าที่สั่ง เป็นผลดีต่อผู้บริโภครายเดี่ยว แต่โรงแรมถือว่าเป็นการขาดทุน เพราะต้องนับหน่วยเสิร์ฟชามต่อชาม ชาวบ้านมองในมุมของชาวบ้านจึงไม่เข้าใจ เราจึงต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนของโรงแรมเพื่อคุยกับชาวบ้าน”

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

ร้านปลาออร์แกนิกเป็นร้านเล็ก ๆ ไม่ได้ประดับประดาเกินจำเป็น แต่แบ่งสัดส่วนร้านชัดเจน มีทั้งพื้นที่ของอาหารทะเลที่ส่งตรงจากทะเลใต้ เช่น ปลาอินทรีย์ กุ้งแชบ๊วย ทั้งสดและแช่แข็ง ส่วนฝั่งตรงข้ามก็มีพื้นที่สำหรับสินค้าของผู้ผลิตรายเล็ก อย่างน้ำผึ้ง ข้าว ถั่วเหลือง ชาใบหม่อน กะทิ หรือไก่สดออร์แกนิก

“ตอนแรกเราขายแค่ปลา แต่ตอนทำเป็นโครงการ เราอยู่ภายใต้มูลนิธิสายใยแผ่นดิน ซึ่งมีสหกรณ์กรีนเนท ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เราจึงให้สหกรณ์วางสินค้า นอกจากนี้เราก็รู้จักพี่น้องเกษตรกรที่ทำออร์แกนิก ช่วงโควิดชาวบ้านระบายสินค้าไม่ทัน เราก็เลยให้มาลงที่นี่ เพราะอาทิตย์นึงก็จะมีลูกค้าสั่งอาหารทะเลอยู่แล้ว เราก็ประกาศตลาดคู่กันเลย”

“ไข่ไก่แม่ทามาจากเชียงใหม่เลยนะ เขาบอกว่าไก่ล้นโรงงาน เราเลยเอาตู้มาตั้งแล้วขายให้ นอกจากนี้ก็มีน้ำมะพร้าวจากบางเลน ซึ่งส่วนใหญ่มาช่วงโควิด ทุกคนก็จะมาขอความช่วยเหลือ เราก็เลยช่วยเปิดพื้นที่ให้เขา”

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

นุชใช้วิธีประกาศตลาดทุกวันอาทิตย์ ปิดออร์เดอร์วันจันทร์-อังคาร มีเจ้าหน้าที่เพียง 4 คนช่วยกันรับออเดอร์สุดท้าย จากนั้นจึงเตรียมแพ็ค เพื่อให้วันพุธที่สินค้าเริ่มทยอยเข้ามา แล้ววันพฤหัสบดีจะเป็นวันที่ผักส่งมาและเป็นวันแพ็คทุกอย่างส่งให้ลูกค้า

“ไลน์แมนก็จะมารอหน้าร้าน หรือว่าบางคนก็ส่งรถมารับ ร้านอาหารและโรงแรมจะมารับวันพฤหัสบดี เพราะเราให้รับได้พฤหัสบดี ศุกร์ เพราะอาหารทะเลเราอยู่สดได้สองวัน หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นอาหารแช่แข็ง”

ส่วนวันเสาร์เป็นวันที่นุชเปิดร้านเพื่อทำอาหาร โดยนุชและเจ้าหน้าที่ในร้านจะเป็นคนปรุงเอง ซึ่งใช้สินค้าแช่แข็งของร้าน เพื่อให้คนได้มาลองชิม และนุชจะได้แนะนำอาหารทะเล

"ร้านเราเน้นวัตถุดิบดี ไม่ใส่ผงชูรส ใช้แค่น้ำปลา เกลือ แล้วก็มันกุ้งที่มาจากการทำกุ้งแห้ง ซึ่งใช้แทนน้ำมันหอยได้เลย ส่วนผักก็จะเป็นผักออร์แกนิก"

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

อาหารทะเล ‘ออร์แกนิก’

การจะเรียกตัวเองได้ว่าออร์แกนิก ไม่ใช่แค่บัญญัติตัวเองขึ้นมา แต่ร้านนี้อยู่ภายใต้มาตรฐานออร์แกนิก 4 ข้อที่ตรวจสอบโดยสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ประกอบด้วย 

ข้อแรกคือการใช้เครื่องมือจับที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเครื่องมือจับสัตว์น้ำเฉพาะชนิดและขนาด (Selective fishing gears) และไม่จับตามฤดูวางไข่

ข้อถัดมาคือ การจับปลาจากแหล่งน้ำสะอาด ห่างไกลมลภาวะหรือแหล่งสารเคมีเข้มข้น อย่างโรงงาน หรือแหล่งการทําเกษตรที่มีโอกาสเกิดการรั่วไหลของสารเคมีลงทะเล

ข้อสามคือ ไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจับ การเก็บรักษา จนถึงขั้นตอนขนส่ง 

และข้อสุดท้ายคือ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ว่าปลาถูกจับจากที่ไหน เมื่อไหร่ โดยใคร และจับด้วยเครื่องมืออะไร ซึ่งต้องทำการบันทึกทุกขั้นตอน

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

มาตรฐานเหล่านี้นอกจากจะเป็นข้อพิสูจน์ความออร์แกนิกแล้ว ยังเป็นรากฐานนำไปสู่ ‘ความยั่งยืน’ ที่นุชเชื่อว่าทุกอย่างสัมพันธ์กัน ไม่เพียงเรื่องการจับปลาหรือคุณภาพปลาเท่านั้น แต่เกี่ยวโยงกับระบบนิเวศทั้งหมด ทั้งปัญหาขยะทะเล น้ำเสีย และการเกษตรเคมี

รวมถึงทรัพยากรสามารถฟื้นฟูตัวเองและสร้างผลผลิตเพื่อเลี้ยงผู้คนได้ ส่วนมิติของมนุษย์ คือทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีฝ่ายใดเสียประโยชน์ มีการแบ่งปันทรัพยากรอย่างเป็นธรรม แม้จะไม่ได้รับส่วนแบ่งที่เท่ากัน จึงเป็นที่มาของ 3 เสาหลัก ที่เธอยึดมั่นเพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

“เรามี 3 เสาหลักที่ต้องเกื้อกูลกัน เสาแรกคือผู้ผลิต ซึ่งต้องไม่เอาเปรียบ ไม่ใช้สารเคมี รวมถึงผู้บริโภคเองก็ต้องให้เกียรติและขอบคุณผู้ผลิต เสาที่สองคือคุณภาพสินค้าที่ต้องปลอดภัย และเสาสุดท้ายคือสิ่งแวดล้อม เราต้องบริโภคอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เลือกขายแต่สิ่งที่ตลาดต้องการ แต่ต้องคำนึงถึงความสมดุลของธรรมชาติด้วย”

ราคาและคุณภาพ

ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะตั้งคำถามว่าทำไมอาหารทะเลถึงมีราคาแพง แต่น้อยคนจะย้อนถามว่า ทำไมชาวประมงถึงขายผลผลิตของตนในราคาที่ต่ำ

นุชจึงเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวที่เธอเคยเจอในพื้นที่ทะเลสาบสงขลาที่พ่อค้าซื้อกุ้งก้ามกรามขนาดใหญ่จากชาวบ้านในราคาถูก แต่นำไปขายต่อให้มาเลเซียในราคาที่แพงกว่าหลายเท่า 

“กุ้งก้ามกรามขนาดใหญ่ถูกรับซื้อจากชาวประมงราคากิโลฯ ละ 500 บาท โดยที่ชาวบ้านไม่ทราบเลยว่าพ่อค้านำไปขายต่อในมาเลเซียในราคาสูงถึง 3,000 บาท ทั้งที่ทะเลสาบสงขลากับมาเลเซียไม่ได้ไกลกัน”

นุชจึงเสนอรับซื้อกุ้งในราคา 700 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อนำไปขายต่อในกรุงเทพฯ ที่ราคา 900 บาท โดยส่วนต่าง 200 บาทเป็นค่าดำเนินการ

“พ่อค้าคนกลางยอมสู้ราคาขึ้นไปถึง 1,000 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อแข่งกับเรา” เธอเสริม

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงแล้วราคาสินค้าของชาวบ้านไม่ได้ต่อเลย เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าควรตั้งราคาสินค้าเท่าไหร่ นุชจึงลงไปสำรวจตลาด และมองหาตลาดที่เหมาะสม เธอพบว่าคุณภาพสินค้าของชาวบ้านสามารถเทียบเท่ากับห้างระดับสูงได้

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

“สมมติว่าเขาขาย 700 บาท เราก็จะบวกของเราขึ้นมานิดนึง เป็น 750 บาท มันก็เลยทําให้อาหารทะเลเราแพงกว่า แต่ว่าก็ขายหมดนะ คนก็มาเข้าแถวยืนรอ” 

ราคาปลาออร์แกนิกที่ร้าน อาจมีราคาสูงหากเทียบกับตลาดทั่วไป แต่สำหรับนุชมองว่า เมื่อพิจารณาต้นทุนของชาวบ้านและคุณภาพของอาหารแล้วก็ถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล

“เราไม่ได้ภูมิใจที่ของเราแพง เราแค่รู้สึกว่าคนไทยควรจะได้กินของดีในราคาที่เหมาะสม ถ้าชาวบ้านอยู่ได้ ผู้บริโภคซื้อได้ มันน่าจะเป็นอะไรที่พอดีกัน ทุกวันนี้ร้านเราอาจถูกกว่าซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะเราไม่ได้ขึ้นราคาเลย ตั้งแต่เปิดมา 12 ปี เราขึ้นราคาบางตัวมากสุดไม่เกิน 5 ครั้ง”

เครือข่ายชาวประมงพื้นบ้าน

“ตอนนี้เราผันตัวจากผู้จัดโครงการมาเป็นลูกน้องชาวบ้าน” นุชบอก

ร้านปลาออร์แกนิกร่วมมือกับชาวประมงใน 6 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี ปัตตานี กระบี่ พังงา สตูล และพัทลุง โดยชาวประมงต้องมีพื้นฐานเรื่องของการอนุรักษ์ในชุมชน 

ส่วนหน้าที่ความรับผิดชอบมีการแบ่งไว้อย่างชัดเจน ชาวประมงรับผิดชอบการจับสัตว์น้ำ องค์กรชุมชนดูแลการบันทึก บรรจุภัณฑ์ และการขนส่งขั้นต้น ส่วนทีมกรุงเทพฯ ดูแลการดำเนินงานร้าน การตลาด และการกระจายสินค้าขั้นสุดท้าย 

“ตอนเริ่มโครงการ เราก็คิดว่าเราจะวางมือไม่ทำอะไร แต่พอเอาเข้าจริง ชาวบ้านไม่ชอบการขายของ ชาวบ้านแค่จับปลาอย่างเดียว เราเลยคิดว่าเรื่องการดูแลร้านเราจะเป็นคนรับผิดชอบ”

นอกจากการดูแลร้าน นุชยังช่วยเหลือให้ชาวบ้านมีองค์ความรู้ในด้านการตลาดและการตั้งราคาสินค้า เช่น กรณีกุ้งก้ามกรามที่ขายในราคาต่ำแต่ถูกส่งไปขายต่อในราคาสูง ด้านนโยบายและกฎหมาย เช่น ให้ความรู้เรื่องกฎหมายและสิทธิต่าง ๆ แก่ชาวประมง และเป็นตัวกลางในการเจรจากับภาครัฐ อีกทั้งยังช่วยสร้างงานให้แก่คนในชุมชน

“เราไม่ได้เข้าไปเพิ่มภาระหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ให้เขา แต่ไปต่อยอดจากสิ่งที่ชุมชนมีอยู่แล้ว โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และช่วยปรับแต่งให้เข้ารูปเข้ารอยและตอบโจทย์มากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น วิถีของเขาก็จะสามารถเติบโตและยั่งยืน”

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

อนาคตในอุดมคติ

ร้านปลาออร์แกนิกในตอนนี้ถือว่าประสบความสำเร็จจนเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง รวมถึงเป็นเจ้าเดียวในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ใบรับรองจากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์

ร้านปลาออร์แกนิกวันนี้จึงเป็นมากกว่าร้านขายปลาหรือเชื่อมชุมชน แต่พร้อมจะเป็นโรงเรียนหรือห้องทดลองให้ผู้คนที่สนใจมาเรียนรู้ 3 เสาหลักของการทำธุรกิจอาหารทะเลออร์แกนิกกับนุชไปพร้อม ๆ กัน 

“แรก ๆ ก็ฝันนะ ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่พอทำมา 12 ปี เรารู้สึกว่ามันยากมาก ก็เลยลดความฝันลง เปลี่ยนเป็นการสร้างโมเดลให้คนที่สนใจได้มาเรียนรู้จากเรา”

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ : เจ้าของ \'ร้านปลาออร์แกนิก\'  ที่ส่งต่อคุณภาพอาหารทะเลจากธรรมชาติถึงโต๊ะอาหาร

นุชบอกว่า ส่วนใหญ่คนที่มาเรียนรู้มักให้ความสำคัญกับธุรกิจและคุณภาพอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ความเป็นจริง การสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนต้องวางสมดุลระหว่างผลกำไร ธรรมชาติ และคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ได้อย่างเหมาะสม

และไม่ใช่แค่ในฐานะของคนทำธุรกิจเท่านั้น แต่ในฐานะของผู้บริโภค เราเองก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

“คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้วันละ 3 มื้อ แค่เลือกกินอย่างมีสติ ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อสิ่งแวดล้อมก็ได้ ทำเพื่อตัวเองก็พอ เพราะการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากจะส่งผลดีต่อตัวเราแล้ว ยังนำไปสู่การบริโภคที่ยั่งยืน ซึ่งง่ายกว่าการออกกำลังกายหรือการเก็บขยะเสียอีก แค่การกิน ก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งสุขภาพของเราและโลกใบนี้ได้”

 

ภาพ : จุลดิศ อ่อนละมุน

 

อ้างอิง

ศูนย์องค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2023). อาณาเขตทางทะเลไทย. สืบค้นเมื่อ 20, 2025. from hubmnre: https://hub.mnre.go.th/th/knowledge/detail/63699