09 ก.พ. 2568 | 13:55 น.
KEY
POINTS
“ฉันไม่เคยสงสัยในระบอบการปกครอง ฉันเชื่อในคำพูดของผู้นำที่บอกว่า ประเทศของเราเป็นที่อิจฉาของคนทั้งโลก”
เพราะว่าพ่อเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลระดับสูงของเกาหลีเหนือ ทำงานด้วยความจงรักภักดีต่อประเทศและท่านผู้นำ ‘อีซอฮยอน’ จึงเชื่อและไม่เคยสงสัยในคำพูดของผู้นำประเทศเลยสักครั้ง
“ในกรุงเปียงยาง สังคมของชนชั้นสูงมีขนาดเล็กมาก ทุก ๆ ครั้ง จะมีข่าวลือว่าครอบครัวหนึ่งถูกส่งไปค่ายกักกันทางการเมือง เพียงเพราะลูกชายหรือลูกสาวของพวกเขาทำอะไรผิดพลาด ฉันจึงเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองตั้งแต่เด็ก เพราะรู้ดีว่าทุกคำพูดและการกระทำของฉัน อาจทำให้ครอบครัวต้องเผชิญกับอันตราย
“แม้ฉันจะได้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับเกาหลีเหนือแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้มากนัก ฉันเคยหวังว่า คิมจองอึนซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่และเคยศึกษาต่างประเทศที่สวิตเซอร์แลนด์ อาจนำพาความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมาสู่ประเทศของเรา”
ต่อจากนี้ คือบันทึกเรื่องราวของหญิงเกาหลีเหนือที่หลบหนีออกมาเพื่อหวังคืนเสรีภาพให้กับเพื่อนร่วมชาติ
อภิสิทธิ์การเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ทำให้อีซอฮยอนได้รับอนุญาตไปเรียนที่จีนได้ แล้วช่วงเวลานั้นเองที่ทำให้เธอฉุกคิดถึงประเทศและบ้านเกิดที่เติบโตมา
ระหว่างไปเรียนที่จีน ซอฮยอนนั่งแท็กซี่ แล้วคนขับก็ชี้ไปที่รูปของ เติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำจีนที่แขวนอยู่ พร้อมอธิบายว่า เขาเป็นคนปฏิรูปเศรษฐกิจจีนและทำให้ประเทศหลุดพ้นจากความยากจน ก่อนจะถามซอฮยอนว่า "ทำไมผู้นำเกาหลีเหนือของพวกคุณไม่ทำแบบเดียวกัน ทำไมเขาถึงปล่อยให้ประชาชนอดตาย?"
เพียงคำถามเดียวจากชายคนนั้น ทำให้ซอฮยอนตาสว่างแล้วตระหนักได้ว่า “ชีวิตของฉันไม่ได้มีอะไรน่าอิจฉาเลย”
จนกระทั่งมาถึงอีกจุดเปลี่ยนสำคัญ ปี 2013 ซอฮยอนเห็นรูมเมทของเธอถูกเจ้าหน้าที่ลากตัวออกไปจากหอพักที่จีน และไม่ได้กลับมาอีกเลย
เพราะพ่อของเธอทำผิดไปเดี่ยวข้องกับลุงของคิมจองอึน รูมเมทของเธอและสมาชิกครอบครัวทุกคนจึงต้องถูกส่งไปค่ายกักกันทางการเมือง
“เธอเป็นเหมือนพี่สาวของฉัน เราเดินทางไปด้วยกัน ช็อปปิ้ง และแบ่งปันมื้ออาหารแสนอร่อย เมื่อฉันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ เธอพาฉันไปโรงพยาบาลและเฝ้าดูแลฉันจนให้น้ำเกลือเสร็จ”
“วันนั้น ฉันได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของระบอบการปกครอง พวกเขามองเราเป็นเพียงแบตเตอรี่ที่เมื่อหมดประโยชน์ ก็สามารถทิ้งได้โดยไม่ลังเล ชีวิตของเราไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับพวกเขา
“ฉันคิดถึงเธอมาก ฉันอยากเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ และสักวันหนึ่ง เราจะได้พบกันอีกครั้ง”
สิ่งที่เกิดขึ้นกับรูมเมทถือเป็นชนวนแรก และ ไม่เคยลืมภาพนั้น และมันทำให้เธอเห็นถึงความโหดร้ายของระบอบการปกครอง เมื่อกลับไปยังแผ่นดินแม่ ซอฮยอนก็เห็นว่าภายใต้การปกครองของท่านผู้นำ มีการประหารชีวิตและกวาดล้างทางการเมือง
ครอบครัวของเธอต้องเสียเพื่อน เสียบ้าน และเพื่อนร่วมงานที่เคารพระดับประเทศ
เธอคิดว่า สุดท้าย ประเทศนี้ไม่ได้น่าอิจฉา แต่เป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย และวันหนึ่งเรื่องราวโศกนาฏกรรมอาจเกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัวก็ได้
ซอฮยอนถามตัวเองว่า “ฉันควรจะใช้ชีวิตต่อไปโดยแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือฉันควรละทิ้งทุกอย่างแล้วกระโจนเข้าสู่ความไม่แน่นอน"
คำตอบ คือ เธอเลือกที่จะหนี
การหนีที่ไม่มีหลักประกันว่าจะปลอดภัย และเป็นการหนีที่เธอต้องทิ้งทุกอย่างที่เคยมีในเกาหลีเหนือ
พ่อของฉันทำงานหนักมาตลอด เพราะเชื่อว่าหากเศรษฐกิจดีขึ้น ชีวิตของประชาชนก็จะดีขึ้นด้วย แต่สุดท้าย เราตระหนักว่า ภายใต้ระบบที่เป็นอยู่ สิ่งที่เขาต้องการจะไม่มีวันเป็นจริง
เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง และเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศ เราตัดสินใจหลบหนีในเดือนตุลาคม ปี 2014
วิธีหลบหนี ก็คือ หลังจากที่พ่อไปทำงานที่จีนและสมาชิกครอบครัวทุกคนก็มีพาสปอร์ต พวกเขาก็เลือกที่จะบินภายในประเทศและหลบหนีออกมาที่เกาหลีใต้ได้สำเร็จ
เธออยู่เกาหลีประมาณ 1 ปี แล้วย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อความปลอดภัย ตอนนี้อีซอฮยอนก็ทำหน้าที่เป็นนักรณรงค์สิทธิมนุษยชนเกาหลีเหนือ
เดือนสิงหาคม 2024 อีซอฮยอนเรียนจบบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้สำเร็จ เธอบอกว่า “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตของฉันจะเดินมาถึงจุดที่ได้ไล่ตามความฝันในอเมริกา แล้วฉันไม่ได้มาเพียงเพื่อช่วยเหลือตัวเอง ครอบครัวของฉันย้ายจากจีนมาอเมริกาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบและนำเสรีภาพมาสู่ชาวเกาหลีเหนือ”
แล้วถึงแม้ครอบครัวจะอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ซอฮยอนบอกว่า พ่อของเธอก็ยังรักเกาหลีเหนือและทำทุกอย่างเพื่อให้คนเกาหลีเหนือที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“แม้พ่อของฉันจะรักเกาหลีเหนืออย่างสุดหัวใจ แต่ฉันอยากให้ความรักนั้นแยกออกจากความจงรักภักดีต่อระบอบการปกครอง พ่อของฉันเคยทำงานหนักเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของประชาชน และทุกวันนี้ เขายังคงทำงานเพื่อวันที่ชาวเกาหลีเหนือทุกคนจะได้รับสิทธิมนุษยชนและมีอาหารสามมื้อต่อวัน”
การเดินทางแสนยาวนานจบลง แต่เมื่อมองกลับไป ซอฮยอนรู้ดีว่า เธอโชคดีกว่าคนเกาหลีเหนือคนอื่นที่ต้องหลบหนีด้วยเส้นทางอื่น ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธออยากจะเปล่งเสียงและเป็นกระบอกเสียงแทนเพื่อนร่วมชาติคนอื่น ๆ ให้ดังขึ้น เพื่อประกาศให้โลกนี้รับรู้และส่องแสงสปอตไลท์มายังประเทศแห่งความลับ
“ฉันรู้ว่าหลายคนไม่ได้โชคดีเหมือนฉัน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันรู้สึกว่ามันเป็นทั้งสิทธิพิเศษและภาระหน้าที่" ของฉัน ที่จะเป็นกระบอกเสียงให้เพื่อนร่วมชาติที่ยังคงติดอยู่ในเงามืด
“ฉันเชื่อว่า ชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากเริ่มเปิดใจรับรู้โลกภายนอกมากขึ้น พวกเขาไม่ได้ถูกปิดตาตลอดไป แต่เราต้องทำให้พวกเขารู้ว่า มีผู้คนจากทั่วโลกที่คอยสนับสนุนพวกเขา และเราจะไม่หยุด จนกว่าวันที่พวกเขาได้รับเสรีภาพจะมาถึง”
อ้างอิง
North Korean's bubble of certainty / The Korea Times
North Korean Agents of Change | Seohyun’s Story / LIBERTY IN NORTH KOREAN