20 ม.ค. 2568 | 18:00 น.
KEY
POINTS
จะมีกี่คนบนโลกที่เก่ง กล้า และแกร่ง จนได้สามารถขึ้นเป็นซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก 2 แห่ง ถึงขนาดได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในซิลิคอนวัลเลย์อย่างมหาศาล และยังเป็นผู้หญิงคนแรกจากพรรครีพับลิกันได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ต่อกรกับคู่ต่อสู้ชายจากพรรคเดโมแครตได้อย่างห้าวหาญ ถึงจะพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ชื่อของเสียงของเธอกลับยิ่งแข๋งแกร่งมากขึ้นไปอีก ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เธอยังได้รับการเสนอให้ติดอยู่ในรายชื่อ 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกจากนิตยสาร Forbes และบทบาทล่าสุดในปี 2021 คือได้รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำเคนยา
‘เม็ก วิทแมน’ (Meg Whitman) คือชื่อของเธอ สตรีผู้กล้าแกร่งไม่ยอมก้มหัวให้ใครเพียงเพราะเพศสภาพ เธอยอมรับว่าในอดีตเคยคิดถึงเรื่อง ‘เพศ’ อยู่บ้างในบางครา แต่สุดท้าย ความสามารถก็พาเธอมาไกลจนถึงทุกวันนี้โดยไม่มีกรอบกำหนดเรื่องของความเป็นหญิงอีกต่อไป
และนี่คือเรื่องราวของวิทแมน อดีตซีอีโอหญิงผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยบริหารบริษัท eBay และ Hewlett-Packard (HP) จนสร้างความสั่นสะเทือนให้โลกธุรกิจมาจนถึงปัจจุบัน
‘มาร์กาเร็ต วิทแมน’ (Margaret Whitman) หรือที่รู้จักกันในนาม เม็ก วิทแมน เกิดวันที่ 4 สิงหาคม 1956 ที่ Oyster Bay รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อาศัยอยู่ท่ามกลางความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์ของลองไอร์แลนด์ เธอเติบโตมาในครอบครัวที่มีความผูกพันกับชนชั้นสูงเก่าแก่ของบอสตัน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Boston Brahmins
พ่อแม่ของวิทแมนรับราชการในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยแม่ของเธอเป็นอาสาสมัครสภากาชาด ก่อนจะผันตัวมาเป็นช่างซ่อมเครื่องบินและรถบรรทุกระหว่างอยู่ที่นิวกินี
“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก แม่มักสนับสนุนฉันทุกอย่างไม่ว่าฉันอยากทำอะไร แม่ก็คอยให้คำแนะนำอยู่เสมอ ความกล้าหาญของฉันส่วนใหญ่เลยได้มาจากแม่ทั้งหมด”
ย้อนกลับไปช่วงวันแรกที่เด็กหญิงวิทแมนลืมตาดูโลก แพทย์ตรวจพบว่าเธอเกิดมาพร้อมความผิดปกติแต่กำเนิด เธอป่วยเป็นโรคดิสพลาเซีย (dysplasia) ซึ่งเป็นความผิดปกติของการพัฒนาเซลล์หรือเนื้อเยื่อ ส่งผลให้สะโพกซ้ายของเธอไม่มีเบ้ากระดูกสะโพก ต้องใส่อุปกรณ์ดามโลหะแข็งที่มีสายหนังจนกระทั่งอายุ 3 ขวบ
วัยเด็กของวิทแมนไม่ต่างจากเด็กชาวอเมริกันทั่วไป เธอชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะเทนนิสและลาครอส เธอเป็นนักกีฬาตัวยงก้ว่าได้ มักลงแข่งขันกีฬาต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น สเก็ตลีลา และว่ายน้ำ ไม่ใช่แค่กีฬาเท่านั้นที่เด็กหญิงคนนี้ทำได้ดี เธอยังเป็นเด็กเรียนเก่ง สอบได้ 10 อันดับแรกของชั้นอยู่เสมอ นั่นทำให้เธอสามารถจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้หลังจากเรียนได้เพียง 3 ปี
ความฝันของใทแมนคือการเป็นหมอ เธอจึงเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ก่อนจะเปลี่ยนสาขามาเรียนเศรษฐศาสตร์ และต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จาก Harvard Business School ช่วงที่เธอยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง วิทแมนได้พบกับ ‘ริฟฟิธ ฮาร์ชที่ 4’ (Griffith Harsh IV) ผู้ที่จะกลายเป็นสามีและพ่อของลูกทั้ง 2 ในอีกไม่กี่ปีให้หลัง
วิทแมนและฮาร์ชแต่งงานกันในปี 1980 เพื่อนร่วมรุ่นต่างนิยามว่าทั้งสองเป็นคู่รักสุดเพอร์เฟ็กต์ ฮาร์ชเป็นศัลยแพทย์สมองนักเรียนทุนโรดส์ และหัวหน้าแผนกศัลยกรรมประสาทที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ส่วนเธอรับบทบาทคุณแม่สุดสตรอง ดูแลลูกชายทั้งสองคน คือ กริฟฟ์ วี และวิลเลียม ให้ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด ผลของความพยายามก็เกิดผล เมื่อลูก ๆ สอบเข้ามหาวิทยาลัยพรินซ์ตันได้ตามใจหวัง
แต่ใช่ว่าชีวิตครอบครัวจะเลิศเลอไปเสียหมด เมื่อลูกชายของเธอทั้งคู่สร้างเรื่องให้ปวดใจไม่น้อย เพราะขณะที่ยังเรียนอยู่ได้รับรายงานจากเว็บไซต์ Gawker ในปี 2010 ว่ากริฟฟ์ถูกบังคับให้หยุดเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันเป็นเวลาหนึ่งปี เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศเพื่อนร่วมชั้น และถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกาย ส่วนวิลเลียมก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง จนนำมาสู่การใช้กำลังในที่สุด
ชีวิตการทำงานของวิทแมนเริ่มต้นในปี 1979 โดยเข้าทำงานในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บริหารการตลาดของสินค้า ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัท Procter & Gamble (P&G) ในเมืองซินซินแนติ รับผิดชอบการจัดการแบรนด์ ตั้งแต่การพัฒนากลยุทธ์การตลาด การโฆษณา และการบริหารผลิตภัณฑ์ ระหว่างการฝึกอบรม เธอพบว่าบริษัทจะไม่ออกบัตรเครดิตให้กับพนักงานฝึกหัดหญิง เนื่องจากบริษัทไม่คิดว่าการเดินทางคนเดียวจะปลอดภัยสำหรับผู้หญิง เธอจึงต่อต้านนโยบายดังกล่าวและขอให้ P&G เปลี่ยนแปลง
แค่คิดว่าเธอต้องลุกขึ้นมาต่อต้านนโยบายของบริษัทในช่วงเวลานั้น ก็น่าตื่นเต้นไม่น้อย แต่ชีวิตของวิทแมนยังไปสุดได้มากกว่านี้อีก หลังจากทำงานที่ P&G ชื่อเสียงของเธอก็เป็นที่เลื่องลือ จนบริษัทหลายแห่งต่างส่งจดหมายขอเชิญหญิงคนนี้มาช่วยบริหารบริษัท วิทแมนได้รับโอกาสมากมาย รวมถึงทำงานที่บริษัทที่ปรึกษา Bain & Company, The Walt Disney Company และบริการจัดส่งดอกไม้ที่เรียกว่า Florists' Transworld Delivery จากนั้น ได้ย้ายไปทำงานที่บริษัทของเล่น Hasbro ซึ่งเธอรับผิดชอบของเล่นที่เก่าแก่และมีค่าที่สุดชิ้นหนึ่งของบริษัท นั่นคือ Mr. Potato Head จนทำให้แผลก Playskool ของ Hasbro ซึ่งมีพนักงาน 600 คน มียอดขายประจำปี 600 ล้านดอลลาร์ภายใต้การดูแลของวิทแมน
วิทแมนยังมีส่วนสำคัญทำให้รายการโทรทัศน์ในความทรงจำเด็กทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยอย่าง ‘เทเลทับบี้’ จากสหราชอาณาจักรมาเป็นที่รู้จักในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โชคชะตาของวิทแมนพลิกผันครั้งใหญ่ หลังจากบริษัท eBay เข้ามาพูดคุยกับเธอ และบอกว่าให้เธอช่วยเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของบริษัท แน่นอนว่าเธอลังเลไม่น้อย นี่ไม่ใช่บริษัทที่เธอคุ้นหูเท่าไหร่นัก สุดท้ายเธอก็ยอมทิ้งความมั่นคงทางการงาน มารับตำแหน่งซีอีโอของ eBay ในปี 1998
วิทแมนเข้ามาดูแล eBay ในฐานะซีอีโอ ระหว่างปี 1998-2008 เธอเปลี่ยนบริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียง 30 คน รายได้ต่อปี 4 พันล้านดอลลาร์ ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดอีคอมเมิร์ซ มีพนักงานกว่า 15,000 คน รายได้ไม่ต่ำกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาไม่นาน ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอในบริษัท Hewlett-Packard (HP) ช่วงปี 2011-2017 ปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ทั้งหมด โดยแยกเป็นสองบริษัท คือ Hewlett Packard Enterprise (HPE) มุ่งเน้นธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานไอที และ HP Inc. ที่เน้นธุรกิจคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์
“ความท้าทายของ eBay คือจะรักษาอัตราการเติบโตของบริษัทได้อย่างไร แต่หลักการความเป็นผู้นำก็คงไม่ต่างกันมาก นั่นคือ เราต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน การสื่อสารตรงไปตรงมา การวัดผลลัพธ์ และให้คำชมกับพนักงานเสมอหากพวกเขาทำงานชิ้นใดก็ตามสำเร็จ ทำให้ผู้คน รวมถึงตัวคุณเองไม่ย่อท้อต่อการได้มาซึ่งผลลัพธ์อันทรงคุณค่า และเมื่อบริษัทขยายตัว คุณต้องชัดเจนในสิ่งที่ทำโดยไม่หลงลืมความเป็นตัวของตัวเอง”
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา หลังจากทำงานได้ระยะหนึ่ง เธอตัดสินใจลาออกและเสี่ยงโชคทางการเมืองแทน โดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในนามพรรครีพับลิกันในปี 2010 แต่พ่ายแพ้ให้กับ 'เจอร์นรี่ บราวน์' (Jerry Brown)
“หากถามฉันว่าจะมีโอกาสกลับสู่เวทีการเมืองอีกไหม คำตอบของฉันคือคงไม่มีวันนั้น เพราะการเมืองเป็นธุรกิจที่ยากมาก การได้ลงหาเสียงเลือกตั้งสอนทักษะหลายอย่างให้ฉัน โดยเฉพาะการสื่อสารกับผู้คน”
เรียกได้ว่าวิทแมนแทบจะทุ่มหมดหน้าตัก เพื่อลงเล่นการเมือง โดยเธอใช้เงินส่วนตัวไปราว 144 ล้านดอลลาร์ จากงบหาเสียงของพรรคทั้งหมด 178.5 ล้านดอลลาร์
เมื่อเวทีการเมืองไม่เปิดโอกาสให้เธอลงเล่น วิทแมนจึงหันมาเข้าสู่โลกธุรกิจอีกครั้งหนึ่ง โดยรับตำแหน่งซีอีโอของ HP ในปี 2011 หลังจากผู้บริหารสูงสุดอย่าง ‘ลีโอ อโพเทเกอร์’ (Leo Apotheker) ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังขึ้นมาเป็นประธานบริษัทได้เพียงไม่กี่เดือน
นับเป็นความท้าทายอย่างใหญ่หลวง วิทแมนอยู่ภายใต้แรงกดดันจากทุกภาคส่วน ทั้งบอร์ดบริหารและผู้ใช้บริการ
“ฉันเป็นซีอีโอคนที่ 3 นับตั้งแต่เปิดบริษัทมา ซึ่งมันเป็นความท้าทายและเรื่องยากจริง ๆ เพราะผู้บริหารแต่ละคนย่อมมีวิธีการทำงานแตกต่างกัน”
เวลาสี่ปีครั้งที่วิทแมนทำงานให้กับ HP เธอสามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงมาก เธอต้องกัดฟันไล่เพื่อนพนักงานประมาณ 85,000 คนออกจากบริษัท ในช่วงปลายปี 2015 และเป็นผู้เสนอให้ HP แบ่งออกเป็นสองบริษัทมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์
“การแยกตัวของบริษัทถือว่าประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี มันทำให้บริษัทเติบโตขึ้นจนก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรม ช่วงที่ฉันประกาศยากบริษัท ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะนักลงทุนเข้าใจว่าเราซื้อขายในราคาที่ถูกลงเมื่อเทียบกับริษัทภายในเครือ แต่ฉันไมได้วัดความสำเร็จของการแยกบริษัทหรือการบริหารด้วยราคาหุ้น สิ่งสำคัญจริง ๆ คือทั้งสองบริษัทประสบความสำเร็จในระยะยาวมากกว่า”
“ประการแรก คุณต้องมองที่ผลลัพธ์ของมัน ต้องทำในสิ่งที่คุณสามารถพูดได้ว่าทำลงไปเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือภายในองค์หรของคุณ กับลูกค้าของคุณ และกับพันธมิตรของตัวคุณเอง
“ประการที่สอง คุณต้องมีบุคลากรที่เหมาสมกับตำแหน่ง และมีทัศนคติที่ดีต่อบริษัท ฟังดูง่ายมาก ที่ eBay มีคนเก่งเต็มไปหมด แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือ ทัศนคติ ต่างหาก คุณต้องมีคนที่กระตือรือต้น มีแนวคิดไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ และมองโลกในแง่ดี ฉันใช้เวลา 2-3 ปีในการสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นและมันประสบความสำเร็จ”
เมื่อถูกถามถึงเพศสภาพว่าส่งผลต่อการทำงานมากน้อยแค่ไหน เธอตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เมื่อก่อนเคยคิดเหมือนกันว่าส่งผลต่อการทำงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งผลขนาดนั้น
“ฉันเป็นซีอีโอที่เป็นผู้หญิง บางครั้งเพศสามารถส่งผลต่อวิธีการเป็นผู้นำ แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป เราทุกคนล้วนเป็นผลผลิตจากการเลี้ยงดูและประสบการณ์ของเรา ฉันพุ่งเป้าไปที่ผลลัพธ์ของการทำงานมากกว่า แม้ว่าบางครั้งองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง เช่น บุคลิกภาพของฉัน มันอาจจะเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในการทำงาน
“หลายปีมานี้ฉันเลิกคิดแล้วว่าผู้หญิงจะด้อยกว่าผู้ชาย ฉันไม่สามารถเปลี่ยนเพศสภาพของตัวเองได้ ในเมื่อพระเจ้ามอบสิ่งนั้นให้คุณมาแล้ว ฉันถึงรู้ว่ามีอะไรที่เปลี่ยนได้และไม่ได้
“คุณต้องเก่งมากในสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง และบางทีในช่วงแรก ๆ ผู้หญิงอาจต้องเก่งขึ้นอีกหน่อย ตัวอย่างเช่น ในปี 1979 มีผู้หญิงเพียงสี่คนในชั้นเรียนที่ฉันเข้าเรียนที่ Procter & Gamble แต่ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบเลย แค่เป็นคนเก่ง ทำงานด้วยง่าย และมีความกระตือรือร้น ฉันเล่นกีฬามาเยอะมากตอนที่เป็นผู้หญิง ดังนั้นฉันจึงรู้ว่าการทำงานเป็นทีมนั้นควรต้องทำอย่างไร”
.
.
เตรียมตัวพบกับการประกาศรางวัลแห่งปี ‘The People Awards’ ครั้งที่ 4 ประจำปี 2025 จากสื่อออนไลน์ The People ภายใต้แนวคิด “RISE TO LEAD: ปลุกความต่าง สร้างการเปลี่ยนแปลง” ที่ทุกคนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการค้นหาและยกย่อง 10 ผู้นำจากทุกวงการผู้กล้าที่จะลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคม
วันที่ 21 มีนาคม 2025
เวลา 15.00 - 20.00 น.
สถานที่: คริสตัล บ็อกซ์, เกสร เออร์เบิร์น รีสอร์ท ชั้น 19
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง