03 มี.ค. 2568 | 16:30 น.
KEY
POINTS
ในสังคมญี่ปุ่นที่มีเพียง 4% ของผู้เสียหายจากการล่วงละเมิดทางเพศกล้าแจ้งความ เสียงของ ‘ชิโอริ อิโตะ’ นักข่าวสาวผู้ทำลายความเงียบด้วยความกล้าหาญจึงดังกึกก้อง การตัดสินใจของเธอท้าทายขนบธรรมเนียมทางสังคมที่ฝังรากลึก และเธอต้องจ่ายราคาสูงลิ่วเพื่อแลกกับการได้พูดความจริง
“ฉันกลัว... แต่สิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือการพูดความจริง” เธอเอ่ยในฉากเปิดของภาพยนตร์สารคดี ‘Black Box Diaries’ ผลงานที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ประจำปี 2024
เริ่มแรก ชิโอริไม่ได้ตั้งใจจะทำสารคดีเรื่องนี้ เธอเริ่มบันทึกภาพด้วยตัวเองและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ หลังจากถูก ‘โนริยูกิ ยามากูชิ’ นักข่าวอาวุโสที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี ‘ชินโซ อาเบะ’ ในขณะนั้น ล่วงละเมิดทางเพศในปี 2015 เธอทำเพื่อให้ตัวเองมีหลักฐานเท่านั้น
“ฉันรู้สึกว่าจำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการปกปิดที่อาจเกิดขึ้นจากตำรวจ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการแทรกแซงโดยผู้มีอำนาจ” ชิโอริเล่า
กระบวนการทางกฎหมายของญี่ปุ่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก ตั้งแต่ขั้นตอนแจ้งความ ที่เธอถูกบังคับให้จำลองเหตุการณ์โดยใช้ตุ๊กตาขนาดเท่าคนจริง การสอบสวนที่ล่าช้า และสุดท้ายคดีก็ถูกยกเลิกด้วยเหตุผลที่ว่า “มีหลักฐานไม่เพียงพอ”
เมื่อชิโอริตั้งชื่อหนังสือของเธอว่า ‘Black Box Diaries’ ชื่อนี้สื่อความหมายลึกซึ้ง เปรียบประดุจ ‘กล่องดำ’ ของเครื่องบินที่บันทึกความจริงไว้ แต่กลับถูกซ่อนเร้นไว้ในความมืด ชิโอริมุ่งมั่นที่จะเปิดกล่องดำนี้ ในระบบยุติธรรมที่เงียบงันต่อเสียงร้องของผู้เสียหาย
“กล่องดำไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสังคม” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียงในภาพยนตร์ วลีนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงอีกหลายคนลุกขึ้นมาส่งเสียง
การตัดสินใจกำกับสารคดีด้วยตัวเอง แทนที่จะมอบให้ผู้อื่นเล่าเรื่องของเธอ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของชิโอริ
“ก่อนหน้านี้ ฉันเคยให้สัมภาษณ์มากมาย แต่สิ่งที่ฉันต้องการสื่อมักถูกตัดต่อ ฉันรู้สึกไร้พลัง” ชิโอริเล่า “การได้กำกับเอง ทำให้ฉันมีอำนาจตัดสินใจว่าจะแสดงอะไรและอย่างไร”
สารคดีของเธอไม่มีการจำลองเหตุการณ์ใหม่ แต่ใช้ภาพจริงที่เธอบันทึกไว้ ทั้งการสัมภาษณ์ บันทึกส่วนตัว และนำภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมมาใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นชิโอริในสภาพมึนเมา ไม่สามารถยืนได้ ถูกลากเข้าโรงแรมโดยยามากูชิ
“การตัดต่อภาพเหตุการณ์กว่า 400 ชั่วโมง เปรียบเสมือนการบำบัดจิตใจอย่างเข้มข้น ฉันต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาในชีวิตที่ฉันอยากลืมเลือน”
เมื่อชิโอริเปิดเผยเรื่องราวในปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการเติบโตของขบวนการ #MeToo ในฮอลลีวูด เธอกลายเป็นใบหน้าของการเคลื่อนไหวในญี่ปุ่น แต่ต้องแลกมาด้วยราคาของการลุกขึ้นสู้
เธอถูกเยาะเย้ย ถูกโจมตีทางออนไลน์ ครอบครัวไม่สนับสนุน ผู้คนวิจารณ์ว่าเธอ “ร้องไห้น้อยเกินไป” “ไม่ได้แต่งตัวเหมาะสม” “ดูแข็งแกร่งเกินไปสำหรับผู้เสียหาย” และบางคนถึงขั้นวิจารณ์ว่าเธอติดกระดุมเสื้อต่ำเกินไปในงานแถลงข่าว ชิโอริต้องออกจากญี่ปุ่นไปหลายเดือนเพื่อความปลอดภัย
สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือคำกล่าวของยามากูชิ ที่ยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาแม้จะแพ้คดีแพ่ง เขาอ้างเพียงว่าเป็น ‘ความเข้าใจผิด’ และแสดงความเสียใจเพียงเพราะ “เธอเป็นโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ”
แต่ชิโอริไม่ยอมแพ้ เธอสู้ต่อด้วยการฟ้องคดีแพ่ง และชนะในที่สุด แม้จะเป็นชัยชนะเล็ก ๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในสังคม
“ฉันอยากเห็นภาพยนตร์จากมุมมองของผู้รอดชีวิต เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสามารถเล่าเรื่องของตัวเองได้” ชิโอริเน้นย้ำถึงความสำคัญของการที่ผู้เสียหายได้เล่าเรื่องในแบบของตัวเอง
ช่วงเวลาที่งดงามในภาพยนตร์คือตอนที่ชิโอริพบกับผู้หญิงในวงการสื่อ พวกเธอแสดงความเห็นอกเห็นใจ ทำให้ชิโอริรู้สึกว่าเธอไม่ได้โดดเดี่ยว “พวกเธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังห่มผ้าให้ฉัน เพราะฉันรู้สึกหนาวเย็นในความโดดเดี่ยวมาตลอด”
การต่อสู้ของชิโอริส่งผลกระทบมากกว่าที่คาดคิด ในปี 2023 ญี่ปุ่นได้ผ่านกฎหมายสำคัญที่นิยามคำว่าข่มขืนใหม่จาก ‘การร่วมเพศโดยการบังคับ’ เป็น ‘การร่วมเพศโดยไม่ได้รับความยินยอม’ และยกอายุของการให้ความยินยอมจาก 13 เป็น 16 ปี
ผู้เสียหายรายอื่น เช่น ‘รินะ โกโนอิ’ อดีตทหารที่ถูกล่วงละเมิดโดยเพื่อนทหาร เริ่มกล้าที่จะออกมาพูด และชนะคดีในที่สุด
สารคดีของชิโอริได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามในระดับนานาชาติ เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์กว่า 50 แห่งใน 30 ประเทศ และได้รับเกียรติสูงสุดด้วยการเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 ในสาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม แม้จะไม่ได้รับรางวัลในที่สุด แต่การได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนับเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งสำหรับผลงานจากเอเชียที่นำเสนอประเด็นล่อแหลม
ในโลกหลังยุค #MeToo ผู้ชมทั่วโลกรับรู้ถึงความสำคัญของการเล่าเรื่องโดยผู้เสียหายเอง ชิโอริมองว่าสารคดีของเธอเป็น ‘จดหมายรักถึงญี่ปุ่น’ ส่งเสริมให้เกิดการสนทนาเรื่องที่สังคมไม่กล้าพูดถึง
‘Black Box Diaries’ ยังไม่ได้ฉายในญี่ปุ่น เนื่องจากความขัดแย้งกับอดีตทนายความที่กล่าวหาว่าเธอใช้ภาพและเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ชิโอริยืนยันว่าทำเพื่อ ‘ประโยชน์สาธารณะ’
ชิโอริหวังว่าความสนใจระดับโลกและการเข้าชิงออสการ์ จะช่วยให้สารคดีของเธอได้ฉายในบ้านเกิด เพื่อให้ครอบครัวได้ชม
“นั่นคือสิ่งที่ฉันหวังจริง ๆ มากกว่าการชนะออสการ์”
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ชิโอริได้พิสูจน์แล้วว่าพลังของการลุกขึ้นพูดความจริงสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ จากเหยื่อผู้เงียบงัน สู่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง และจากนักข่าวผู้รายงานเรื่องของผู้อื่น สู่ผู้กำกับที่กล้าเล่าเรื่องของตัวเอง
ชิโอริได้เปิดกล่องดำแห่งความเงียบให้โลกได้เห็น และไม่มีใครสามารถปิดมันลงได้อีกต่อไป
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
Martin, Rebecca. “Shiori Ito's Black Box Diaries Is a Triumph.” Cinema Femme, 27 Oct. 2024, https://cinemafemme.com/2024/10/27/sundance-40-review-shiori-itos-black-box-diaries-is-a-triumph/. Accessed 3 Mar. 2025.
Ward, Screen. “How Black Box Diaries Filmmaker Shiori Ito Took Control of Her Own Story.” Screen Daily, 10 Feb. 2025, https://www.screendaily.com/features/how-black-box-diaries-filmmaker-shiori-ito-took-control-of-her-own-story/5201614.article. Accessed 3 Mar. 2025.
“Shiori Ito: ‘Black Box Diaries’ and the Power of Personal Documentary.” BBC News, https://www.bbc.com/news/articles/cm2j1r1qn3zo. Accessed 3 Mar. 2025.